หากพูดถึงศิลปินผู้หลงรักในการเล่าเรื่องอย่าง เล็ก Greasy Cafe หรือ อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หลายคนอาจจะนึกถึง ผลงานจากปลายปากกาของเขาอย่าง “ฝืน”, “สิ่งเหล่านี้”, “ความเลือนลาง” และ “อุบัติเหตุ” บทเพลงที่พร้อมพาผู้ฟังไปสำรวจความรักหรือชีวิตในหลาย ๆ แง่มุมที่ยังไม่ถูกเล่าที่ไหน 

เล็กอยู่ในช่วงเตรียมตัวปล่อยอัลบั้มใหม่ชุดที่ 5 โดย BT BUZZ มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาถึงที่มาก่อนจะมาเป็น Greasy Cafe และเป้าหมายต่อไปในวงการเพลง

รักแรกของคุณคือ ‘ภาพหรือเสียง’

อภิชัย : เราน่าจะสนใจเสียงก่อน สนใจดนตรีก่อน สนใจเพราะว่าพี่สาวเล่นเบสอยู่ในวงดนตรีที่เป็นรุ่นพี่ฮิปปี ๆ รู้สึกว่ามันเท่ดี แล้วเวลาเขาไปเล่นตามงาน ตามบ้านเพื่อน รู้สึกสนุกมากเลย แล้วมันก็คงอยู่นิ่ง ๆ ในใจเรามาโดยตลอด จนวันหนึ่งที่เปลี่ยนไปถ่ายรูป อะไรต่อมิอะไร แล้วเราว่ามัน (ความสนใจเสียง) ก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน 

เริ่มชอบการถ่ายภาพเมื่อไหร่

อภิชัย : เราสนใจจริง ๆ ตอนที่ไปเรียน คือหลังจากเรียนภาษาจบแล้วเนี่ย เราก็เรียนถ่ายรูปต่อ มันทําให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราหลงใหลมาก ๆ ทั้งที่เราไม่เคยสนใจมันมาก่อน ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเราจะได้ถ่ายรูปหรือชอบถ่ายรูปมาก ไม่เคยมีอยู่ในหัว จนวันหนึ่งที่เจอ…โห สุดยอดเลยอะ เหมือนกับการที่เราได้เจอคน ๆ หนึ่ง โดยเราไม่เคยคิดว่าเราจะได้เจอคน ๆ นั้นมาก่อน เดินตามถนนทั่วไปแล้ววันหนึ่งจะเจอมันก็ได้เจอ แล้วมันก็หลงรัก 

หลังจากไปเรียนอังกฤษกลับมา ก็เดินสายสู่อาชีพ ‘ช่างภาพ’ เต็มตัว

อภิชัย : กลับมาแล้วก็ลุยถ่ายแฟชั่น จนตอนหลังก็เริ่มมาถ่ายแบบ ถ่ายสารคดีบ้าง แล้วก็มีจังหวะหนึ่งที่ได้ไปเล่นหนังโฆษณาเรื่องหนึ่งเป็นตัวประกอบ แล้วพอดีว่าหนังเรื่องนั้นน่ะ พี่อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร เป็นผู้กํากับ ซึ่งเราเคยเจอกับพี่อุ๋ย นนทรีย์ ก่อนที่เราจะไปเรียนอังกฤษ ซึ่งเราช่วยพี่เอก เอี่ยมชื่น ที่เป็นโปรดักชันคู่กับพี่อุ๋ยมาโดยตลอด แล้วก็เข้าไปแนะนํา เออพี่อุ๋ยผมเรียนถ่ายรูปมา ไว้เดี๋ยวเอาพอร์ตให้ดู ทีนี้เราก็นัดกันแล้วเราก็เอาพอร์ตไปให้เขาดู แล้วก็เริ่มโปรเจกต์ ‘จันดารา’ มันก็เริ่มลุยมาโดยตลอด แบบถ่ายรูปแล้วมันก็เริ่มไกลจากเพลงไปเรื่อย ๆ  

