จะเป็นอย่างไร เมื่อหนังสุดกาว ได้สร้างแรงบันดาลใจจนกำเนิดการ์ตูนสุดว้าวแห่งยุค
ช่วงนี้ เลื่อนฟีดไปที่ไหน แน่นอนว่ายังไงเราก็ต้องเห็นโพสต์ที่คุยกันถึงอนิเมะเรื่อง ‘Dandadan’ ผ่านตาอย่างแน่นอน เพราะด้วยพลอตสุดแปลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมกับเนื้อหาสุดสะเทือนอารมณ์ ก็ทำให้อนิเมะเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ผู้ชมเฝ้าจับตา ซึ่งความนิยมของ ‘Dandadan’ ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่คอการ์ตูนต่างก็คาดการณ์ไว้ว่า ‘Dandadan’ อาจจะเป็นหนึ่งในเสาหลักของการ์ตูนญี่ปุ่นยุคต่อไป
‘Dandadan’ ดำเนินเรื่องโดยโอคารุน เด็กหนุ่มผู้ถูกผียายแก่เทอร์โบช่วงชิงลูกป๋องแป๋ง (ใช่ตรงนั้นนั่นแหละ) ไป ซึ่งในระหว่างที่เขาตามหาสิ่งสำคัญอยู่นั้น โอคารุนก็ได้ไปพัวพันอยู่ในการต่อสู้ระหว่างภูติ ผี กับมนุษย์ต่างดาว โดยไอ้เจ้าการ์ตูนที่มีเนื้อหาสุดกาวนี่แหละ ก็ทำให้ผู้แต่งอย่างยูกิโนบุ ทัตสึ (Yukinobu Tatsu) กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนหน้าใหม่ที่น่าจับตามองในทันที
ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าไอเดียสุดกาวของ ‘Dandadan’ กลับมาจากช่วงเวลาที่อาจารย์ทัตสึเกิดอาการหมดไฟ มันเกิดอะไรกับเขา และทำไมถึงมีอะไรมาจุดประกายให้อาจารย์ทัตสึสร้างเรื่องราวสุดกาว จนโดนใจคนทั่วโลกได้กันนะ
ลูกมือของสุดยอดนักเขียนแห่งยุคใหม่
ในวัยเด็กยูกิโนบุ ทัตสึก็เหมือนกับเด็กทั่วไป เขาเติบโตมาพร้อมกับการ์ตูนโชเน็นจัมป์ตั้งแต่ยุคแข่งกันเบ่งพลังจาก Dragonball, ยุคเบียวเกมจิตวิทยาอย่าง Death Note รวมไปถึงได้รับแรงบันดาลใจจากฉากแอ็กชั่นสุดมันของ Bleach ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้นี่แหละ ก็ทำให้ยูกิโนบุ ทัตสึมีความฝันว่าสักวันตนจะเป็นนักเขียนการ์ตูนในแบบของตน
และด้วยความสามารถที่เหลือล้น ประกอบกับแพชชันอันแรงกล้า ก็ได้พายูกิโนบุ ทัตสึเข้ามาใกล้ความฝันมากขึ้น โดยช่วงเริ่มต้นของการทำงาน เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นถึงผู้ช่วยของอาจารย์ทัตสึกิ ฟูจิโมโตะ และอาจารย์ยูจิ คาคุ ในโปรเจกต์สุดโด่งดังอย่าง ‘Chainsaw Man’ และ ‘Hell’s Paradise: Jigokuraku’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในงานที่หินเอาเรื่อง แต่ทัตสึก็ได้เรียนรู้ทักษะการวาด พร้อมกับวิธีการวางโครงเรื่องของการ์ตูนยุคใหม่นับแต่นั้น
พอได้เป็นลูกมือของสุดยอดนักเขียนเนี่ย ใครต่างก็คาดไว้ว่าในอนาคตของ ยูกิโนบุ ทัตสึจะได้เป็นนักเขียนที่เก่งกาจอย่างง่ายดายแน่นอน ทว่าโชคชะตาของเขาก็เป็นเฉกเช่นนักเขียนการ์ตูนคนอื่น ที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ด้วยความบ้าพลัง ทำให้ในขณะที่เป็นลูกมือของสุดยอดนักเขียน ทัตสึก็ได้สร้างการ์ตูนของตัวเองไปด้วย
