หลังจากการหยุดพักยาวนานถึง 15 ปีที่เต็มไปด้วยข่าวลือและความตึงเครียดของศึกสายเลือดระหว่างสองพี่น้องโนล-เลียม กัลลาเกอร์ วงดนตรีอันเป็นที่รักของแฟนเพลง Britpop อย่าง “Oasis” กำลังจะกลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2025 เพื่อทัวร์ทั่วโลกในชื่อ “Oasis Live ’25” ซึ่งเป็นข่าวดีที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนเพลงทั่วโลก โดยเริ่มต้นจาก 17 โชว์ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ การทัวร์จะเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 และจะครอบคลุมเมืองใหญ่ ๆ อย่าง คาร์ดิฟฟ์, แมนเชสเตอร์, ลอนดอน, เอดินบะระ และดับลิน ตั๋วคอนเสิร์ตได้เริ่มจำหน่ายแล้วและสำหรับแฟนเพลงทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่รอคอยการกลับมาของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ การรวมตัวกันครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับแฟนเพลงของวงที่ยังคงประทับใจและคิดถึง Oasis อยู่เสมอ ตอนนี้แฟน ๆ ทั่วโลกต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้ชมการแสดงสดและฟังผลงานเพลงใหม่ ๆ ของพวกเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะกลับไปต้องมนตร์ที่ Oasis เคยมอบให้กับพวกเรามาตั้งแต่ในอดีต และเพื่อเป็นการฉลองการกลับมาในครั้งนี้ bt ได้มีประวัติของวง Oasis แบบจัดเต็มมาฝากแฟน ๆ ชาวไทย อุ่นเครื่องระหว่างรอลุ้นโอกาสที่จะได้กลับไปพบกับพวกเขาอีกครั้ง

1991–1993 จุดกำเนิดของตำนาน

ในปี 1991 วัยรุ่น 4 คนได้แก่ พอล แม็กกีแกน (Paul McGuigan) – มือเบส  พอล อาร์เธอร์ส (Paul Arthurs) [หรือที่ต่อมารู้จักกันดีในชื่อโบนเฮด (Bonehead)] – มือกีตาร์ โทนี่ แม็กคาร์รอล (Tony McCarroll) – มือกลองและนักร้อง คริส ฮัตตัน (Chris Hutton) ได้ก่อตั้งวงดนตรีที่ชื่อว่า “Rain” แต่ตั้งมาได้ไม่นาน พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจในฮัตตัน อาร์เธอร์สจึงเชิญเลียม กัลลาเกอร์ (Liam Gallagher) ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน มาทดลองงานแทนฮัตตันต่อมาเลียมได้แนะนำให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Oasis โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโปสเตอร์ทัวร์ของวง Inspiral Carpets ที่เขาเห็นในห้องนอนวัยเด็กที่เขาแชร์กับโนล กัลลาเกอร์ (Noel Gallagher) พี่ชายของเขา ซึ่งโปสเตอร์ดังกล่าวระบุชื่อศูนย์สันทนาการโอเอซิส (Oasis Leisure Centre) ในเมืองสวินดอน (Swindon) เป็นหนึ่งในสถานที่จัดงาน

วง Rain ขณะแสดงที่ Bridge Club, Withington ในปี 1990

Oasis เล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1991 ที่คลับบอร์ดวอร์ก (Boardwalk) ในแมนเชสเตอร์ โดยเป็นวงเปิดของวง the Catchmen และ Sweet Jesus โนลซึ่งกำลังทำงานเป็น roadie หรือผู้ช่วยเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแสดงของวง Inspiral Carpets อยู่ในตอนนั้น ได้ตามไปดูการแสดงของวง Oasis และรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่ได้ยิน โนลเลยเสนอที่จะขอเข้าร่วมวงด้วยโดยมีข้อเสนอว่าเขาจะเป็นผู้เขียนเพลงและผู้นำของวงเพียงคนเดียว และ Oasis ต้องมุ่งมั่นในการแสวงหาความสำเร็จที่ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงเท่านั้นแต่ยังต้องทำให้พวกเขาได้เงินได้ทองด้วย อาร์เธอร์สเล่าถึงตอนที่โนลเข้ามาเป็นสมาชิกวงไว้ว่า “โนลเขามีไอเดียเยอะแยะมากมายเมื่อตอนที่เขามาจอยกับพวกเรา ตอนนั้นเราเป็นแค่วงก๋อย ๆ ที่มีเพลงให้เล่นอยู่แค่สี่เพลง แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีไอเดียมากมายเข้ามาเต็มไปหมดเลย” ภายใต้การนำของโนล วงได้พัฒนาวิธีการทางดนตรีที่เน้นความเรียบง่าย โดยอาร์เธอร์สและแม็กกีแกนถูกจำกัดให้เล่นเพียงคอร์ดพื้นฐานและโน้ตเบสพื้นฐาน ส่วนแม็กคาร์รอลเล่นจังหวะพื้นฐาน และเครื่องแอมป์ของวงก็ถูกเปิดให้ดังเพื่อสร้างเสียงแตกดิสทอร์ชัน Oasis จึงสร้างเสียงที่ถูกอธิบายว่า “ปราศจากความประณีตและความซับซ้อนจนทำให้ฟังดูแล้วแทบหยุดไม่ได้เลยทีเดียว”

1993–1995 “Definitely Maybe” แค่อัลบั้มแรกนี้ก็ปังแล้ว

หลังจากที่เล่นคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง ซ้อมเพลง และบันทึกเดโมชื่อ “Live Demonstration” มาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี ในเดือนพฤษภาคม 1993 วง Oasis ก็มีแววดีถูกตาต้องใจ อลัน แมคกี้ (Alan McGee) หนึ่งในเจ้าของค่าย Creation Records ขณะที่ Oasis กำลังได้รับเชิญให้เล่นคอนเสิร์ตที่คลับ King Tut’s Wah Wah Hut ในกลาสโกว์ (Glasgow) โดย Sister Lovers วงที่ใช้ห้องซ้อมเดียวกัน ตอนนั้น Oasis และกลุ่มเพื่อนของพวกเขาก็ได้เช่ารถตู้และเดินทางไปที่กลาสโกว์  แต่เมื่อมาถึงกลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าคลับเพราะชื่อของพวกเขาไม่ได้อยู่ในรายการแสดงของคืนนั้น แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็หาวิธีเข้าไปข้างในจนได้ในที่สุด และพวกเขาก็ได้รับโอกาสเป็นวงเปิดและสร้างความประทับใจให้กับแมคกี้ที่มาที่นั่นเพื่อดูวง 18 Wheeler และ Sister Lovers ที่สมาชิกวงคือ เด็บบี้ เทิร์น (Debbie Turner) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา ต่อมาแม็กกี้ได้เสนอให้ Oasis เซ็นสัญญาการบันทึกเสียง แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เซ็นสัญญาเลยทันทีจนเวลาล่วงไปหลายเดือน หลังจากที่มีปัญหาในการเซ็นสัญญาที่อเมริกา Oasis จึงเซ็นสัญญาทั่วโลกกับ Sony ซึ่งก็ได้ให้สิทธิ์ Oasis แก่ค่าย Creation ในสหราชอาณาจักร