กองถ่ายที่ชอบที่สุด

อภิชัย : คือมันเป็นอย่างนี้ คือกองพี่อุ๋ยเขาจะไม่ค่อยเปลี่ยนคน ทีนี้ใครที่ทําอะไรอยู่ก็จะค่อนข้างไม่ค่อยได้เปลี่ยนหรอก นาน ๆ จะเปลี่ยนที เพราะฉะนั้นเวลากลับไป มันจะเหมือนเปิดเทอมใหม่ แล้วก็มาเจอกัน เพราะฉะนั้นมันก็แทบจะทุก ๆ เรื่องนะครับ มันสนุกสนานมาก แต่เราว่าช่วง ‘จันดารา’ มันเป็นช่วงที่เราไปอยู่ปากช่องกันนานมาก เป็นหลาย ๆ เดือนมาก ๆ แล้วมันอยู่ด้วยกัน ขลุกด้วยกันแบบสนุกสนาน

ศาสตร์การถ่ายภาพในกองถ่าย

อภิชัย : คือในตอนนั้นน่ะ เราจะถ่ายเป็น 2 แบบในเวลาเดียวกัน หมายความว่าถ่ายเบื้องหน้าก็คือภาพที่คนจะเห็นว่าหน้าหนังมันจะเป็นยังไง กับอีกอันหนึ่งที่เราจะพกมาด้วยคือกล้องที่ใช้ฟิล์มขาวดํา แล้วจะถ่ายเก็บพวกน้าช่างไฟที่เขาแบกไฟ มีนักแสดงกําลังแต่งหน้า เราจะเก็บพวกนี้เป็นเอกสาร แล้วเราจะชอบพวกนี้มาก เพราะฉะนั้นมันจะเป็น 2 แบบที่ถ่ายคู่กันไปเรื่อย ๆ

ทีนี้ความสนุกของเรามันอยู่ตรงที่ว่าแน่นอนคืออย่างภาพเคลื่อนไหว มันเคลื่อนไหวได้ มันเล่าจาก A ไป B ไป C ใช่ไหม แต่ภาพนิ่งมันต้องเล่าทีเดียว เพราะฉะนั้นมันต้องเอาทุกอย่างมารวมกันในเฟรมเดียว มันก็ต้องเกิดจากการที่อ่านบทก่อนว่าพรุ่งนี้มันจะถ่ายอะไร มีนักแสดงคนไหนมาบ้าง เราอาจจะสเกตช์ของเราไว้ว่า “ฉันอยากได้เฟรมประมาณนี้” ซึ่งเราพอรู้อยู่แล้วมันก็จะยิ่งเคลียร์ในหัวเลยว่าอยากได้ภาพประมาณนี้ พอเราดีไซน์แล้วคุยกับผู้กํากับว่า “พี่ พอได้แล้วเนี่ย ผมขอถ่ายภาพนิ่งอย่างนี้นะ” ให้พี่เขาดูอะไรอย่างนี้ แล้วก็ทีมไฟ ทีมอะไร “พี่อย่าเพิ่งยกออก ผมขอแบบ 5 นาทีหรือแป๊บเดียว” เพราะว่าในขณะที่กล้องมันรัน เราถ่ายไม่ได้ชัตเตอร์เสียงมันจะเข้า สมมติพี่อุ๋ยสั่งคัต (ทำเสียงลั่นชัตเตอร์) คือมันต้องเล็งรอแบบรอเลย แล้วเมื่อไหร่ที่สั่งคัตเราจะเตรียมกับนักแสดงว่าค้างให้เราแป๊บเดียวนะ มันก็ท้าทาย แต่ว่าบางทีมันไม่ได้มันก็ไม่ได้จริง ๆ มันก็เลยอาจจะต้องขอถ่ายแยกต่างหาก

ยังอยากทำงานถ่ายภาพอีกไหม

อภิชัย : มาก ๆ มันเหมือนออกกองทีหนึ่ง มันไม่ใช่แค่ 6 โมงเช้า หรือ 6 โมงเย็นอะ เราต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 หรือตี 5 เพื่อจะเตรียมออกกองนั่งรถ ถามว่ามันสนุกไหมมันยังมีความรู้สึกสนุกสนาน แต่ว่ามันเหนื่อย  

จำจุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักร้องได้ไหม 

อภิชัย : แน่นอน ตอนที่เราไปถ่ายสัมภาษณ์เกี่ยวกับวงการอินดี้ในไทย แล้วก็ได้เจอวง Scrubb, Moderndog ตอนนั้นมันก็จะมีหลาย ๆ วง แล้วก็ได้เจอพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์) แล้วก็ได้คุยกัน จนพี่รุ่งทําค่ายแล้วก็ทําอัลบั้ม Smallroom 001 เขาก็ “เออ พี่อภิชัยมา ทํามาคนละเพลง” ก่อนหน้านั้นเราได้คุยกันว่าตอนเราอยู่อังกฤษ เราทําวงด้วยนะ ก็เปิดเพลงให้ฟัง เพราะฉะนั้นเขาก็จะรู้ว่าเราน่าจะพอทําได้แหละ เขาก็เลยชวน แต่ว่าเขาทํา Smallroom 001, Smallroom 002 แล้วก็มีโปรเจกต์ของ Sanamluang Connects จนเวลามันผ่านไประยะหนึ่งเหมือนกัน แล้วเขาก็เหมือนกับให้คนโทรมาบอกว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ทําอัลบั้ม ซึ่งสําหรับเราการทําอัลบั้มมันยิ่งใหญ่มาก 

‘สิ่งเหล่านี้’ คืออัลบั้มที่แจ้งเกิด Greasy Cafe อย่างเต็มตัว

ย้อนกลับไปตอนทำงานร่วมกับรัฐ Tattoo Colour ในชุดนั้น เป็นอย่างไรบ้าง

อภิชัย : ช่วงนั้นคืออยู่ด้วยกันแทบทุกวัน ในตอนทําตอนนั้นเราก็ให้อิสระกับรัฐ (รัฐ พิฆาตไพรี) เต็มที่ เรากับรัฐพอตกเย็นก็เอาล่ะมองหน้ากัน แล้วก็คือพี่รุ่ง จับมวยมาชนกันเองเราก็ไม่ได้รู้จักรัฐ รัฐก็น่าจะไม่ได้รู้จักเราในตอนนั้น แล้วปรากฏว่ามวยถูกคู่มั้ง แล้วรัฐก็เก่งมากมีความสามารถอยู่แล้ว ส่วนเรานั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ คอร์ดบางคอร์ดที่จับ รัฐก็บอกมันคือคอร์ดอะไรเราก็ตอบไม่ได้ แต่มันก็ทํากันด้วยฟีลอะไรอย่างนี้ ตั้งแต่อัลบั้ม 1 กับ 2 มันก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก

ตอนนั้นนิยามการเป็น Greasy Cafe เป็นอย่างไร

อภิชัย : ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องเป็นอะไร ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ในตอนเริ่มต้น เรายังคิดว่าเราจะหานักร้องด้วยซ้ำ เพราะเราไม่คิดว่าเราจะร้องเพลงได้เลย แต่พี่รุ่งก็บอก “พี่อภิชัย มึงร้องเองเหอะ ดีแล้วร้องไปเหอะ” เราก็ไม่กล้ามั่นใจอะ เพราะเอาเข้าจริงคือถ้าพี่รุ่งไม่ได้บอกวันนั้นเราก็คงหานักร้องไปแล้ว

มั่นใจเสียงตัวเองขนาดไหน

อภิชัย : คือไม่กล้าฟังเสียงตัวเองด้วยในช่วงที่ทําอัลบั้มเสร็จ ใช้เวลานานมากกว่าจะเริ่มกล้าฟังเสียงตัวเอง เราเชื่อว่าถ้าเราเดินเข้าไปในเวทีการประกวดทางทีวี เราคงโดนถีบออกมาตั้งแต่เดินเข้าไปแล้ว 

