ท่าทางปีเตอร์ เบิร์ก นี่จะเอาดีกับหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงเป็นแน่ เพราะนี่ก็เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของเขาแล้วที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงนับจาก Lone Survivor (2013), Deepwater Horizon (2016) และทั้ง 3 เรื่องก็ได้ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก มารับบทนำ แม้ว่า Patriot Days จะมาแบบเงียบ ๆ ไม่ค่อยโปรโมทตูมตามเท่า Deepwater Horizon ทุนสร้างน้อยกว่าเกินครึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่า Patriot Days กลับได้เสียงตอบรับที่ดีกว่ามากนับว่า Patriots Days เป็นหนังที่สร้างตามหลังเหตุการณ์จริงได้แบบกระชั้นมาก เพราะเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาเมื่อปี 2013 นี่เอง และได้ออกฉายก่อน Stronger หนังอีกเรื่องที่อ้างอิงเหตุการณ์ระเบิดที่บอสตันมาราธอนเช่นเดียวกัน และได้เจค กิลเลนฮาน มารับบทนำ
หนังเปิดเรื่องแบบหว่านมาก แนะนำตัวละครนับ 10 ราย แบบจำชื่อจำหน้าตากันไม่หวาดไม่ไหว แล้วถึงย้อนกลับมาเริ่มเรื่องที่ ทอมมี่ ซอนเดอร์ ตำรวจบอสตันขาเก๋าที่รับหน้าที่ตัวเดินเรื่อง เรื่องนี้ปีเตอร์ เบิร์ก ผู้กำกับโดดมารับหน้าที่เขียนบทร่วมด้วย เป็นหนังสร้างจากเหตุการณ์จริงที่มีทิศทางแตกต่างจากที่คุ้นเคย คือไม่เน้นเร้าอารมณ์ตื่นเต้นนักกับฉากวางระเบิด แต่ไปเน้นมาก ๆ กับเหตุการณ์หลังระเบิด ให้คนดูสัมผัสบรรยากาศสยดสยองที่เกิดกับบรรดาผู้เคราะห์ร้าย ภาพค่อนข้างรุนแรงนะครับ ทั้งเลือดทั้งบาดแผล เหมือนปลุกสำนึกคนดูให้รังเกียจเหล่าผู้ก่อการร้ายกันมากขึ้น ครึ่งแรกของหนังใช้ไปกับการแนะนำบรรดาตัวละครแล้วแต่ละคนก็ค่อย ๆ เข้ามาเชื่อมโยงเข้ากับเส้นเรื่องหลัก ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินเรื่องแบบนี้ คือคอยติดตามไปว่าแต่ละคนจะเข้ามามีบทบาทกับเนื้อหาหลักตอนไหนอย่างไร
หนังมีฉากให้ประทับใจหลาย ๆ ฉาก อย่างเช่นการเปิดตัวแบบเท่ ๆ ของ ริชาร์ด เดสลอริเยร์ บทของเควิน เบคอน FBI ขาใหญ่ที่โดดเข้ามาควบคุมการสืบสวน ได้เห็นการทำงานแบบมืออาชีพสุด ๆ ของตำรวจเมืองนอก รวดเร็วฉับไว ตัดสินใจเด็ดขาด หาห้องบัญชาการเดี๋ยวนั้นวางแผนสั่งการคนเดียวเสร็จสรรพ ได้ห้องบัญชาการพร้อมทำงานภายในไม่กี่ชั่วโมง หนังถ่ายทอดขั้นตอนการสืบสวนแบบลงละเอียดและนำเสนอออกมาได้อย่างสนุกน่าติดตามโดยเฉพาะฉากที่ ริชาร์ดตามทอมมี่ มาช่วยหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิดก็เป็นอีกฉากที่สนุก ขั้นตอนการสืบสวนส่งอารมณ์ไปให้ครึ่งหลังได้สูงขึ้น พอเข้าครึ่งหลังอารมณ์หนังก็เปลี่ยนโทนเป็นแอ็คชั่นมากขึ้น จากเน้นสืบสวนมาเป็นเรื่องราวไล่ล่า ชอบบุคลิกของสองบอมเมอร์ที่ดูเป็นผู้ก่อการร้ายมือใหม่ดูไม่มีรังสีอำมหิต แต่พอคับขันเข้าตาจนก็โหดดุได้ผิดคาด พาไปสู่ฉากปะทะที่ลากกันยาว ๆ สาดกันทั้งกระสุนทั้งระเบิดตูมตาม เป็นฉากที่ทีมงานตั้งใจดี สร้างบ้านรอบข้างขึ้นมา 11 หลังเพื่อฉากนี้โดยเฉพาะ ต้องยกให้เป็นฉากแอ็คชั่นที่มันส์ควรค่าแก่การจดจำฉากหนึ่งในปีนี้เลย
งานแคสติ้ง เป็นอีกงานที่น่าชื่นชมมาก เลือกมาแต่ตัวเก๋า ๆ ในวงการทั้งนั้น ทั้งเควิน เบคอน ทั้งจอห์น กู๊ดแมน ในบทผู้บัญชาการตำรวจบอสตัน ชอบจอห์น ในยุคหลังนี่มาก พอเปลี่ยนแนวจากดาราตลกมาเล่นบทซีเรียสขึ้นตามวัยงานก็ชุกมากตาม ยิ่งได้มาประกบกับ เควิน เบคอนด้วยแล้วรู้สึกดีครับ ได้เห็นรุ่นใหญ่มาเล่นฉากปะทะอารมณ์กัน , เจ.เค. ซิมมอนส์ เป็นอีกรายที่มารุ่งตอนแก่บท เจ.เค. ได้บท เจฟฟรี่ จ่ารุ่นปู่หมือนเป็นทีเด็ดของเรื่องที่ผู้กำกับเก็บบทนี้ไว้ให้โชว์ตอนท้าย เห็นหน้าปู่ตั้งแต่ต้นเรื่องก็ดูไปลุ้นไปว่าปู่จะได้มีฉากโชว์ของตัวเองเอาตอนไหน บททอมมี่ ซอนเดอร์ พระเอกของเรื่องเป็นบทเดียวที่ไม่มีตัวจริง แต่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเหมือนว่าให้เป็นตัวแทนของชาวเมืองบอสตัน เป็นบทที่ได้คำพูดสวย ๆ เท่ ๆ เยอะมาก และเป็นบทที่สามารถเปลี่ยนใจมาร์ค วาห์ลเบิร์กได้ หลังจากที่มาร์คปฎิเสธไม่รับเล่นในทีแรก พอได้อ่านบทของทอมมี่ แล้วเขาก็เปลี่ยนใจกลับมาร่วมงานด้วย
หนังยาวมากครับ 2 ชั่วโมง 13 นาที แต่เป็นหนังที่เดินเรื่องได้น่าติดตาม ไม่มีช่วงให้ได้หาวเลย แอ็คชั่นได้น่าตื่นเต้น ดราม่าก็บิลท์อารมณ์ได้พอตัว เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริงที่มีฉากจบตามธรรมเนียมหนังแนวนี้ คือมีภาพเหตุการณ์จริงให้ดูหลังหนังจบและยาวกว่าเรื่องอื่น ๆ ได้เห็นภาพเหตุการณ์จริง ได้เห็นตัวจริงแต่ละคนมานั่งเล่าความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้น ทั้งดนตรี บทพูดและภาพบนหน้าจอล้วนทำหน้าที่ให้เป็นฉากที่เรียกอารมณ์ให้รู้สึกเศร้าเสียใจไปกับเหตุการณ์นั้นได้ดีครับ ถ้ายิ่งเป็นคนอเมริกันด้วยน่าจะเสียน้ำตาให้กับฉากนี้แน่ ๆ เป็นหนังสนุกส่งท้ายปีเรื่องหนึ่ง ได้ทั้งซึ้งทั้งมันส์และให้กำลังใจ แนะนำครับ เราได้ดูก่อนอเมริกานานมากเลยนะ ที่อเมริกาเข้าฉาย 17 มกราคมนู่นเลย