หลังจากที่ปล่อยเดโมของเพลง “Columbia” ออกมาในรูปแบบ white label วง Oasis ได้ออกทัวร์ทั่วสหราชอาณาจักรเพื่อโปรโมตซิงเกิลแรก “Supersonic” โดยเล่นที่สถานที่ต่าง ๆ เช่น Tunbridge Wells Forum ซึ่งเป็นห้องน้ำสาธารณะที่ปรับปรุงใหม่ “Supersonic” ออกวางจำหน่ายในเดือนเมษายน 1994 และติดอันดับ 31 ในชาร์ตเพลง ซิงเกิลถัดไป “Shakermaker” กลายเป็นคดีฟ้องร้องเรื่องการลอกเพลงเพราะทำนองและเมโลดี้ของเพลงนี้มีความคล้ายคลึงกับเพลง “I’d Like to Teach the World to Sing” ของวง The New Seekers ซึ่งเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นทศวรรษ 1970 และถูกใช้ในโฆษณาของ Coca-Cola ด้วย ซึ่ง Oasis ต้องจ่ายค่าปรับถึง $500,000 ซิงเกิลที่สาม “Live Forever” เป็นซิงเกิลแรกที่ติดอันดับท็อปเท็นในชาร์ต UK Singles Chart อัลบั้มเปิดตัวของ Oasis “Definitely Maybe” ออกวางจำหน่ายในวันที่ 29 สิงหาคม 1994 และขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต UK Albums Chart ภายในสัปดาห์เดียวหลังจากวางจำหน่าย และกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ขายดีที่สุดในสหราชอาณาจักรในขณะนั้น

“Definitely Maybe” อัลบั้มแรกของวง Oasis

เป็นเวลากว่าปีที่วงทำการแสดงสดและบันทึกเสียงไม่หยุดหย่อน ผนวกกับไลฟ์สไตล์ที่กำลังหลงระเริงกับความสำเร็จทำให้วงได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในระหว่างการแสดงที่ลอสแอนเจลิสในเดือนกันยายน 1994 ที่เลียมทำการแสดงได้ไม่ดีนัก กล่าวคำพูดที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับผู้ชมชาวอเมริกันและทำร้ายโนลด้วยแทมโบรีน โนลโกรธและตัดสินใจออกจากวงชั่วคราวและบินไปที่ซานฟรานซิสโก (เหตุการณ์นี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเพลง “Talk Tonight”) โนลถูกติดตามโดย ทิม แอบบอท (Tim Abbot) จาก Creation และเดินทางไปลาสเวกัส เมื่อไปถึงที่นั่นโนลถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับมาทำงานกับวงและได้คืนดีกับเลียม จากนั้นทัวร์ก็กลับมาดำเนินต่อที่มินนีแอโพลิส (Minneapolis) ติดตามด้วยซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้ม Definitely Maybe “Cigarettes & Alcohol” และซิงเกิลคริสต์มาส “Whatever” ที่ออกในเดือนธันวาคม 1994 ซึ่งติดอันดับสามในชาร์ตเพลงของสหราชอาณาจักร

1995–1996 “(What’s the Story) Morning Glory ?” สู่ความดังระดับโลก

ในเดือนเมษายน 1995 ซิงเกิล “Some Might Say” ของ Oasis ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงอังกฤษเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกันโทนี่ แม็กคาร์รอล ก็ถูกไล่ออกจากวง หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้แม็กคาร์รอลถูกไล่ออกจากวงก็คือทักษะการเล่นกลองของเขาถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับทิศทางดนตรีที่ Oasis กำลังจะพัฒนาในอัลบั้มที่สอง “(What’s the Story) Morning Glory ?” แม้ว่าแม็กคาร์รอลจะมีบทบาทในอัลบั้มแรก “Definitely Maybe” และช่วยสร้างเสียงดนตรีที่ดุดันและมีพลัง แต่โนลและสมาชิกในวงรู้สึกว่าเขาไม่มีความยืดหยุ่นพอที่จะพาวงไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างแม็กคาร์รอลและโนลยังเป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย เนื่องจากทั้งสองมักจะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ในวงตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด แม็กคาร์รอลถูกไล่ออกจากวงและถูกแทนที่โดย อลัน ไวต์ (Alan White) ที่เคยเป็นสมาชิกวง Starclub และเป็นพี่ชายของมือกลอง สตีฟ ไวต์ (Steve White) ซึ่ง พอล เวลเลอร์ (Paul Weller) แนะนำให้โนลได้รู้จัก จากนั้นไวต์ก็ปรากฏตัวครั้งแรกกับ Oasis ในการแสดง “Some Might Say” ในรายการ Top of the Pops

Oasis เริ่มบันทึกเพลงสำหรับอัลบั้มที่สองที่ ร็อกฟิลด์ สตูดิโอ (Rockfield Studios) ใกล้มอนมัธ (Monmouth) ในเดือนพฤษภาคม ในช่วงนี้ สื่ออังกฤษเริ่มจับตามองความขัดแย้งระหว่าง Oasis และวง Britpop ที่น่าจับตามองอีกวงนั่นก็คือ Blur ในวันที่ 14 สิงหาคม 1995 Blur และ Oasis ปล่อยซิงเกิลในวันเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้น “Battle of Britpop” ที่สื่อทั้งหลายต่างให้ความสนใจและติดตามมาโดยตลอด ตอนนั้นซิงเกิล “Country House” ของ Blur ขายได้มากกว่า “Roll with It” ของ Oasis 274,000 ชุด เทียบกับ 216,000 ชุดในสัปดาห์นั้น

NME นิตยสารดนตรีชื่อดังของอังกฤษพาดหัวข่าวการปะทะซิงเกิลกันของ Oasis และ Blur

ผู้จัดการวงของ Oasis โต้แย้งว่า “Country House” ขายดีเพราะราคาถูกกว่า (£1.99 เทียบกับ £3.99) และมีสองเวอร์ชันของซิงเกิล”Country House” ซึ่งมี B-sides แตกต่างกัน ทำให้แฟน ๆ ต้องซื้อถึงสองชุด ส่วน Creation ก็กล่าวว่ามีปัญหากับบาร์โค้ดของซิงเกิล “Roll with It” ที่ไม่ได้บันทึกยอดขายทั้งหมด ตามาด้วยเรื่องฉาวที่โนลกล่าวใน The Observer ในเดือนกันยายนปีนั้นว่าเขาหวังว่าสมาชิกของ Blur จะ “ติดโรคเอดส์และตาย ๆ ไปซะ” ทำให้เกิดกระแสความขุ่นเคืองในสื่อ และโนลได้ขอโทษผ่านจดหมายอย่างเป็นทางการที่ส่งไปยังสื่อต่าง ๆ

ต่อมาแม็กกีแกนก็ขอออกจากวงในเดือนกันยายน 1995 เป็นการชั่วคราวโดยอ้างว่ามีอาการเครียด และถูกแทนที่โดย สกอตต์ แมคลอยด์ (Scott McLeod) จากวง Ya Ya’s ซึ่งเข้าร่วมการทัวร์บางรายการและปรากฏในมิวสิกวิดีโอ “Wonderwall” ก่อนแมคลอยด์จะขอออกจากวงอย่างกะทันหันขณะอยู่ในทัวร์ที่สหรัฐอเมริกา แมคลอยด์ติดต่อโนลและกล่าวว่าเขารู้สึกว่าตัดสินใจผิด โนลจึงตอบกลับอย่างเจ็บแสบและไร้เยื่อใยว่า “ผมก็คิดว่าคุณตัดสินใจผิดเช่นกัน ขอให้โชคดีในการหางานใหม่นะ”