เริ่มมั่นใจเสียงร้องตัวเองตอนไหน

อภิชัย : อัลบั้ม 2 มั้งครับ คือช่วงอัลบั้มแรกก็ยังไม่ค่อย แค่อาจจะมีบางเพลงที่ร้องได้ แต่ว่าหลาย ๆ เพลงก็ไม่แน่ใจ

เคยถามพี่รุ่งไหมว่าทำไมถึงไว้ใจให้ร้องเอง

อภิชัย : ไม่เคยถาม แต่เราว่าเขาอาจจะเป็นคนที่มองการณ์ไกล คิดว่านะ วิสัยทัศน์ดี แล้วพี่รุ่งเป็นคนฟังเพลงเยอะด้วย เวลาเขามองอะไรเขาน่าจะมองเห็นไกลกว่าเราเยอะ โดยเฉพาะในตอนนั้นซึ่งเราแทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องการทําดนตรีอะไรเท่าไหร่ด้วย เขาก็เลยหนีบรัฐให้มาช่วยทํา เพราะเขาคิดว่ามันน่าจะช่วยอะไรกันได้ น่าจะมาช่วยให้ Greasy Cafe ฟังง่ายขึ้น 

ชอบเพลงไหนของตัวเองที่สุด 

อภิชัย : มันก็หลายเพลงมาก คือหนึ่งในเพลงที่เรารู้สึกว่าดีใจที่เราเขียนได้มันอาจจะเป็นเพลงที่แบบ โห โคตรนอกสายตาหลาย ๆ คนเลย แบบเพลง “ทะเลของฝน” ครับ ที่เพิ่งปล่อยมาไม่นานหรือแบบเพลง “ร่องน้ำตา” ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่เราดีใจมากที่เราทําได้ แต่ถ้าเกิดจะพูดถึงเพลงที่มันพูดถึงวิธีคิดหรือมุมมองความคิดของเราต่อเรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเพลง “สิ่งเหล่านี้

หาคำคมในไอจีมาจากไหน

อภิชัย : คือเวลาเราเขียนเพลง เราจะมีเวลาน้อยมาก มีแบบบรรทัดนับได้เลย เพลงหนึ่งมันไม่กี่บรรทัด เพราะฉะนั้นแล้วทําไงให้แต่ละบรรทัด มันเล่าเรื่องให้ครบที่สุด คือจะเล่ายังไงให้ประโยคคนมันเข้าใจ เช่น “ก็เวลา ยังไม่เดินเป็นเส้นตรง แล้วความรักที่มั่นคง จะมีจริงไหม” จบปุ๊บ คือมันทํายังไงให้มันตวัดได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นในการที่เราทํางานแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ มันก็อาจจะมีการตวัดคําแบบนั้นให้มันอยู่ในแบบปึ้ง แล้วมันก็ดีใจที่คนชอบกันเพราะในตอนที่เราเริ่มทําก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่มันเป็นแค่สิ่งที่เรารู้สึกจริง ๆ เช่น อย่างช่วงนี้เรารู้สึกว่าความรักทําให้คนตาบอดจริงเหรอวะ เรารู้สึกความรัก ทําให้คนตาสว่างเพราะว่ามันทําให้เราได้เห็นความรักและคนที่รักเราจริง ๆ เราว่ามันเป็นเรื่องอะไรแบบนี้มากกว่าที่เราจะสนใจ แล้วก็มาเขียนให้มันอยู่ในกลุ่มสั้น ๆ

แสดงว่าการคิดคำคมออกเป็นเรื่องบังเอิญ

อภิชัย : เราว่าหลาย ๆ ครั้งเราเขียนขึ้นมาเพื่อเตือนสติตัวเราเอง ส่วนใหญ่ 99.9% น่ะ เขียนเพื่อตัวเอง มันอาจจะมีเรื่องของคนอื่นบ้างแบบเรื่องการเคลื่อนไหวอะไรนิดหน่อยนาน ๆ ที หรือเรื่องแบบรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว อย่างเช่นคําว่า จงเติบโตอย่างถ่อมตน เรารู้สึกว่าเออแม่งทําไมคนเรามันไม่คิดอย่างนี้กันวะ นึกออกไหมครับตัวอย่างง่าย ๆ แบบสั้น ๆ แล้วก็พูดให้ตัวเองได้ยิน

