ผมรอคอยมาตลอด 8 ปีเพื่อเล่นบทในฝันนี้

หากพูดชื่อภาพยนตร์สักหนึ่งเรื่องที่คนมากมายฝันให้มีภาคต่อหรือถูกสร้างใหม่ เชื่อเลยว่า The Crow อีกาพญายม ต้องถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบหมุดหมายสำคัญของผู้สร้างภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะด้วยความมืดหม่น และลึกล้ำที่ยากเกินจะบรรยาย ทำให้ใครต่อใครก็เฝ้าฝันว่าจะได้ชุบชีวิตโปรเจกต์นี้ขึ้นมา
วันที่อีกาสยายปีก
ปัง!
ปี 1993 หลังสิ้นเสียงกระสุนนัดสำคัญในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง The Crow มันได้ทำให้นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลอย่าง แบรนดอน ลี (Brandon Lee) ต้องจบชีวิตลงอย่างหน้าเศร้า
ฉับพลันโลกเกิดความโกลาหล สื่อแทบทุกสำนักต่างลงข่าวการเสียชีวิตของบุตรชายบรูซ ลี (Bruce Lee) จนสร้างความฮือฮา นั่นทำให้ในเวลานั้นผู้คนแทบทุกคนจึงอยากเข้าไปพิสูจน์ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ แบรนดอน ลี ซึ่งส่งผลให้ The Crow ทำรายได้ไปถึง 94 ล้านเหรียญ และความมืดหม่นของหนังก็ส่งให้ อีกาพญายมกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของฮอลลีวูด

แน่นอนว่าอุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ ทำให้ The Crow เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่อันที่จริง The Crow เองก็เป็นที่รู้จักจากเวอร์ชันคอมิกส์อยู่ก่อนแล้ว โดยเล่าถึงเอริค ดราเวน นักดนตรีที่ฟื้นคืนชีพจากความตายเพื่อมาแก้แค้นแก๊งที่สังหารเขาและคู่หมั้น ด้วยความที่เป็นคอมิกส์เองก็มีเนื้อหาตามออกมาหลายเล่ม จึงทำให้ใครต่อใครก็อยากที่จะสานต่อจักรวาลของอีกาพญายม
นั่นทำให้หลังจาก The Crow ฉาย ก็ได้มีคนพยายามที่จะปลุกชีพตำนานนี้ด้วยการทำภาคต่อออกมา ไม่ว่าจะเป็น The Crow: City of Angels (1996), The Crow: Salvation (2000) และ The Crow: Wicked Prayer (2005) ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีตัวละครที่แตกต่างกันไป และไม่มีนักแสดงชุดเดิมเลย นั่นทำให้ภาคต่อเหล่านี้ จึงไม่อาจเทียบได้กับความสำเร็จของ The Crow ภาคแรก
นอกจากนั้น ยังมีความพยายามครั้งแรกที่จะปลุกชีพ The Crow อีกครั้งให้เป็นซีรีส์ในชื่อ The Crow: Stairway to Heaven ทว่ามันก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด
กำเนิดใหม่อีกครั้งของ อีกาพญายม
หลังจากหนังอีกาพญายมภาคสุดท้ายอย่าง The Crow: Wicked Prayer ได้ออกฉายในปี 2005 ผู้สร้างรู้ได้ทันว่ายิ่งสร้างยิ่งออกทะเล พวกเขาจึงต้องหันเหการชุบชีวิตด้วยการรีบูตแฟรนไชส์นี้ใหม่ในปี 2008 โดยเริ่มจากดึงสตีเฟน นอร์ริงตัน (Stephen Norrington) ที่มีชื่อเสียงจากการกำกับ Blade ภาคแรกมาร่วมสร้าง
นอร์ริงตันกล่าวว่านี่คือการคิดค้นสิ่งใหม่ และมันจะไม่เหมือนกับต้นฉบับของปี 1994 เพราะการกลับมาของ The Crow ครั้งนี้จะจริงจัง สมจริง และดาร์กกว่าที่เคย โดยจะใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากเวอร์ชันคอมิกส์มากกว่าจะรีเมกเวอร์ชันของแบรนดอน ลีผู้ล่วงลับ

ในเวลานั้น การกลับมาของ The Crow เป็นที่กล่าวขาน ใคร ๆ ก็ต่างอยากจะไข่วคว้าบทของเอริค ดราเวนมาครอบครอง ไม่เว้นแม้แต่เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ทว่าตอนนั้นเขาก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะเข้าใกล้บทนี้ เพราะบทเหล่านี้ถูกส่งให้นักแสดงแถวหน้าในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น มาร์ก วาห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) , แบรดลีย์ คูเปอร์ (Bradley Cooper), แชนนิง เททัม (Channing Tatum), ไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling) และเจมส์ แม็กอะวอย (James McAvoy)
แต่มันก็เหมือนกับคำสาป เพราะนักแสดงทุกคนมักจะติดอยู่ที่ขั้นตอนเจรจา และ Pre-Production เรียกได้ว่ายังไม่ทันจะได้เซ็นสัญญาก็มีอันต้องถอนตัวไปก่อน

