‘เราทุกคนต่างเคยมีทอม และซัมเมอร์ในชีวิตเสมอ’

ทอม และซัมเมอร์

คำกล่าวนี้ไม่เคยเกินจริง เพราะเมื่อได้ดู ‘(500) Days of Summer’ ครั้งแรก บางคนอาจจะเห็นใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทว่าเมื่อเราเปิดดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งในวันเวลาที่ผ่านความรัก ความบอบช้ำ และความเข้าใจโลกมากขึ้น เราอาจจะคิดอีกแบบหนึ่งแทน

นั่นทำให้ ‘(500) Days of Summer’ เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่เหมาะแก่การกลับมาดูเพื่อทบทวนชีวิต ว่าหากดูในตอนนี้ เราจะยังคงเข้าข้างตัวละครที่เราเคยเห็นใจอยู่ไหม เพราะประสบการณ์ที่ผ่านพ้นไป มักทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่

‘(500) Days of Summer’ ออกฉายครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งเล่าถึงทอม แฮนเซ่น นักเขียนการ์ดอวยพร ผู้ได้รู้จักกับซัมเมอร์ ฟินน์ ผู้ช่วยของเจ้านายเขา และทอมก็ตกหลุมรักซัมเมอร์แทบจะในทันที โดยเรื่องราวของ ‘(500) Days of Summer’ นั้นจะเล่าถึงตลอด 500 วันที่ทั้งคู่คบกัน ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกจดจำคือ ‘มันไม่เรียงลำดับเวลา’ น่ะสิ โดยหนังจะตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในช่วง 500 วัน ซึ่งเป็นหนังรักไม่กี่เรื่องที่เรารู้ว่ามันจะจบอย่างไร แต่ในระหว่างทาง เราก็แอบเอาใจช่วยให้มันไม่จบอย่างที่คิดไปด้วย

ความเจ็บช้ำที่กลั่นกรองมาจากเรื่องจริงถึง 75%

ผู้เขียนบทภาพยนตร์สก็อตต์ นอยสตัดเตอร์ (Scott Neustadter) เปิดเผยในคำบรรยายของดีวีดีว่าหนัง ‘(500) Days of Summer’ นั้นดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของความสัมพันธ์ที่เขาเคยประสบมา ซึ่งมันเรียลถึง 75% เลยล่ะ โดยนอยสตัดเตอร์ได้พบกับหญิงสาวตัวจริงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครซัมเมอร์ เมื่อครั้งที่เขายังเป็นนักศึกษาที่ London School of Economics ในปี 2002 

ในตอนนั้นนอยสตัดเตอร์กำลังหาสาวคนใหม่ เพื่อมาดามหัวใจที่กำลังบอบช้ำ โดยเขาอยากจะมูฟออน เพื่อฟื้นตัวจากความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ และเมื่อนอยสตัดเตอร์ได้เจอเธอคนนั้น เขาก็ตกหลุมรักหญิงสาวอย่างหัวปักหัวปำในทันที

เธอจูบตอบผม แต่ไม่ได้จูบตอบด้วยความรัก ซึ่งตอนจบของความสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวด จนลืมไม่ลงเลยล่ะ

สก็อตต์ นอยสตัดเตอร์ ผู้เขียนบท ‘(500) Days of Summer’

ความทรงจำอันบาดลึกนี้ทำให้สก็อตต์ นอยสตัดเตอร์ ตัดสินใจร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับไมเคิล เอช. เวเบอร์ (Michael H. Weber) ซึ่งนอยสตัดเตอร์อยากจะเล่าในเรื่องราวอันช้ำรัก แต่เขาต้องการเอช. เวเบอร์มาช่วยให้พาร์ตของหนังออกมาคอเมดีขึ้น เพราะเอช. เวเบอร์นั้นคบกับแฟนมาอย่างยาวนาน รู้ว่าจุดอิ่มตัวคืออะไร ซึ่งช่วยให้หนังพาไปถึงเป้าที่นอยสตัดเตอร์ต้องการได้ ทว่ายิ่งเขียนไป แทนที่จะเล่าเรื่องราวช้ำ ๆ เอช. เวเบอร์กลับยิ่งเขียนมุมที่ทำให้ตัวเอกอย่างทอมน่าเห็นใจขึ้นมาซะอย่างนั้น จนทำให้แฟนหนังหลายคน รู้สึกสงสารในความระทมของพระเอกแทน