อนาคตในวงการเพลงจะเป็นยังไงต่อ

อภิชัย : พูดตรง ๆ นะ เราโคตรดีใจที่เรายังทําได้อยู่ เราดีใจมากที่ทุกวันนี้ไปเล่นก็ยังมีคนมาดู มันเป็นเรื่องที่เกินเลยไปมากสําหรับเรา ไม่ได้คิดว่าเราจะสามารถทํามันได้นานขนาดนี้แล้วยังมีคนยอมฟัง อยากบอกเขาแบบเราดีใจมากที่มีเรื่องแบบนี้ แล้วเราก็ยังเชื่อในการที่ถ้ามันยังมีคนฟัง แล้วเรายังอยากทํามาก ๆ ก็ทําไปเถอะ ไม่เห็นต้องหยุดเลย มันมีวงใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เก่ง ๆ เราก็ไม่เป็นไร เราก็ทําของเราไปแหละเราก็เป็นร้านข้าวอภิชัย ๆ ของเรา เราก็ทําขายคนที่ยังมากินร้านเราอยู่ เขาก็ไปร้านอื่นบ้างไม่เป็นไร แต่เราก็ยังสนุกและมีแพสชันกับการทํากับข้าวให้คนกินก็ทําไปดิ ก็ลองปรุงอาหารใหม่ ๆ ให้คนกินดู

Greasy Cafe เปรียบเหมือนเป็นร้านอะไร

อภิชัย : เป็นร้านอาหารตามสั่งอะ ตามใจเราว่าสั่งอะไร 

เป้าหมายต่อไปในวงการเพลง

อภิชัย : มันก็ไม่ได้เคยคิดว่าแบบถ้าถึงตรงนี้แล้ว อ๋อ โอเคแล้ว เจ๋งแล้ว ถึงตรงนี้ดีแล้วอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เคยตั้งเป้าแบบนั้น เพียงแต่ว่ายังมีความสุขมาก ๆ ในการที่ยังได้ทําอยู่ อย่างเดือนนี้มีงานเล่น ดีใจแบบได้ไปเล่นนี่นั่น 

แสดงว่าเรายังไม่เบื่อ

อภิชัย : ไม่เคยแม้แต่วินาทีเดียวเลย

นิยามการเป็นศิลปินของตัวเอง 

อภิชัย : คือเราไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นศิลปินเลย ไม่กล้าเรียกแบบนั้น เราก็แค่เป็นคนเล่าเรื่องผ่านเพลง ผ่านภาพ

นิยามการเป็นนักเล่าเรื่องของตัวเอง

อภิชัย : เล่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริง แล้วก็อาจจะไม่ได้ไปปรุงแต่งอะไรมากเท่าไหร่ หมายความว่าสมมติว่าเราถ่ายภาพเราก็จะชอบถ่ายภาพที่แบบมันเกิดขึ้นตรงข้างหน้าจริง ๆ เราชอบสิ่งที่มีอยู่แล้วหรือการเขียนเพลงก็จะเขียนจากสิ่งที่เราเจอมาจริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกแบบนี้จริง ๆ สื่อสารอย่างซื่อสัตย์คิดว่านะครับ 

สรุปแล้ว…ผมสั้นหรือผมยาว

อภิชัย : โอ้ ยาวอยู่แล้ว สั้นนี่ทุเรศเลย

เคยคิดจะเปลี่ยนลุกไหม

อภิชัย : เราเคยคิดถึงผมสั้น แต่ในที่สุดแล้วมันก็เขินกับความคิดตัวเองว่า มันกล้าตัดจริง ๆ เหรอ ซึ่งไม่ได้แปลว่าผมยาวแล้วจะดูดีอะไร แต่ว่ามันดูดีกว่าแค่นั้นเอง เรามั่นใจกว่าครับ 