อีกาที่อยู่ในมือเจ้าสมุทร
หลังจากบินวนเวียนกับผู้กำกับ และนักแสดงมากมาย ดูเหมือนว่าในปี 2016 อีกาพญายมก็พร้อมที่จะบินกลับรัง เพราะในเวลานั้นชื่อเสียง และบารมีของเจสัน โมโมอาก็บ่มเพาะได้ที่ จนสามารถไขว่คว้าบทนี้มาไว้ในมือได้สำเร็จ

“ผมรอคอยมาตลอด 8 ปีเพื่อเล่นบทในฝันนี้”
ในปีนั้น มีการประกาศว่าคอริน ฮาร์ดี (Corin Hardy) (ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับ The Nun) จะร่วมมือกับเจสัน โมโมอา เพื่อชุบชีวิตให้กับแฟรนไชส์นี้ในชื่อ The Crow Reborn ซึ่งโปรเจกต์นี้ก็คืบหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะได้แฟนเดนตายของอีกาพญายม และผู้กำกับหนังสยองขวัญมาปั้น ซึ่งหนังพัฒนาไปถึงจุดที่เจสัน โมโมอา ได้เข้าไปเทสต์ที่หน้ากล้องเรียบร้อยแล้ว

โดยจากภาพที่ออกมา เราจะเห็นได้ว่าโมโมอาเหมาะสมกับบทบาทนี้ขนาดไหน
ทว่ามันก็เป็นดังเช่นชะตากรรมของ The Crow ภาคอื่น แม้มันจะมีคุณสมบัติที่พร้อมจะคืนชีพเพียงใด แต่ก็เหมือนคำสาป เพราะหนังกลับตามมาด้วยปัญหาเรื่องบท การเงิน และลิขสิทธิ์ที่เกิดจากสตูดิโอ
The Crow เป็นเรื่องราวที่ผมหลงใหลผมทุ่มเทชีวิต 3-4 ปีด้วยความรัก เลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตา
คอริน ฮาร์ดี
ว่ากันว่าเบื้องหลังของปัญหานี้ มาจากเรื่องของวิสัยทัศน์ล้วน ๆ เพราะฮาร์ดีกับโมโมอา อยากจะสร้างหนังออกมาในโทนที่ดิบ และมืดหม่น ทว่าสตูดิโอกลับอยากให้หนังมีความเป็นแอ็กชัน สาดกระหน่ำ ให้หนังสามารถดึงดูดกลุ่มที่ชอบแอ็กชันเพื่อทำเงินมากขึ้น
ท้ายที่สุด ก็เป็นเช่นเดียวกับโปรเจกต์ก่อนหน้า เพราะด้วยปัญหามากมาย ทำให้แฟนเดนตายอย่างคอริน ฮาร์ดี และ เจสัน โมโมอา จำต้องโบกมือลา The Crow Reborn ไป

ถึงเจมส์ โอ บาร์ (James O'Barr) [ผู้สร้างคอมิกส์ The Crow] ขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวัง หนังเรื่องนี้ต้องถูกปล่อยให้เป็นอิสระ และถึงแฟน ๆ ผมขอโทษ ผมไม่สามารถเล่นอะไรแบบนี้ได้ เพราะหนังเรื่องนี้สมควรได้รับความรักมากกว่านี้ และผมพร้อมที่จะกลับมาอีก เมื่อมันถูกต้อง
เจสัน โมโมอา
หลังจากนั้นไม่นาน โมโมอาก็ไปได้ดีกับบท อควาแมนของทาง DC ทันที โดยเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่ง เพราะหลังจากเวอร์ชันของเขาถูกหยุดการพัฒนา อีก 2 ปีต่อมาโปรเจกต์ The Crow รีบูตก็ได้ถูกพัฒนาต่ออีกครั้ง และคราวนี้มันแทบไม่ติดปัญหาใด ๆ โดยได้บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) มานำแสดง
เรียกได้ว่า The Crow Reborn ของเจสัน โมโมอา เป็นโปรเจกต์ท้าย ๆ ของ The Crow ที่เคยเกือบถูกสร้าง และมันได้ถูกพัฒนาไปไกลกว่าที่คิด อย่างไรก็ตาม The Crow Reborn อาจไม่มีวันได้โบยบินแต่เรื่องราวของมัน จะยังคงอยู่ตรงนี้ ในฐานะเครื่องเตือนใจของผู้สร้างหนังที่ครั้งหนึ่งมันเคย ‘เกือบ’ เกิดขึ้น