เราทุกคนต่างเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความรัก เราทุกคนต่างผ่านทั้งช่วงเวลาที่ดี โดยวิธีเดียวที่จะเล่าเรื่องราวนี้ได้คือต้องเล่าจากเหตุการณ์จริงทั้งหมด 

ไมเคิล เอช. เวเบอร์ ผู้เขียนบท ‘(500) Days of Summer’

บทซัมเมอร์ต้องเป็นโซอีย์ เดชาเนลเท่านั้น 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการคัดเลือกนักแสดงสำหรับ ‘(500) Days of Summer’ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) ผู้รับบททอม แฮนเซน และโซอีย์ เดชาเนล (Zooey Deschanel) ผู้รับบทเป็นซัมเมอร์ ฟินน์ นั้นเรียกได้ว่าเป็นเคมีที่เข้าคู่กันอย่างไม่ต้องสงสัย โดยก่อนหน้าที่ทั้งสองจะมาแสดงใน ‘(500) Days of Summer’ นั้นทั้งคู่เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง ‘Manic’ (2001) มาก่อนแล้ว ซึ่งเคมีที่เข้าคู่กันนี้ทำให้กอร์ดอน-เลวิตต์ถูกชะตาเดชาเนลเป็นอย่างมาก

ในตอนที่เริ่มสร้าง ‘(500) Days of Summer’ แน่นอนว่ามีนักแสดงหญิงหลายคนสนใจจะตบเท้าเข้าร่วมกับโปรเจกต์นี้ในบทซัมเมอร์ แต่ก็ไม่มีสักคนที่จะมีเคมีเข้าคู่กับกอร์ดอน-เลวิตต์ได้ ซึ่งผู้กำกับหนังอย่างมาร์ก เวบบ์ (Marc Webb) จึงออกปากถามกอร์ดอน-เลวิตต์ว่ามีใครจะแนะนำไหม ซึ่งเขาก็ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าซัมเมอร์ต้องเป็นโซอีย์ เดชาเนลเท่านั้น

คุณต้องคัดเลือกนักแสดงที่เข้าขากันดีเยี่ยม และหาคนสองคนที่ทำงานร่วมกันได้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่เราเลือกเธอ

มาร์ก เวบบ์ ผู้กำกับ ‘(500) Days of Summer’

มาร์ก เวบบ์เชื่อว่าการได้โซอีย์ เดชาเนลนั้นคือสิ่งสำคัญของหนังเรื่องนี้ เพราะเธอสามารถถ่ายทอดธรรมชาติที่แปลกประหลาดของซัมเมอร์ออกมาได้ดีจนเป็นที่จดจำ ซึ่งการแสดงของเดชาเนลได้รับคำชมอย่างมาก ถึงขนาดที่มีผู้คนมากมายหมั่นไส้ตัวละครของเธอเลย ในทางกลับกันกอร์ดอน-เลวิตต์ก็ถ่ายทอดความเปราะบาง และความจริงจังให้กับทอมได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ฉากอกหักของทอมทัชใจคนเป็นพิเศษ 

ในนิยามของผู้กำกับอย่างมาร์ก เวบบ์นั้น ‘(500) Days of Summer’ ไม่ใช่หนังรัก แต่เป็นเรื่องราวของ ‘การเติบโต’ โดยเขากล่าวว่า หนังรักโรแมนติกคอเมดีส่วนใหญ่ มักจะยึดมั่นกับสูตรสำเร็จมากกว่าความจริงจังทางอารมณ์ ซึ่งหนังเรื่องนี้คือการแสดงให้เห็นว่า มนุษย์สามารถค้นพบความสุขได้ภายในตัวเราเอง มากกว่าจะเอาไปผูกกับสาวตาฟ้าที่อยู่ในออฟฟิศ

(ซ้าย) มาร์ก เวบบ์

หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ มันไม่ได้เกี่ยวกับสงครามหรือความยากจน มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ 500 วันในความสัมพันธ์ของชายหนุ่ม แต่ก็สร้างผลกระทบที่สะเทือนใจได้ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน 

เมื่อหัวใจของเราแตกสลาย ในตอนแรกมันจะครอบงำตัวเรา และผมอยากสร้างหนังเกี่ยวกับใจที่แตกสลาย ก่อนที่ผมจะลืมความรู้สึกนี้ไป

มาร์ก เวบบ์ ผู้กำกับ ‘(500) Days of Summer’