ทำมาแล้วหลายอาชีพ มองความหมายชีวิตเป็นอย่างไร

อภิชัย : เราว่าหลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราได้ทํา มันมาจากโอกาส แล้วเราก็รู้สึกว่าเวลาที่มันมีโอกาสเข้ามา อย่าเพิ่งรีบบอกว่าทําไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ทํา ก็เลยรู้สึกว่าโอกาสเหล่านั้นที่มันเข้ามามันไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมายเลย มันไม่ได้เป็นเรื่องทําร้ายใคร ทำไมไม่ลองทําดู ลองทําแล้วหลายครั้ง ๆ ไม่ชอบค่อยว่ากัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าลองครั้งเดียวแล้วไม่ชอบ แล้วจะรู้สึกว่าเราทําไม่ได้ เราอาจจะเจอจังหวะที่ไม่ดีหรือแบบอาจจะเจออะไรบางอย่างที่ไม่ดีตรงนั้นก็ได้ เราเลยรู้สึกว่าในชีวิตที่ผ่านมาหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งที่ได้ทําอะไร มันเกิดจากโอกาสและสําหรับเรามันมีความหมายมาก

ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง

อภิชัย : ก็คือจริง ๆ แล้วอัลบั้ม 5 มันเสร็จละ แต่ว่ามันก็เสร็จมาตั้งแต่ช่วงหลังโควิดสักพักหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังมีเพลงที่แบบยังอยากแต่งเพิ่ม ตอนนี้มันก็ครบอัลบั้มแล้วล่ะ

ทิ้งช่วงจากอัลบั้มชุดก่อนไปนาน เกิดอะไรระหว่างทางบ้าง

อภิชัย : คือจริง ๆ ระหว่างทางมันมีนะ เราทําเพลงประกอบซีรีส์หรือประกอบหนัง แต่คนอาจจะไม่รู้ ไม่ได้หายไป ยังทําอยู่เรื่อย ๆ   

อัลบั้มชุดที่ 5 นี้มีความแตกต่างจากชุดที่ 4 อย่างไร

อภิชัย : คืออย่างอัลบั้ม 4 เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่มันชัดเจนมากว่าเราอยากทําเพลงประเภทไหน ตอนนั้นอยากลองเป็นพวกแบบซาวนด์ดีไซเนอร์ แต่ว่าอย่างอัลบั้ม 5 เราไม่ได้ตั้งใจว่ามันต้องเป็นแบบไหน มันจะเป็นแบบอยากทําแบบนี้ก็ทํา ซึ่งจะกลับมาใช้กีตาร์โปร่งเยอะ มีบางคนก็บอกแหละว่ามันเหมือนกลับไปเป็นอัลบั้ม 1 อย่างบางคนก็บอกเพลงซิงเกิลล่าสุดมันทําให้นึกถึงอัลบั้มแรก ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร บางคนบอกว่าเพราะว่าชิ้นดนตรีมันอาจจะน้อยลงมั้งเหมือนอัลบั้มแรก ๆ ที่เครื่องมันไม่ได้เยอะมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เราก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะในตอนที่เราทําอัลบั้มแรก จริง ๆ แล้วมันเหมือนกับอยากทําอะไรก็ทํา ทําเลย อยากทําแบบไหนก็ทํา อัลบั้มนี้ก็เหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกัน

คุณเคยเปรียบความรักว่าเป็นเหมือนลูกบอลลูกหนึ่ง คุณยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม

อภิชัย : คือคนก็ยังเตะฟุตบอลอยู่นึกออกไหมทุกวันนี้ ซึ่งเขาก็เตะมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดกันเลย ความรักก็เหมือนกัน มันยังเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวินาทีนี้ที่เราคุยกัน เพราะงั้นในเรื่องความสัมพันธ์ที่เราบอกว่ามันเหมือนลูกบอล หนึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น สองคือมันยังมีแง่มุมหลาย ๆ มุมที่เกิดขึ้น ซึ่งเราว่าในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น แต่ละคู่มันก็รายละเอียดต่างกัน แม้แต่ตัวเราเอง เพราะงั้นมันยังมีมุมที่เราคิดว่ามันอาจจะเป็นมุมที่คนอาจยังไม่เห็นก็ได้ ก็เลยเปรียบเทียบว่ามันเหมือนกับองศาของลูกบอลที่บางมุมเราไม่ทันได้ดู 