การบาดหมางกันของสองพี่น้องโนล-เลียมเริ่มฉายแววมาตั้งแต่ช่วงนี้ ตั้งแต่ก่อนที่วงจะมีชื่อเสียงทั่วโลกจากอัลบั้มที่สอง “(What’s the Story) Morning Glory ?” (1995) พฤติกรรมของโนลและเลียมก็เป็นที่สนใจในสื่อแล้ว ในการสัมภาษณ์ที่มีชื่อเสียงกับนิตยสาร NME ในปี 1994 สองพี่น้องต่างสาดคำสบประมาทให้กันและกัน ซึ่งการแลกเปลี่ยนอันดุเดือดนี้ต่อมาถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลยาว 14 นาทีชื่อ “Wibbling Rivalry”

นอกเหนือจากเหตุการณ์ในระหว่างทัวร์ในสหรัฐอเมริกา ที่เลียมได้ตีหัวโนลด้วยแทมบูรีนจนโนลจากวงแล้วกลับมาร่วมวงอีกครั้งในเวลาต่อมา ทั้งคู่ก็มีการปะทะกันอีกในปี 1995 เมื่อเลียมและเพื่อนของเขาได้เข้ามาขัดขวางการทำงานในสตูดิโอระหว่างการบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้ม “(What’s the Story) Morning Glory ?” ทำให้โนลโกรธมากจนหยิบไม้คริกเก็ตขึ้นมาและพยายามจะตีเลียมที่ศีรษะ ผลก็คือสตูดิโอพังไปหมด ทุกอย่างถูกทำลายลงในเหตุการณ์อันไร้สาระนี้ อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งสองก็รับรู้ถึงความไร้เหตุผลของการทะเลาะกันครั้งนี้ และในภายหลังพวกเขาได้ตัดสินใจนำไม้คริกเก็ตที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไปขายในงานประมูลพร้อมกับใบรับรองความแท้ในปี 2011 แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังมีอารมณ์ขันแม้จะเคยทะเลาะกันอย่างรุนแรงก็ตาม

ไม้คริกเก็ตในตำนาน

แม้ว่าดนตรีที่นุ่มนวลขึ้นในอัลบั้มที่สองของ Oasis “(What’s the Story) Morning Glory ?” จะได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลายในตอนแรก แต่การเปิดตัวอัลบั้มนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยขายได้มากกว่า 4 ล้านชุด และกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดอันดับห้าของประวัติศาสตร์ชาร์ตเพลงอังกฤษ ภายในปี 2008 อัลบั้มนี้ขายได้ถึง 22 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล อัลบั้มนี้ยังได้ผลิตซิงเกิลยอดนิยมอีกสองเพลงคือ “Wonderwall” และ “Don’t Look Back in Anger” ซึ่งติดอันดับสองและหนึ่งตามลำดับ รวมถึง “Champagne Supernova” ที่ได้รับการชื่นชมอย่างมาก ซึ่งมีการเล่นกีตาร์และการร้องแบ็คอัพโดยพอล เวลเลอร์ (Paul Weller) และขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต US Modern Rock Tracks

“(What’s the Story) Morning Glory ?” อัลบั้มชุดที่สองของ Oasis

ในเดือนพฤศจิกายน 1995 Oasis เล่นคอนเสิร์ตติดต่อกันสองคืนที่ เอิร์ลส์ คอร์ต (Earls Court) ในลอนดอน ซึ่งเป็นการแสดงในร่มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในขณะนั้นโนลใช้กีตาร์ Sheraton ที่ตกแต่งด้วยธง Union Jack ซึ่ง Epiphone ได้นำมาจำหน่ายในชื่อ “Supernova” ในวันที่ 27 และ 28 เมษายน 1996 Oasis เล่นคอนเสิร์ตกลางแจ้งครั้งแรกที่สนามฟุตบอล Maine Road ซึ่งเป็นบ้านของ Manchester City F.C. ซึ่งพี่น้องกัลลาเกอร์ได้เป็นแฟนตัวยงตั้งแต่เด็ก ไฮไลท์จากคืนที่สองปรากฏในมิวสิกวิดีโอ “…There and Then” ที่ออกในปีเดียวกัน พร้อมกับภาพจากการแสดงที่เอิร์ลส์ คอร์ต

โนลและกีตาร์ ‘Union Jack’ Sheraton

ขณะที่เส้นทางอาชีพของพวกเขาถึงจุดสูงสุด Oasis ได้แสดงต่อหน้าผู้ชม 80,000 คนในสองคืนที่อุทยานแห่งชาติบัลลอช (Balloch Country Park) ที่ทะเลสาบโลมอนด์ (Loch Lomond) ในสกอตแลนด์เมื่อวันที่ 3 และ 4 สิงหาคม ก่อนที่จะจัดคอนเสิร์ตติดต่อกันที่ เน็บเวิร์ธ เฮาส์ (Knebworth House) ในวันที่ 10 และ 11 สิงหาคม บัตรถูกขายหมดภายในไม่กี่นาที ผู้ชมจำนวน 125,000 คนในแต่ละคืน (จากการสมัครซื้อตั๋ว 2.5 ล้านใบ และขายจริง 250,000 ใบ ซึ่งแสดงถึงความต้องการที่สูงถึง 20 คืน) เป็นจำนวนที่ทำลายสถิติสำหรับคอนเสิร์ตกลางแจ้งในสหราชอาณาจักรและยังคงเป็นความต้องการสูงสุดสำหรับการแสดงในประวัติศาสตร์อังกฤษ

ต่อมาเลียมเริ่มทำตัวเป็นร็อกสตาร์ออกอาการเกเรมากขึ้น เริ่มจากตอนที่ Oasis มีกำหนดบันทึกการแสดง MTV Unplugged ที่ Royal Festival Hall แต่เลียมกลับถอนตัว โดยอ้างว่าเจ็บคอ แต่เขากลับมานั่งดูการแสดงจากระเบียงพร้อมกับเบียร์และบุหรี่ และคอยเรียกโนลระหว่างเพลง จากนั้นในอีกสี่วันต่อมา วงดนตรีออกทัวร์อเมริกา แต่เลียมปฏิเสธที่จะไป วงตัดสินใจที่จะดำเนินการทัวร์ต่อไปโดยโนลร้องนำ เลียมกลับมาร่วมทัวร์อีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม และในวันที่ 4 กันยายน 1996 Oasis ได้แสดงเพลง “Champagne Supernova” ที่ MTV Video Music Awards ที่ Radio City Music Hall ในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งเลียมแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบนเวที ระหว่างการแสดงเลียมเล่นท่าทางล้อเลียนขณะที่โนลกำลังเล่นกีตาร์อยู่ และยังสาดเบียร์ทั่วเวทีก่อนที่จะลงเวทีไปอย่างโมโห จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ต่อมาโนลบินกลับบ้านโดยไม่มีวงตามมาในเที่ยวบินอื่น เหตุการณ์นี้ทำให้สื่อคาดเดาว่าวงอาจจะแยกทางกัน จากนั้นพี่น้องกัลลาเกอร์กลับมาคืนดีและตัดสินใจที่จะทำการทัวร์ให้เสร็จสิ้น

