จิมอน ฮาวน์ซู (Djimon Hounsou) ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNN ถึงเรื่องที่เขาได้รับค่าตัวอย่างไม่เป็นธรรม แม้ว่าเขาจะเคยแสดงในหนังบล็อกบัสเตอร์มาแล้วหลายบทบาท และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้งแล้วก็ตาม ฮาวน์ซูตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดการเดินทางต่อสู้มาอย่างยาวนานในฮอลลีวูดของเขานั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับระบบ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ 

ตลอด 30 ปี ที่ผ่านมา ใน 10 ปี แรกนี้อาจต้องพยายามปรับตัวและสร้างตัวตนให้เข้ากับอุตสาหกรรมนี้ก่อน แต่ผมอยู่ในแวดวงธุรกิจการสร้างหนังมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้ง และยังเคยอยู่ในหนังบล็อกบัสเตอร์มาหลายเรื่องแล้ว แต่ผมก็ยังคงต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่ มันอาจเป็นเพราะผมได้รับค่าตัวน้อยไปแน่นอน และนั่นคือสัญญาณเตือนแล้วว่าระบบ 'เหยียดเชื้อชาติ’ ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถจัดการด้วยตัวเองได้ เพราะมันถูกแทรกซึมเข้ากับหลายอย่างที่เรามีส่วนร่วมไปแล้ว คุณไม่มีทางเอาชนะมันได้หรอก คุณแค่ต้องรับมือกับมันและเอาตัวรอดในวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองอีกว่า ทําไมผมถึงสมควรได้ค่าตัว แล้วก็พวกเขามักจะเข้ามาหาผมด้วยค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมเสมอ โดยพวกเขาจะพูดกับผมประมาณว่า 'เราให้ค่าตัวคุณได้เพียงเท่านี้ แต่เรารักคุณมากนะ เราถึงได้คิดว่าคุณจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลได้' และหลังจากนี้ในวงการหนังนั้น มันคือการต่อสู้ ผมยังไม่เคยเจอหนังเรื่องไหนที่ให้ค่าตัวผมได้อย่างยุติธรรมเลย

ผลงานในเส้นทางอาชีพในฮอลลีวูดของฮาวน์ซูนั้น เขามักได้รับบทในหนังที่ทำกำไรมหาศาลให้กับสตูดิโอได้อย่างมากมาย เช่น ‘Furius 7’ (2015), ‘Shazam!’(2019) รวมไปถึงหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ อย่าง ‘Gladiator’ (2000) และเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมถึง 2 ครั้ง จากผลงานเรื่อง ‘In America’ (2002) และ  ‘Blood Diamond’ (2006) ซึ่งทำเงินได้มากถึง 170 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5,899 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังได้รับค่าตัวที่ไม่เป็นธรรมอยู่ดี

จากสิ่งที่ฮาวน์ซูได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้ได้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของความไม่เป็นธรรมในวงการฮอลลีวูดที่ยังคงหลงเหลือระบบ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีการออกมาเรียกร้องสิทธิ์กันมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าในอนาคตวงการฮอลลีวูดจะเป็นไปในทิศทางไหน