คิดว่าอัลบั้มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร

อภิชัย : ก็ยังเป็นประสบการณ์ตรงเยอะมาก เราว่าแต่ละอัลบั้มเหมือนกับการอัปเดตข้อมูลว่าช่วงนี้เราไปเจออะไรมา ซึ่งเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าอัลบั้มนี้เราจะเขียนเพลงแบบนี้เยอะขึ้นหรือน้อยลง มันแล้วแต่ว่าในช่วงเวลานี้มันเกิดเรื่องอะไรในใจ แล้วเราก็แค่เอามันออกมาเขียนเป็นอัลบั้ม ซึ่งเอาเข้าจริงก็มีเรื่องเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์อยู่เหมือนเดิมแหละ 

ยังมีเรื่องที่อยากเล่าอีกไหม 

อภิชัย : ตอนนี้ยังนึกไม่ออก แต่ว่าก่อนหน้านี้มันก็มี เราขออนุญาตยกตัวอย่างเพลงใหม่แล้วกัน ซึ่งเราว่ามันก็น่าจะเกิดมาจากประโยคที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินว่า ความรักทําให้ตาบอด มันจริงเหรอ มันก็จะมีเรื่องแบบนี้แหละที่ทําให้เรา เอ๊ะ แล้วเราก็เริ่มหาข้อมูล เริ่มลองคุยกับมันดูว่ามันจะเป็นยังไง เราเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหมแล้วมันจริงหรือเปล่า หรือมันไม่จริง ทําให้คนคิดไปแบบนั้นได้ หรือจริง ๆ แล้วมันสามารถคิดไปอีกแบบหนึ่งได้ มันจะเป็นแง่มุมอะไรบางอย่าง มันอาจจะเกิดจากสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งความเชื่อมันก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ แล้วเราก็มาเขียนอะไรอย่างนี้ครับ 

ทำไมถึงเลือกแต่งเป็น Transgender ใน MV “ความหมายของการมีลมหายใจ”

อภิชัย : เราว่าอันนี้ต้องอยู่ที่ผู้กํากับที่เขาคิดมา คือมันเป็นการคุยกันตั้งแต่แรกว่าอยากให้ จั๊ก-จิรัฏฐ์ สมภักดี ซึ่งก็ทําเพลง “ภายใต้ท้องฟ้าสีดํา” แล้วก็มาทํา “สุดท้ายแล้วเราจะ” ของ AUTTA คือก็คุยกับจั๊ก เราบอกว่าอยากให้จั๊กลองฟังเพลงนี้ดูแล้วบอกว่าอยากให้จั๊กทํานะ แล้วก็บอกว่าแต่เราขอแสดงเอง เพราะว่าเราชอบการแสดง เราอยากให้มันเป็นเหมือนกับหนังสั้นเรื่องหนึ่ง แล้วเขาก็ถามว่าแล้วทําไมพี่ถึงชอบการแสดง เราก็บอกว่ามันเหมือนกับเราได้เป็นคนอื่นในช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็บอกว่างั้นผมจะให้พี่แสดงเป็นคนที่พี่ไม่มีทางได้เป็น แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับบท เจ๊โอ๊ต

ความรู้สึกตอนได้แต่งตัวเป็น Transgender 

อภิชัย : ตื่นเต้นแล้วก็แอบหนักใจว่าเราจะทําได้หรือเปล่า แต่ตื่นเต้นตรงที่บทมันน่าสนใจมาก ซึ่งเราว่าน่าจะไม่มีโอกาสได้เจอแบบนี้ คือเราชอบการแสดง แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีงานแสดงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้มันเป็นโอกาสที่โคตรน่าลอง ก็เลยคิดอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วก็แบบลองดูก็ได้ แล้วจากนั้นก็มุ่งทําการบ้าน 