1996–1999 “Be Here Now” และ “The Masterplan” งานนี้พี่ไม่ปลื้ม

Oasis ใช้เวลาตลอดปลายปี 1996 และไตรมาสแรกของปี 1997 ที่ Abbey Road Studios ในลอนดอนและ Ridge Farm Studios ในเซอร์เรย์ (Surrey) เพื่อบันทึกอัลบั้มที่สามของพวกเขา การทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้องกัลลาเกอร์เป็นปัญหาที่หนักหน่วงในช่วงการบันทึกเสียง อัลบั้ม “Be Here Now” เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 1997 โดยมีซิงเกิลอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักร “D’You Know What I Mean ?” เป็นการเปิดตัวที่มีความคาดหวังอย่างสูงและได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมาก ภาพของแฟน ๆ ที่ถือแผ่นเพลงของ Oasis ด้วยความดีใจถูกถ่ายทอดผ่านรายการข่าว ITV News at Ten ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการข่าวที่มีชื่อเสียงในอังกฤษ ผู้ประกาศข่าว ชื่อดังของรายการ เทรเวอร์ แมคโดนัลด์ (Trevor McDonald) ได้กล่าวคำว่า “mad for it” ซึ่งเป็นวลีที่สมาชิกวง Oasis ใช้บ่อย ๆ เพื่อแสดงความตื่นเต้นและความคลั่งไคล้ของแฟนเพลง

ในวันแรกที่เปิดตัว “Be Here Now” ขายได้ 424,000 หน่วย และยอดขายในสัปดาห์แรกสูงถึง 696,000 หน่วย ทำให้มันเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษจนกระทั่ง Adele ปล่อยอัลบั้ม “25” ในปี 2015 อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับสองบนชาร์ต Billboard 200 ในสหรัฐอเมริกา แต่ยอดขายในสัปดาห์แรกที่ 152,000 หน่วย ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 400,000 หน่วย ทำให้วงรู้สึกเฟลไปเหมือนกัน

“Be Here Now” อัลบั้มชุดที่สามของ Oasis

เพลงในอัลบั้มส่วนใหญ่เขียนโดยโนลระหว่างการพักผ่อนกับ เคต มอส (Kate Moss), จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) และ มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) โนลได้แสดงความเสียใจต่อกระบวนการเขียนในอัลบั้ม “Be Here Now” โดยกล่าวว่าอัลบั้มนี้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของสองอัลบั้มแรกของวง “ในสตูดิโอ มันยอดเยี่ยม และในวันที่มันปล่อยออกมา มันก็ดี แต่เพียงเมื่อผมได้ออกทัวร์เท่านั้นล่ะ ผมก็คิดเลยว่า ‘มันไม่ได้ดีเลย’ … แต่ผู้คนก็เตรียมที่จะเถียงกับผมว่า ‘ฉันรักอัลบั้มนี้นะ !’ และผมก็แค่พูดกลับไปว่า ‘ฟังนะเพื่อน ! ฉันเขียนมันด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นฉันรู้ว่าฉันใส่ความพยายามไปมากแค่ไหน ซึ่งมันไม่ได้มากมายขนาดนั้นหรอกนะ’” และโนลก็ยังเคยพูดถึงอัลบั้มนี้ในสัมภาษณ์ก่อนการปล่อยอัลบั้ม โดยบอกกับ NME ว่า “อัลบั้มนี้จะไม่ทำให้ใครรู้สึกเซอร์ไพรส์หรอก” อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรอบตัวเขาเลยที่จะเห็นด้วยกับความกังวลของเขา ทุกคนต่างพูดกันว่า ‘มันยอดเยี่ยม !’”

หลังจากการทัวร์ Be Here Now สิ้นสุดลงในต้นปี 1998 ในปีถัดไป Oasis ก็ปล่อยอัลบั้มรวมเพลง B-sides จำนวน 14 เพลงชื่อ “The Masterplan” ซึ่งดูเหมือนว่าโนลจะปลื้มกับอัลบั้ม B-sides นี้มากกว่า “Be Here Now” เสียอีก “สิ่งที่น่าสนใจจริง ๆ จากช่วงเวลานั้นคือ B-sides มีดนตรีที่สร้างสรรค์มากกว่าที่อยู่ใน Be Here Now เองเสียอีก” โนลกล่าวในการสัมภาษณ์ในปี 2008

“The Masterplan” อัลบั้ม B-sides ของ Oasis

1999–2001 เปลี่ยนแปลงสมาชิกครั้งใหญ่และการยืนบนไหล่ของยักษ์ “Standing on the Shoulder of Giants”

ต้นปี 1999 วงเริ่มทำงานในอัลบั้มสตูดิโอที่สี่ โดยเปิดเผยรายละเอียดแรกในเดือนกุมภาพันธ์ มาร์ค สเตนท์ (Mark Stent) ถูกเปิดเผยว่าจะเข้ามามีบทบาทในการผลิตร่วม แต่การทำงานเริ่มมีปัญหา และในเดือนสิงหาคมการลาออกของสมาชิกผู้ก่อตั้ง พอล “โบนเฮด” อาร์เธอร์ส ก็ถูกประกาศ ซึ่งการจากลากันครั้งนี้เป็นไปด้วยดีไม่มีความบาดหมางอะไร เขาเพียงแต่ต้องการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นและรู้สึกว่าการทัวร์และชีวิตในวงเริ่มทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาได้รับผลกระทบอย่างมาก ในขณะที่ Oasis เริ่มมีความตึงเครียดภายในวงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะระหว่างสมาชิกคนสำคัญอย่างพี่น้องกัลลาเกอร์ ยิ่งในช่วงนั้นมีนโยบาย “No Drink No Drug” ของโนลที่ออกกฏเพื่อให้เลียมรักษาสภาพเสียงให้อยู่ในสภาพดี ทำให้ทั้งสองปะทะกันบ่อย ๆ  การตัดสินใจของโบนเฮดจึงอาจเป็นผลจากความต้องการที่จะหลีกหนีจากความตึงเครียดนั้น และโฟกัสที่ชีวิตส่วนตัวของเขา

สองสัปดาห์ต่อมา ก็ถึงเวลาที่มือเบส พอล แม็กกีแกน ลาออกจากวงบ้าง พี่น้องกัลลาเกอร์ได้จัดการแถลงข่าวไม่นานหลังจากนั้น โดยยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า “อนาคตของ Oasis ยังคงมั่นคง เรื่องราวและเกียรติยศของเราจะยังคงดำเนินต่อไป” หลังจากการบันทึกเสียงเสร็จสิ้น วงจึงเริ่มค้นหาสมาชิกใหม่ สมาชิกใหม่คนแรกที่ถูกประกาศคือ โคลิน “เจ็ม” อาร์เชอร์ (Colin “Gem” Archer) นักกีตาร์/กีตาร์ริธึมจากวง Heavy Stereo ซึ่งภายหลังกล่าวว่าโนลเข้ามาติดต่อเขาเพียงไม่กี่วันหลังจากการประกาศลาออกของโบนเฮด ต่อมาการหามือเบสที่จะมาแทนแม็กกีแกนใช้เวลานานและยุ่งยาก ตอนแรกวงก็ลองซ้อมกันกับ เดวิด พอตส์ (David Potts) แต่เขาก็ลาออกอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงนำ แอนดี้ เบลล์ (Andy Bell) นักกีตาร์/นักแต่งเพลงจากวง Ride และ Hurricane #1 มาเป็นมือเบสใหม่ของวง เบลล์ไม่เคยเล่นเบสมาก่อนและต้องเรียนรู้การเล่นเบสรวมถึงเพลงจากคลังเพลงเก่าของ Oasis เพื่อเตรียมตัวสำหรับทัวร์ในสหรัฐอเมริกาที่กำหนดไว้ในเดือนธันวาคม 1999 (โนลเคยกล่าวถึงแอนดี้ว่า “ผมรู้สึกประหลาดใจที่แอนดี้ยอมมาเล่นเบส เพราะจริง ๆ แล้วเขาเป็นมือกีตาร์ที่เก่งมากเลย”)