ถูกจดจำในแง่ของรักที่ทำให้คนเติบโต

เด็กวัยรุ่นที่ดูจบในยุคนั้น ต่างมองเห็นตัวเองสะท้อนออกมาจากทั้งตัวทอม และซัมเมอร์ เพราะเมื่อได้ฉายปุ๊บ ‘(500) Days of Summer’ ก็ประสบความสำเร็จทันทีทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ โดยสิ่งหนึ่งที่ผู้คนชมคือการไม่เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงนั้นช่วยนำเสนอความรักและความอกหักได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งสร้างความแตกต่างจากหนังรักเรื่องอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน จนนักวิจารณ์หลายคนยกย่องว่า ‘(500) Days of Summer’ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในปี 2009 

ความสำเร็จของ ‘(500) Days of Summer’ ทำให้คู่พระ-นาง อย่างโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ และโซอีย์ เดชาเนลได้รับเลือกให้ไปเล่นหนังฟอร์มยักษ์มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นแต้มต่อให้ผู้กำกับมาร์ก เวบบ์ถูกเลือกมากำกับ ‘The The Amazing Spider-man’ นั่นเอง ซึ่งถ้าใครรู้สึกว่าพาร์ตความรักของ ‘The The Amazing Spider-man 2’ นั้นเลี่ยนจัง นี่ก็เป็นลายเซ็นแกนี่แหละ

‘(500) Days of Summer’ ถูกจดจำในแง่ของหนังที่จุกจริง เจ็บจริง ซึ่งตัวละครหลักทั้งคู่ก็กลายเป็นไอคอนิกของคนที่ไม่สมหวัง และคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหลายคนสะเทือนใจถึงขนาดที่เดินออกจากโรงไปกลางคัน เพราะเจ็บปวดที่เห็นซัมเมอร์ทิ้งทอม ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีคนคิดอย่างนี้จนนักแสดงที่รับบทพระเอกอย่างกอร์ดอน-เลวิตต์ขอให้แฟน ๆ คิดใหม่อีกครั้ง

ความต้องการที่มากเกินจะดึงดูดผู้หญิงกับผู้ชายบางคน โดยเฉพาะคนอายุน้อย แต่ผมอยากให้ทุกคนที่ชอบตัวละครของผม ลองดูหนังอีกรอบ แล้วสังเกตว่าทอมเห็นแก่ตัวแค่ไหน

โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์

ทอมพัฒนาความหลงใหลอย่างเพ้อฝันต่อหญิงที่ตนรัก เขาจินตนาการความสุขที่ล้นพ้นนี้เกินไป ซึ่งทอมคิดว่าซัมเมอร์จะทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย เพราะทอมไม่สนใจสิ่งอื่นใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเท่าไหร่ และวัยรุ่นจำนวนมากก็คิดว่าชีวิตตัวเองจะมีความหมาย หากได้พบคู่ครองที่ไม่ต้องการอะไรในชีวิตนอกจากพวกเขา แต่นั่นไม่ดีเลย มันคือการตกหลุมรักจากความคิด ไม่ใช่จากบุคคลที่แท้จริง

ไม่เพียงแค่นั้น ในฝั่งของนางเอกอย่างโซอีย์ เดชาเนลก็กล่าวว่า ‘(500) Days of Summer’ ทำให้เธอประหลาดใจ เพราะมักจะมีสาว ๆ เดินเข้ามาหาเธอแล้วบอกว่าเกลียดซัมเมอร์มาก เพราะตัวละครของเธอปฏิเสธพระเอกไป แต่ขณะเดียวกันหญิงสาวเหล่านั้นก็ยกย่องการตัดสินใจของตัวละครด้วย

จะเห็นได้ว่า ‘(500) Days of Summer’ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งไอคอนิกของโลกภาพยนตร์ ซึ่งต่อจากนี้มันคงจะถูกเก็บเข้าธรรมเนียบหนังคลาสสิกสุดโปรดของใครหลายคน ที่ถ่ายทอดความซับซ้อนของความรัก ความสูญเสีย และธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้ของชีวิตออกมาได้ดีให้กับคนดูรุ่นหลัง ซึ่งไม่ว่าคุณจะดูหนังเรื่องนี้เมื่อปีไหน ก็จงอย่าดูมันรอบเดียว เพราะในเวลาที่เราผ่านคนมามากพอ การกลับมาดูอีกครั้ง อาจทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้นว่า ‘ความรักมันเป็นอย่างไร’

ครบรอบ 15 ปี  ‘(500) Days of Summer’

แด่เธอคนดี และทุกนาทีที่ผ่านพ้นไป กับเรื่องราวที่ทำให้เรารู้ว่า ‘ความรักมันก็แค่นี้’