เตรียมตัวเป็น เจ๊โอ๊ต ยังไง

อภิชัย : เริ่มจากการลดน้ำหนักไป 6 กิโลกรัม คือเรารู้สึกว่าถ้าเราจะเล่นบทนี้เราต้องเล่นอย่างเคารพ ไม่ใช่เอามาล้อเล่น มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ในชีวิตที่เขาเจอในบทนะครับ ก็เลยคิดว่าทรงเขามันก็ควรจะดูโอเค ไม่ใช่ดูไม่ดี ก็เลยเริ่มจากการลดน้ำหนัก แล้วก็เริ่มหาข้อมูลสัมภาษณ์เกี่ยวกับคนที่เป็นอย่างเจ๊โอ๊ต แต่ว่าเคยผ่านเรื่องหนัก ๆ มา วิธีการพูดจาหรือท่าทางเขาเป็นยังไง ซึ่งพอดูจากหลาย ๆ คนแล้ว มันก็ค่อนข้างคล้ายกันตรงที่เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่ง ๆ เป็นคนค่อนข้างสุขุม ก็เลยคิดว่าเจ๊โอ๊ตน่าจะเป็นประมาณนี้ จากข้อมูลที่เราดู แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีการเวิร์กช็อปอะไร ก็ซัดกันเลยในวันที่ถ่าย 

อยากแสดงอีกไหม

อภิชัย : เราว่ามันเป็นหนึ่งเรื่องที่เราสนใจมาก ๆ เพียงแต่ว่ามันยังไม่ได้มีสนามมากพอให้เราลองไปเล่น คือเราอาจจะเคยเล่นหนังหรือเคยเล่นซีรีส์มาบ้าง แต่ว่ามันไม่มากพอ

มีบทบาทที่อยากแสดงไหม 

อภิชัย : ไม่มีนะ คืออย่างบทเจ๊โอ๊ตเนี่ย ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลย ไม่เคยคิดว่าเราอยากเล่น แต่อาจจะชอบบทดราม่า แต่ไม่ได้เคยคิดว่าเราจะอยากเล่นเป็นคนนู้นคนนี้ครับ เราว่ามันแล้วแต่โอกาสแล้วแต่สิ่งที่จะเข้ามาว่าบทมันคืออะไร ถ้าบทมันน่าสนใจ มันก็น่าลอง

อะไรทำให้ชอบการแสดง

อภิชัย : คือเราว่าช่วงกองถ่าย (ช่างภาพ) ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาสําคัญ มันก็อาจจะไปกระตุ้นอะไรบางอย่างของเรา ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็อาจจะสนใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย แต่ว่าพอเราอยู่ในกองถ่ายสักพักช่วงเวลามันก็ประมาณ 10 กว่าปีได้ มันก็ได้เห็นนักแสดงที่เก่ง ๆ ทั้งวัยน้อย วัยใหญ่ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งบางทีเราก็ได้ไปถ่ายเบื้องหลังให้กับหนังต่างประเทศที่มาถ่ายที่ไทย เราก็ได้เห็นนักแสดงก็เริ่มรู้สึกว่าจริง ๆ ดูสนุกดีว่ะ เวลาเราดูหนังแล้วเรารู้สึกว่าเออทําไมเราเชื่อว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เราสนใจ 

ฝากผลงานต่อไป 

อภิชัย : เพลง “ความหมายของการมีลมหายใจ” ฟังได้ทุกช่องทาง ทุกสตรีมมิง แล้วก็ติดตามงานเราได้ทาง Facebook, IG หรือ TikTok ก็ได้นะครับ ส่วนต้นปีหน้าอาจจะมีซิงเกิลปล่อยนะครับ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าปลาย ๆ ปีจะปล่อยอัลบั้มหรือเปล่า เดี๋ยวลองดูกันอีกทีครับผม