ด้วยการปิดตัวของค่าย Creation Records Oasis จึงก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองนั่นคือ “Big Brother” ซึ่งปล่อยอัลบั้มของ Oasis ทั้งหมดในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ อัลบั้มที่สี่ของ Oasis “Standing on the Shoulder of Giants” เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2000 ด้วยยอดขายที่ดีในสัปดาห์แรก เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตอังกฤษและสูงสุดที่อันดับ 24 ในชาร์ต Billboard อัลบั้มนี้มีซิงเกิล 4 เพลงที่ปล่อยออกมาคือ “Go Let It Out” “Who Feels Love ?” “Sunday Morning Call” และ “Where Did It All Go Wrong ?” ซึ่งสามเพลงแรกเป็นซิงเกิลท็อป 5 ของสหราชอาณาจักร

“Standing on the Shoulder of Giants” อัลบั้มชุดที่สี่ของ Oasis

มิวสิกวิดีโอ “Go Let It Out” ถูกถ่ายทำก่อนที่เบลล์จะเข้าร่วมวง ดังนั้นจึงมีการจัดจำแหน่งวงที่ไม่ปกติคือ เลียมเล่นกีตาร์ริธึม อาร์เชอร์เล่นกีตาร์ลีดและโนลเล่นเบส ด้วยการจากไปของสมาชิกผู้ก่อตั้งวง ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทั้งในภาพลักษณ์และซาวด์ของวง รวมถึงโลโก้ใหม่ของ “Oasis” ที่ออกแบบโดย เจ็ม อาร์เชอร์และอัลบั้มนี้ยังเป็นการเปิดตัวครั้งแรกที่มีเพลงที่เขียนโดยเลียมนั่นก็คือ “Little James” นอกจากนี้เพลงในอัลบั้มยังมีอิทธิพลของงานดนตรีแนวทดลองและไซคีเดลิกเข้ามาผสมผสานด้วย “Standing on the Shoulder of Giants” ได้รับการวิจารณ์ในระดับปานกลาง และยอดขายลดลงในสัปดาห์ที่สองของการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา

เพื่อสนับสนุนอัลบั้ม วงได้จัดทัวร์ทั่วโลกซึ่งตามมาด้วยเหตุการณ์วุ่น ๆ มากมาย อย่างเช่นเหตุการณ์ในทัวร์ที่บาร์เซโลนาในปี 2000 วงต้องยกเลิกการแสดงเนื่องจากอลัน ไวต์มือกลองของวงประสบกับอาการอักเสบของเส้นเอ็น (tendinitis) ทำให้เขาไม่สามารถใช้แขนเพื่อเล่นกลองได้ตามปกติ วงจึงต้องตัดสินใจยกเลิกการแสดงในคืนนั้นเพราะไม่สามารถเล่นได้โดยขาดมือกลอง สมาชิกของ Oasis เลยเลือกที่จะใช้เวลาคืนวันนั้นไปกับการดื่มเพื่อผ่อนคลายจากความเฟลนี้แทน ช่วงนี้การทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้องกัลลาเกอร์ก็ยังคงระอุ โนลประกาศว่าเขาจะเลิกทัวร์ต่างประเทศทั้งหมด และ Oasis ควรจะจบการทัวร์โดยไม่มีเขา แต่ต่อมาโนลได้กลับมาสำหรับทัวร์ในไอร์แลนด์และอังกฤษ ซึ่งรวมถึงการแสดงใหญ่ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ (Wembley Stadium) สองครั้ง และมีการออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดครั้งแรกคือ “Familiar to Millions” เปิดตัวในช่วงปลายปี 2000 และได้รับการวิจารณ์ที่ผสมกันไปทั้งด้านบวกและลบ

“Familiar to Millions” อัลบั้มบันทึกการแสดงสดอัลับ้มแรกของ Oasis

2001–2003 “Heathen Chemistry” และเคมีจากสมาชิกใหม่ในอัลบั้ม

ตลอดปี 2001 Oasis แบ่งเวลาในการทำงานอัลบั้มสตูดิโอชุดที่ห้ากับการแสดงสดทั่วโลก โดยรวมถึงทัวร์ที่ชื่อ Tour of Brotherly Love ร่วมกับวง Black Crowes และ Spacehog และการแสดงที่ปารีสกับ นีล ยัง (Neil Young)

อัลบั้มที่ชื่อ “Heathen Chemistry” วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2002 และเป็นอัลบั้มแรกที่มีสมาชิกใหม่อย่างแอนดี้ เบลล์และเจ็ม อาร์เชอร์ อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและติดอันดับ 23 ในสหรัฐอเมริกา และได้รับการตอบรับจากนักวิจารณ์ที่หลากหลาย อัลบั้มนี้มีซิงเกิล 4 เพลง ได้แก่ “The Hindu Times” “Stop Crying Your Heart Out” “Little by Little/She Is Love” ซึ่งทั้งหมดเขียนโดยโนล ส่วนอีกซิงเกิลหนึ่งคือ “Songbird” นั้นเลียมเป็นคนเขียนเอง ซึ่งถือว่าเป็นซิงเกิลแรกที่ไม่ได้เขียนโดยโนล “Heathen Chemistry” ผสมผสานงานดนตรีแนวทดลองที่มีอยู่ในอัลบั้มก่อนหน้านี้กับการกลับไปยังสุ้มเสียงร็อกแบบดั้งเดิม การบันทึกเสียงในอัลบั้มนี้ทำให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการเขียนเพลงที่สมดุลมากขึ้นจากสมาชิกทุกคน ยกเว้นก็เสียแต่ไวต์เท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ จอห์นนี่ มาร์ (Johnny Marr) แห่งวง The Smiths มาร่วมแจมกีตาร์และร่วมร้องแบ็กอัพด้วยในบางเพลง

“Heathen Chemistry” อัลบั้มชุดที่ห้าของ Oasis

หลังจากการปล่อยอัลบั้ม Oasis ได้เริ่มการทัวร์โลกที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเดือนสิงหาคม 2002 ขณะอยู่ในทัวร์ที่สหรัฐอเมริกา โนล เบลล์และมือคีย์บอร์ดสำหรับทัวร์คือ เจ ดาร์ลิงตัน (Jay Darlington) ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่อินเดียนาโพลิส แม้ว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรง แต่บางโชว์ต้องถูกยกเลิกเพราะผลจากเหตุการณ์นี้  ต่อมาในเดือนธันวาคม 2002 ขณะอยู่ในช่วงหลังของทัวร์ยุโรปที่เยอรมนี เลียม ไวต์และสมาชิกสามคนของวงถูกจับกุมหลังจากการทะเลาะวิวาทรุนแรงที่ไนท์คลับในมิวนิค ตอนนั้นพวกเขาดื่มกันหนักมากไปหน่อย และผลการตรวจยังพบว่าเลียมใช้โคเคนด้วย  คืนนั้นเลียมสูญเสียฟันหน้าไปสองซี่และเตะตำรวจ ขณะที่ ไวต์ได้รับบาดเจ็บที่หัวเล็กน้อยจากการโดนฟาดด้วยถังขยะ เลียมถูกปรับประมาณ £40,000 วงเสร็จสิ้นการทัวร์ในเดือนมีนาคม 2003 ล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิมจากการที่ต้องมีการเลื่อนทัวร์นั่นเอง

