หากพูดถึงศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตามองในวงการดนตรีอินดี้ไทย Cupnoodle หรือ ซาช่า โจสท์ คือชื่อที่ต้องกล่าวถึง ! นักร้อง/นักแต่งเพลงลูกครึ่งไทย-เยอรมันที่นำเสนอดนตรีในแบบฉบับของตัวเอง ด้วยสไตล์ที่ไร้กรอบ ผสมผสานกลิ่นอาย Pop, R&B, Soul, Jazz และอีกหลายแนว จนกลายเป็นรสชาติทางดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์

หลังจากใช้เวลากว่าทศวรรษในการฝึกฝนและสร้างสรรค์ผลงาน Cupnoodle ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว EP แรก ของเธอที่มีชื่อว่า “YUM” ชื่อที่สะท้อนถึงแนวคิดของเธอที่เปรียบเสมือนการ “ยำ” รสชาติและอิทธิพลทางดนตรีที่หลากหลายเข้าด้วยกัน

ในบทสัมภาษณ์นี้ Beartai Buzz จะพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของ Cupnoodleให้มากขึ้น ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในเส้นทางดนตรี กระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน ไปจนถึงมุมมองต่อชีวิตและอุตสาหกรรมเพลง พร้อมทั้งเจาะลึกเบื้องหลัง “YUM” EP ที่เต็มไปด้วยสีสันและความกล้าทดลอง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปทำความรู้จักกับศิลปินสาวที่กำลังจะมา เติมรสชาติใหม่ ให้กับวงการเพลงไทย !

Cupnoodle หรือ ซาช่า โจสท์

เส้นทางสู่การเป็น “Cupnoodle”

จุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรี

จริง ๆ แล้วช่าเรียนที่ไทยจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนสาธิตเกษตร ตั้งแต่เด็กช่าเป็นคนขี้อายมาก อย่างตอนเรียนประถม เวลามีการประกวดร้องเพลงที่โรงเรียน คุณครูจะถามว่า “ใครอยากเข้าประกวดบ้าง ?” แต่เรากลับไม่กล้ายกมือสมัคร ทั้งที่ในใจอยากร้องมาก ๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ไปเกาะขอบเวทีตอนพักเที่ยง ดูเพื่อน ๆ ขึ้นร้องเพลงแทน ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่กล้าแสดงออก แต่กลับบ้านไปก็ทำสิ่งที่รักทันที เปิดเทป นั่งดูปกอัลบั้ม อ่านเนื้อเพลง แล้วร้องตามแทนการทำการบ้าน (หัวเราะ) คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าเราชอบร้องเพลงมาก แต่ก็เข้าใจว่าช่าเป็นคนขี้อาย จนกระทั่งขึ้นมัธยม ช่ารู้ตัวแล้วว่าอยากเป็นนักร้อง ก็เลยใช้วิธี “Fake it till you make it” พยายามผลักดันตัวเองให้ก้าวออกจากความกลัว ตั้งแต่ม.1 เราตัดสินใจลองประกวดร้องเพลงทันที และนั่นทำให้ความอายค่อย ๆ หายไป เพราะเริ่มเข้าใจว่า “ถ้าเรายังอาย เราก็จะไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก” หลังจากนั้นก็ร้องเพลงมาตลอดเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการประกวดที่โรงเรียน การแข่งขันตามห้าง ทุกที่ที่มีเวทีให้ร้องเพลง ช่าก็จะไปสมัครหมด จนอายุ 14 ก็ได้มีโอกาสประกวดร้องเพลงในรายการ “C-SA” ของครูอ้วน (มณีนุช เสมรสุต) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ช่าได้ออกทีวี

จากเวทีประกวดสู่โลกของการทำเพลง

ต่อมาพอย้ายไปต่างประเทศ ช่าก็ยังคงเดินหน้าทำตามความฝันต่อไป ช่าประกวดร้องเพลงที่โรงเรียนในเยอรมนี และใช้ทุกโอกาสที่มีในการแสดง ไม่ว่าจะเป็นเข้าวงออร์เคสตราของโรงเรียน หรือสร้างวงดนตรีเอง รู้สึกว่าดนตรีเป็นเหมือน “รักแรก” ที่เราหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก และโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนเต็มที่ (แต่อยากให้ทำการบ้านบ้างก็ดีเหมือนกัน ! 555) จากการประกวดร้องเพลง ช่าก็เริ่มเขียนเพลงเอง จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นตอนที่ได้เจอกับโปรดิวเซอร์และได้สัมผัสกับโลกของการทำเพลงแบบจริงจังครั้งแรก ทุกอย่างใหม่ไปหมด ตอนนั้นยังไม่รู้จักแม้กระทั่งว่า Instrumental Track หรือ Backing Track คืออะไรแต่ด้วยความสนใจและความหลงใหล ช่าก็เริ่มลองเขียนเพลงใส่ลงไปในนั้น แล้วก็ค้นพบว่านี่คือสิ่งที่รักจริง ๆ ! ได้รู้ว่ามีอาชีพที่เรียกว่า Songwriter รู้วิธีการแต่ง Topline Melody ให้กับเพลง ซึ่งทำให้ช่าเริ่มหมกมุ่นกับการแต่งเพลงแบบสุด ๆ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเข้าใจฟีลนี้ นั่งซ้อมเพลงที่บ้านเป็นชั่วโมง ๆ จนลืมออกไปเล่นกับเพื่อน (หัวเราะ) พอมองย้อนกลับไป ก็รู้เลยว่าเราหลงใหลในเสียงเพลงมาตั้งแต่แรก และโชคดีที่ได้เดินตามเส้นทางนี้มาตลอด