ยูกิโนบุ ทัตสึบุตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะถ่ายทอดเรื่องราวของตนให้มีชีวิตขึ้นมา ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่ารากฐานที่สั่งสมจากประสบการณ์นั้นจะทำให้เขาสามารถสร้างสุดยอดมังงะที่โดนใจคนอ่านอย่างแน่นอน
ในปี 2010 อาจารย์ทัตสึ ยูกิโนบุจึงได้ออกมังงะของตนเรื่องแรกในชื่อ ‘Seigi no Rokugo’ โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับโชตะ ซาเนกิ เด็กหนุ่มผู้รักสันโดษ แต่ดันได้พบสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ และนั่นทำให้ซาเนกิจึงใช้สิ่งประดิษฐ์นี้ในการแปลงร่างเป็นฮีโร่ผู้โดดเดี่ยว
นอกจากนั้น หลังจากจบโปรเจกต์ ‘Seigi no Rokugo’ เขาก็ได้เขียนมังงะเรื่อง ‘FIRE BALL’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องราวของการ์ตูนเบสบอลที่มีตัวเอกสองคน คนหนึ่งเป็นผู้เล่นอัจฉริยะ ส่วนอีกคนเป็นผู้เล่นที่สามารถตีลูกได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์การ์ตูนรายสัปดาห์ที่สำนักพิมพ์ได้ให้โอกาสยูกิโนบุ ทัตสึ แสดงฝีไม้ลายมือออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าคุณผู้อ่านไม่เคยได้ยินชื่อก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้ มันไม่ประสบความสำเร็จเลยน่ะสิ!
เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องที่ออกมานั้น ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารอยู่ได้ประมาณปีกว่าก็ถูกตัดจบไป อันเนื่องมาจากความนิยม และความอ่อนประสบการณ์ของเขา สิ่งนี้ทำให้ยูกิโนบุ ทัตสึ รู้สึกไร้ค่าเป็นอย่างมาก เพราะตนเป็นถึงสุดยอดลูกมือ ที่อยู่เบื้องหลังนักเขียนโด่งดังทั้งสองคน แต่ทำไมตนถึงไม่สามารถที่จะพาตัวเองไปไกลได้กว่านี้กันนะ
ประมาณช่วงปี 2019 ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามาก มันอยู่ในจุดที่ตกต่ำ จนไม่อยากแม้แต่จะจับดินสอเพื่อเขียนการ์ตูนอีก
ทว่าคำแนะนำจากบรรณาธิการของยูกิโนบุ ทัตสึ ก็ได้เปลี่ยนแปลงเส้นทาชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ในตอนนั้นบรรณาธิการบอกกับผมว่า “วาดมันออกมาเถอะ แม้ว่าจะเป็นแค่หน้าเดียวก็ตาม เขาอยากให้ผมวาดอะไรก็ได้
เหตุการณ์นั้นทำให้ยูกิโนบุ ทัตสึตกตะกอนถึงอะไรบางอย่าง และกลับไปดูสมุดบันทึกที่ตัวเองเคยเขียนไว้ และเขาเพิ่งเห็นว่าตนเคยเขียนประโยคนึงเล่น ๆ ไว้ว่า “หนัง‘ซาดาโกะ ปะทะ คายาโกะ’ นี่น่าสนใจดีนะ”
จากเรื่องผีสุดกาวสู่ดาวเอเลี่ยน