เหตุวุ่นวายที่ไนท์คลับในมิวนิค

2003–2007 การจากไปของอลัน ไวต์และอัลบั้มใหม่ “Don’t Believe the Truth”

Oasis เริ่มบันทึกอัลบั้มที่หกในปลายเดือนธันวาคม 2003 โดยทำงานในช่วงแรกร่วมกับโปรดิวเซอร์คือวง Death in Vegas ที่ซอว์มิลส์ สตูดิโอส์ (Sawmills Studios) ในคอร์นวอลล์ แต่ต่อมาโนลรู้สึกว่าเพลงที่ทำกันมันยังดีไม่พอ สุดท้ายจึงได้เดฟ ซาร์ดี (Dave Sardy) มาโปรดิวซ์แแทน อัลบั้มนี้มีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนกันยายน 2004 เพื่อให้ตรงกับครบรอบ 10 ปีของการปล่อยอัลบั้ม “Definitely Maybe” อย่างไรก็ตาม ไวต์ที่ตีกลองให้วงมานานกว่า 9 ปีได้ถูกขอให้ออกจากวงไป จากนั้นไวต์ก็ถูกแทนที่ด้วยแซค สตาร์กี้ (Zak Starkey) ซึ่งเป็นมือกลองของวง The Who และเป็นลูกชายของมือกลองของ The Beatles ริงโก สตาร์ (Ringo Starr) แม้ว่าสตาร์กี้จะทำการบันทึกเสียงและทัวร์กับวง แต่เขาไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ และวง Oasis ได้กลายเป็นวงสี่คนเป็นครั้งแรกในอาชีพของพวกเขา ส่วนสตาร์กี้นั้นเล่นกับวงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่ Poole Lighthouse

ไม่กี่วันต่อมา Oasis ที่มีสตาร์กี้ ได้เป็นศิลปินหลักในงานเทศกาล Glastonbury Festival เป็นครั้งที่สองในอาชีพของพวกเขา และแสดงเซ็ตที่รวมเพลงฮิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงเพลงใหม่สองเพลงคือ “A Bell Will Ring” ของอาร์เชอร์และ “The Meaning of Soul” ของเลียม แต่การแสดงได้รับการวิจารณ์เชิงลบ โดย NME เรียกมันว่า “ภัยพิบัติ” และทอม บิชอป (Tom Bishop) ของ BBC กล่าวว่าเซ็ตเพลงของ Oasis “ไม่มีชีวิตชีวาและไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไร” สาเหตุหลักมาจากการร้องที่ไม่มีแรงบันดาลใจของเลียมและประสบการณ์ที่น้อยของสตาร์กี้ในบทเพลงของวงนั่นเองหลังจากความวุ่นวายมากมาย อัลบั้มที่หกของวงถูกบันทึกที่ Capitol Studios ในลอสแอนเจลิสตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคมในปีเดียวกัน เดฟ ซาร์ดีรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หลักแทนโนลที่ตัดสินใจถอยหลังจากหน้าที่นี้หลังจาก 10 ปีของการเป็นผู้นำวงมาโดยตลอด ในเดือนพฤษภาคม 2005 หลังจากผ่านไป 3 ปีและผ่านการบันทึกที่ถูกยกเลิกหลายครั้ง ในที่สุดวงก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดที่หกของพวกเขาออกมานั่นคือ “Don’t Believe the Truth” ซึ่งทำให้พวกเขาทำสำเร็จตามสัญญากับ Sony BMG อัลบั้มนี้ได้ติดตามเส้นทางของ “Heathen Chemistry” ด้วยการเป็นโปรเจกต์ร่วมกันอีกครั้ง แทนที่จะเป็นอัลบั้มที่เขียนโดยโนลเพียงคนเดียว อัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ไม่ได้มีการตีกลองโดยอลัน ไวต์ ทำให้เป็นการบันทึกเสียงครั้งแรกของสตาร์กี้ อัลบั้มนี้ได้รับการชื่นชมว่าเป็นความพยายามที่ดีที่สุดของวงนับตั้งแต่ “Morning Glory” โดยแฟน ๆ และนักวิจารณ์ต่างชื่นชอบ โดยมีซิงเกิลอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรสองเพลงคือ “Lyla” และ “The Importance of Being Idle” ขณะที่ “Let There Be Love” ติดอันดับที่สอง Oasis ได้รับรางวัลสองรางวัลที่ Q Awards รางวัล People’s Choice Award และอีกหนึ่งรางวัลสำหรับ “Don’t Believe the Truth” คือรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยม ตามรอยอัลบั้มทั้งห้าของ Oasis “Don’t Believe the Truth” ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบั้มของสหราชอาณาจักรด้วยเช่นกัน จนถึงปัจจุบันอัลบั้มนี้ได้ขายไปมากกว่า 6 ล้านชุดทั่วโลก

“Don’t Believe the Truth” อัลบั้มชุดที่หกของ Oasis

ในเดือนพฤษภาคม 2005 วงเริ่มการเวิลด์ทัวร์ เริ่มต้นที่ London Astoria เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2005 และสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2006 กับโชว์ที่ sold out ในเมืองเม็กซิโกซิตี้ Oasis ได้แสดงสดมากกว่าที่เคยตั้งแต่ทัวร์ Definitely Maybeโดยได้ไปเยือนกว่า 26 ประเทศและเป็นศิลปินหลักใน 113 การแสดง โดยมีผู้ชมมากกว่า 3.2 ล้านคน ทัวร์ผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายใด ๆ และถือเป็นทัวร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรอบ 10 ปี ทัวร์ครั้งนี้รวมถึงการแสดงที่ขายหมดที่ Madison Square Garden ในนิวยอร์กและ Hollywood Bowl ในลอสแอนเจลิส ภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทำขึ้นในระหว่างทัวร์ชื่อ “Lord Don’t Slow Me Down” กำกับโดย ดิ๊ก คาร์รูเธอร์ส (Dick Carruthers) ได้รับการเผยแพร่ในเดือนตุลาคม 2007 โดยมี DVD ที่รวมภาพการแสดงสดจากการแสดงของ Oasis ที่แมนเชสเตอร์เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2005 ด้วย

Oasis ได้ปล่อยอัลบั้มรวมเพลงสองชุดชื่อ “Stop the Clocks” ในปี 2006 ซึ่งรวบรวมเพลงที่วงถือว่ามีความสำคัญที่สุดของพวกเขา วงได้รับรางวัล Brit Award สำหรับ Outstanding Contribution to Music ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 และเล่นเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาหลายเพลงหลังจากนั้น Oasis ยังปล่อยซิงเกิลดิจิตอลเท่านั้นเป็นครั้งแรกคือ “Lord Don’t Slow Me Down” ในเดือนตุลาคม 2007 โดยเพลงนี้ติดอันดับที่สิบในชาร์ตซิงเกิลของสหราชอาณาจักร