‘Sadako vs. Kayako’ เป็นภาพยนตร์ครอสโอเวอร์ของผีซาดาโกะจากแฟรนไชส์เดอะริง และผีคายาโกะจากแฟรนไชส์จูออน ซึ่งในเรื่องนี้หมอผีได้วางแผนให้ผีสองตัวมาสู้กัน พลอตแบบนี้ ใครเห็นก็ว่ากาว แต่ทว่ามันกลับทำให้เสี้ยวนึงของยูกิโนบุ ทัตสึ ได้กลับมามองเห็นว่าตนเคยชอบเรื่องสยองขวัญมากแค่ไหน
แม้เรื่องสยองจะไม่ใช่ทางที่ถนัดของเขา ทว่าการได้กลับไปอ่านบันทึกที่เคยเขียนไว้ก็ทำให้ทัตสึ ได้ไอเดียที่ต่อยอดไปสู่ซีรีส์ใหม่ ด้วยการนำไอเดียของเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาห้ำหั่นกัน ซึ่งเขาก็จับเอาความชอบด้านไคจูมาใส่เพื่อเป็นตัวแทนความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ นั่นทำให้ผลงานใหม่นี้ จึงกลายเป็นเรื่องราวการปะทะกันระหว่างความเชื่อของฝั่งไสยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
แน่นอนว่าทัตสึรู้ได้ทันทีว่าตนคงทำการ์ตูนแนวลี้ลับแบบอีโต้ จุนจิ ปรมาจารย์แห่งความสยองไม่ได้แน่ นั่นทำให้ทัตสึจึงตัดสินใจหยิบความคอเมดี้มาผสมในผลงานเรื่องใหม่ของเขาซะเลย และมันก็ออกมาเป็น ‘Dandadan’ การ์ตูนที่มีเรื่องราวเหนือธรรมชาติ และความลี้ลับ แต่กลับเคลือบไว้ด้วยความโรแมนติก คอมเมดี้แทน
ผมคิดว่าความสยองขวัญกับความตลกมันมาคู่กัน ถ้าเราทำเรื่องสยองไม่ถึง มันจะกลายเป็นเรื่องตลกแทน
หลังจากจบโปรเจกต์ ‘Chainsaw Man’ และ ‘Hell’s Paradise: Jigokuraku’ ทัตสึก็ได้มุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นนักเขียนอีกครั้ง โดยคราวนี้มันได้ผล เพราะ ‘Dandadan’ กลายเป็นที่รู้จัก จนสามารถครองใจผู้อ่านได้ในเวลาไม่นาน
การนำเรื่องราวของภูติ ผี และมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นความเชื่อที่แตกต่างมาผสมกันนั้น ได้สร้างความแตกต่างให้กับตลาดมังงะที่มีแต่ความจำเจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ‘Dandadan’ กลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน
แต่ไม่ใช่เพราะพลอตเรื่องเพียงอย่างเดียวหรอกนะที่ทำให้ ‘Dandadan’ โด่งดัง เพราะเราต้องให้เครดิตความเก่งกาจของ ยูกิโนบุ ทัตสึ ที่สามารถรักษาสมดุลของความสยองขวัญ และความตลกขบขันไว้เท่า ๆ กันแทนที่จะเน้นที่จะเน้นองค์ประกอบใด องค์ประกอบหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละ ทำให้ ‘Dandadan’ กลายเป็นการ์ตูนโชเน็นที่โดนเส้นคนทั่วโลก
เรื่องราวของยูกิโนบุ ทัตสึ ทำให้มองเห็นเลยว่าการหมดไฟ หรือท้อใจนั้นเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องประสบ แต่หากวันไหนที่หลงลืมตัวตน หรือไอเดียตั้งต้น ก็ลองกลับไปเปิดสมุดบันทึกเก่า ๆ ดู เพราะมันอาจจุดประกายอะไรบางอย่าง เหมือนที่เขาสร้าง ‘Dandadan’ ขึ้นมาจากหนังสยองขวัญที่เคยจดไว้