“Stop the Clocks” อัลบั้มรวมเพลงฮิตจาก Oasis

2007–2009 “Dig Out Your Soul” อัลบั้มชุดสุดท้ายก่อนบายกัน

ความนิยมที่กลับคืนมาของวงหลังจากความสำเร็จของ “Don’t Believe the Truth” ได้รับการเน้นย้ำในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ในการสำรวจเพื่อหาสิบอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาซึ่งจัดโดยนิตยสาร Q และ HMV สองอัลบั้มของ Oasis ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งและอันดับสอง (Definitely Maybe และ What’s The Story Morning Glory ? ตามลำดับ) อีกสองอัลบั้มของวงปรากฏในรายการด้วยคือ “Don’t Believe The Truth” ติดอันดับที่ 14 และอัลบั้มที่เคยได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากสื่อบางส่วนคือ “Be Here Now” ติดอันดับที่ 22

Oasis ได้บันทึกเสียงเป็นเวลาสองเดือนในปี 2007 ระหว่างเดือนกรกฎาคมและกันยายน โดยทำงานเสร็จสิ้นกับสองเพลงใหม่และทำเดโมของเพลงที่เหลือ จากนั้นพวกเขาได้หยุดพักเป็นเวลาสองเดือนเนื่องจากการที่ลูกชายของโนลได้เกิดมาลืมตาดูโลก วงกลับเข้าสู่สตูดิโอเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2007 และเสร็จสิ้นการบันทึกประมาณเดือนมีนาคม 2008 กับโปรดิวเซอร์เดฟ ซาร์ดี้

ในเดือนพฤษภาคม 2008 สตาร์กี้ได้ออกจากวงหลังจากการบันทึก “Dig Out Your Soul” ซึ่งเป็นอัลบั้มที่เจ็ดของวง เขาถูกแทนที่โดยคริส ชาร็อค (Chris Sharrock) มือกลองจากวง Icicle Works และ The La’s ในการทัวร์ของพวกเขา แต่คริสไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของวง และ Oasis ยังคงเป็นสี่คน ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้คือ “The Shock of the Lightning” ซึ่งเขียนโดยโนล และได้ปล่อยล่วงหน้าในวันที่ 29 กันยายน 2008 “Dig Out Your Soul” อัลบั้มที่เจ็ดของวง ถูกปล่อยในวันที่ 6 ตุลาคม และขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรและอันดับห้าใน Billboard 200 วงเริ่มทัวร์ที่คาดว่าจะยาวนาน 18 เดือน ซึ่งคาดว่าจะยาวจนถึงกันยายน 2009 โดยมีการสนับสนุนจาก Kasabian, The Enemy และ Twisted Wheel

“Dig Out Your Soul” อัลบั้มชุดที่เจ็ดของ Oasis

ในวันที่ 7 กันยายน 2008 ขณะกำลังแสดงที่ Virgin Festival ในโตรอนโต สมาชิกคนหนึ่งในผู้ชมวิ่งขึ้นไปบนเวทีและทำร้ายโนล ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ซี่โครงสามซี่ซึ่งหักและหลุดออกจากที่ ทำให้วงต้องยกเลิกการแสดงหลายรายการในระหว่างที่รอโนลฟื้นตัว ในเดือนมิถุนายน 2008 วงได้เซ็นสัญญากับ Sony BMG อีกครั้งสำหรับสัญญาอัลบั้มสามชุด

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2009 Oasis ได้รับรางวัล NME Award สำหรับวงดนตรีอังกฤษที่ดีที่สุดของปี 2009 และรางวัล Best Blog สำหรับ ‘Tales from the Middle of Nowhere’ ของโนล ในวันที่ 4 มิถุนายน 2009 Oasis ได้เล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกในสามคอนเสิร์ตที่ Heaton Park ในแมนเชสเตอร์ และต้องลงจากเวทีโดยเล่นไม่จบถึงสองครั้งเนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพัง ต่อมาพวกเขากลับมาครั้งที่สามและประกาศว่าคอนเสิร์ตนี้จะเป็นคอนเสิร์ตฟรี ซึ่งทำให้ผู้ถือบัตรทั้ง 70,000 คนดีใจเป็นที่สุด และมี 20,000 คนที่ขอรับเงินคืน คอนเสิร์ตสองครั้งถัดไปที่สถานที่เดียวกันจัดขึ้นในวันที่ 6 และ 7 มิถุนายน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยแฟน ๆ มาปรากฏตัวเป็นพัน ๆ คนแม้จะมีสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและปัญหาด้านเสียงในคืนแรก

2009–2024 ถึงวันที่ต้องแยกวงและศึกของสองพี่น้องที่ยืดเยื้อเรื้อรัง

หลังจากที่เลียมเป็นโรคกล่องเสียงอักเสบ Oasis ได้ยกเลิกการแสดงที่ V Festival ในเชล์มสฟอร์ด (Chelmsford) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2009 แต่ในปี 2011 โนลกลับบอกว่าการแสดงในครั้งนั้นถูกยกเลิกเนื่องจากเลียมมี “อาการเมาค้าง” เลียมจึงฟ้องร้องโนลและเรียกร้องการออกมาขอโทษ โดยกล่าวว่า “ความจริงคือผมเป็นโรคกล่องเสียงอักเสบ ซึ่งโนลเองก็ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนในเช้าวันนั้นจากการวินิจฉัยของหมอ” ต่อมาโนลได้ออกมาขอโทษและการฟ้องร้องได้ถูกยกเลิก

ในช่วงนั้นความสัมพันธ์ของสองพี่น้องถึงจุดที่พังพาบโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่มีการแลกหมัดกันก่อนการทัวร์รอบโลกและเริ่มเดินทางไปแสดงแยกจากกัน ในที่สุดวันที่สองพี่น้องเป็นอันต้องขาดกันก็มาถึง ตอนนั้นวงมีกำหนดจะเล่นในวันที่ 28 สิงหาคม 2009 ที่เทศกาล Rock en Seine ใกล้ปารีส อย่างไรก็ตาม ขณะครึ่งทางของการแสดงของ Bloc Party ที่เทศกาลนี้ นักร้องนำของ Bloc Party เคเล่ โอเคเรเก้ (Kele Okereke) (พร้อมกับปีเตอร์ ฮิลล์ (Peter Hill) ผู้จัดการทัวร์ของ Bloc Party) ได้ประกาศว่า Oasis จะไม่ขึ้นเวที สองชั่วโมงหลังจากนั้น โนลได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของวงว่า “มันเป็นเรื่องน่าเสียใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง… ผมลาออกจาก Oasis คืนนี้ จากนั้นผู้คนก็คงจะเขียนและพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่บอกเลยว่าผมไม่สามารถทำงานร่วมกับเลียมได้อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว”

ประกาศยกเลิกโชว์ของ Oasis ในเทศกาล Rock en Seine

ในแถลงการณ์หลังจากการแยกวงในปี 2009 โนลได้พูดถึงบรรยากาศที่เป็นพิษภายในวงโดยกล่าวว่า “ระดับของการคุกคามทางคำพูดและความรุนแรงต่อผม ครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงานได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทนได้” และในปี 2015 โนลได้ออกมาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันเทศกาล Rock en Seine กับ Far Out Magazine ว่า “เลียมไปที่ห้องแต่งตัวของเขา และกลับมาพร้อมกับกีตาร์ เขาเริ่มใช้มันเป็นเหมือนขวาน … มันเป็นการกระทำที่ใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น และเขากำลังแกว่งกีตาร์นี้ไปรอบ ๆ เขาเกือบจะตีหน้าผมด้วย”

ในขณะเดียวกันในการสัมภาษณ์กับ The Guardian เมื่อเดือนมกราคม 2024 เลียมกล่าวว่า โนลไม่พอใจกับการดื่มของเขาและมีเจตนาที่จะเป็นศิลปินเดี่ยวมาตลอด “ถ้าคุณอยากทำสิ่งเล็ก ๆ ของคุณเองเพราะคุณไม่ได้รับความสนใจมากพอ ก็ทำไปเถอะเพื่อน” เลียมกล่าวโดยพูดถึงการแสดงทางดนตรีที่โนลทำระหว่างทัวร์ของ Oasis

แม้แต่เมื่อต้นปีนี้ การรวมตัวกันของพี่น้องดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้ ในการสัมภาษณ์เดียวกันกับ The Guardian เลียมเปิดเผยว่าเขายังไม่ได้พูดคุยกับพี่ชายของเขานับตั้งแต่การเผชิญหน้าในปารีส “ฉันยังไม่ได้เห็นเขาและเราจะไม่พบกัน” เขากล่าว จนกระทั่งการประกาศรียูเนียนที่ผ่านมาซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งเซอร์ไพรส์ น่าตกใจและน่าดีใจไปพร้อม ๆ กันสำหรับแฟน ๆ

หลังจากเหตุการณ์วันเทศกาล Rock en Seine เลียมและสมาชิกที่เหลือของ Oasis ตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อภายใต้ชื่อ Beady Eye โดยปล่อยอัลบั้มสตูดิโอสองชุดจนถึงการแยกวงในปี 2014 เลียมเริ่มต้นการเป็นศิลปินเดี่ยวและได้ปล่อยอัลบั้มสตูดิโอสามชุด โดยมีโบนเฮดเข้าร่วมกับเขาเป็นครั้งคราวในการทัวร์ ส่วนโนลก็ได้สร้างโปรเจกต์เดี่ยวชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds และปล่อยอัลบั้มสตูดิโอสี่ชุด โดยที่ชาร์ร็อกและอาร์เชอร์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกในภายหลังเบลล์ได้รวมตัวกับวงเก่าของเขา Ride

เลียมและ Beady Eye
คอนเสิร์ต Sold Out ของเลียม กัลลาเกอร์ที่ไทยในปี 2018
คอนเสิร์ตของ Noel Gallagher’s High Flying Birds ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2019

ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2010 Oasis ได้รับรางวัล Best British Album of the Last 30 Years สำหรับ “What’s the Story Morning Glory ?” ที่ Brit Awards 2010 เลียมรับรางวัลเพียงลำพังก่อนที่จะกล่าวสุนทรพจน์ซึ่งขอบคุณโบนเฮด แม็กกีแกนและไวต์ แต่ไม่ขอบคุณโนล และโยนไมโครโฟนและรางวัลของวงไปในฝูงชน ต่อมาเขาออกมาปกป้องการกระทำของเขา

“Time Flies… 1994–2009” อัลบั้มรวบรวมซิงเกิล ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2010 ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายของวงที่ขึ้นอันดับหนึ่งใน UK Albums Chart เวอร์ชันรีมาสเตอร์ 3-disc ของ “Definitely Maybe” ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2014 ภาพยนตร์สารคดีชื่อ “Oasis: Supersonic” ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2016 ซึ่งเล่าเรื่องราวของ Oasis ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดสูงสุดของความโด่งดังในช่วงฤดูร้อนปี 1996 ภาพยนตร์สารคดีคอนเสิร์ตอีกเรื่องถูกปล่อยออกมาในเดือนกันยายน 2021 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของคอนเสิร์ตที่ทำลายสถิติของ Oasis ที่ Knebworth Park ในเดือนสิงหาคม 1996 การบันทึกเสียงเดโมใหม่ “Don’t Stop…” ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันจากการบันทึกระหว่างการซาวด์เช็กในฮ่องกง ถูกค้นพบใหม่ในระหว่างการระบาดของ COVID-19 และปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2020 มันได้รับการดูมากกว่า 1 ล้านครั้งบน YouTube ในเช้าวันนั้นและขึ้นอันดับที่ 80 ใน UK Singles Chart โดยอิงจากการสตรีมเพียงอย่างเดียว

“Time Flies… 1994–2009” อัลบั้มรวบรวมซิงเกิลจาก Oasis

2024–ปัจจุบัน การรวมตัวและทัวร์ Oasis Live ’25

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2024 ซึ่งเกือบ 15 ปีพอดีจากวันที่วงแยกตัวในปี 2009 Oasis ประกาศว่าจะรวมตัวกันเพื่อแสดงในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2025 โดยกล่าวว่า “ปืนได้เงียบสงัดแล้ว ดวงดาวได้จัดเรียงตัวแล้ว การรอคอยอันยิ่งใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว มาร่วมชมกัน มันจะไม่ถูกถ่ายทอดทางทีวี” ต่อมาได้มีการเปิดเผยว่าโบนเฮดสมาชิกดั้งเดิมและสมาชิกของ Noel Gallagher’s High Flying Birds จะเข้าร่วมแสดงเคียงข้างสองพี่น้องโนล-เลียม

ตามการประกาศของวง Oasis จะเล่น 14 รอบการแสดงในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2025 รวมถึงการแสดงสี่ครั้งที่ Wembley Stadium ในลอนดอนและอีกสี่ครั้งในเมืองแมนเชสเตอร์บ้านเกิดของพี่น้องกัลลาเกอร์ ซึ่งการแสดงอาจไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในยุโรปเท่านั้น “มีแผนการอยู่ระหว่างการดำเนินการสำหรับ Oasis Live ’25 ที่จะไปยังทวีปอื่น ๆ นอกเหนือจากยุโรปในปีหน้า” วงได้เขียนไว้ในเว็บไซต์ของพวกเขา ทำให้แฟน ๆ ชาวไทยเรามีลุ้นที่จะได้ชมการแสดงสดของวงดนตรีในตำนานวงนี้กันอีกครั้งสักที หลังจากที่วงเคยมาเยือนไทยใน Oasis Live in Bangkok 2001 ‘Familiar To Millions’

แม้ว่าสองพี่น้องจะไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการคืนดีที่กะทันหันของพวกเขา แต่ก็มีการคาดเดาว่ามันอาจจะมีสาเหตุทางการเงินด้วย ตามรายงานของ The Independent การประมาณการที่ไม่เป็นทางการแสดงให้เห็นว่าทั้งเลียมและโนลแต่ละคนอาจทำเงินได้ถึง £50 ล้าน หรือประมาณ 66 ล้านเหรียญจากเพียงคอนเสิร์ตเดียว และการทัวร์ทั้งหมดอาจสร้างรายได้มากกว่า 500 ล้านเหรียญ

ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  แฟน ๆ ต่างก็มีความสุขที่เห็นโนลและเลียมได้สงบศึกกันเสียทีอย่างน้อยก็ในปีสองปีนี้หรืออาจจะนานกว่านั้นก็มาลุ้นกันต่อไปนะว่าอนาคตของวง Oasis จะเดินหน้าต่อไปในรูปแบบไหนและอย่างไร