เส้นทางพัฒนาตัวเองในด้านการร้องเพลง และการเข้าสู่วงการดนตรี

ช่าเริ่มพัฒนาตัวเองด้านการร้องเพลงจากแนว Pop ก่อน แล้วค่อย ๆ ขยับไปฟัง R&B จนได้เจอศิลปินอย่าง Alicia Keys และ Beyoncé ตอนนั้นเวลาอยากฟังเพลงใหม่ ๆ ก็ต้องเดินเข้าร้านแมงป่องไปเลือกดูซีดี เปิดอ่านเครดิต แล้วก็ศึกษาว่าศิลปินที่เราชอบได้รับอิทธิพลมาจากใคร เราก็ตามไปฟังต่อ จาก R&B ก็ไป Blues ฟัง เอตต้า เจมส์ (Etta James) ไป Soul ไปฟัง อารีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) แล้วก็ไหลไปถึง Jazz ฟังศิลปินหญิงเยอะมาก แล้วก็ลากยาวไปเรื่อย ๆ มันเริ่มจากดนตรีก่อน ร้องเพลงก่อน แล้วพอถึงจุดหนึ่งก็เริ่มเขียนเพลงเอง จากนั้นก็ไปเรียน Music Production กับ Music Technology ตอนนั้นคือไม่รู้อะไรเลย ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ทั้ง Logic Pro และ Pro Tools ฝึกอัดเสียง ฝึกโปรดิวซ์จนกลายเป็นเส้นทางที่ทำมาเรื่อย ๆ

ชีวิตในลอนดอน – ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเสียง

ช่าอยู่ลอนดอนประมาณ 10 ปี พยายามทำทุกอย่างที่พอจะทำให้ตัวเองเข้าใกล้วงการดนตรีให้ได้ ซึ่งมันโคตรยาก เพราะการแข่งขันสูงมาก มันเป็นวงการที่แข็งจริง ๆ ช่าลองทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเสียง ไม่ว่าจะเป็น Busking (ร้องเปิดหมวก) ทำ Voice Over ร้องในบาร์ ในโรงแรม สอนร้องเพลง อะไรก็ตามที่สามารถใช้เสียงหาเลี้ยงตัวเองได้ก็ทำหมด ร้องเปิดหมวกยังต้องมีใบอนุญาต ซึ่งต้องไปขออนุญาตก่อนถึงจะไปร้องตามสถานีรถไฟหรือพื้นที่สาธารณะได้ นอกจากนั้นก็พยายามสมัครออดิชันทุกอย่างที่พอจะมีโอกาส แม้จะไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหนก็ลองหมด เคยไปฝึกงานที่ค่ายเพลง ไปเป็นเลขาฯ ในมหาวิทยาลัยดนตรี แค่อยากเข้าไปใกล้ชิดกับวงการมากที่สุด แต่ตอนนั้นไม่มีคอนเนคชันไม่รู้จักใครเลย สิ่งเดียวที่คิดก็คือ “ถ้าเราเอาเพลงให้เขาฟัง เขาอาจจะมีฟีดแบ็กอะไรให้เราบ้างก็ได้” ช่าก็เลยทำมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ต้องกลับไทยช่วง COVID-19 ในปี 2020 แล้วก็เริ่มทำโปรเจกต์กับ Warner Music เป็นงานแรก หลังจากนั้นก็เริ่มรู้จักคนในวงการมากขึ้น รวมถึงได้เจอกับพี่ปกป้อง (ปกป้อง จิตดี – โปรดิวเซอร์) และก็ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่นั้น

ไม่มีแผนสอง – เพราะดนตรีคือทั้งหมดของชีวิต

ไม่รู้เหมือนกันว่าฉลาดหรือเปล่าที่ไม่มีแผนสำรองเลย เพราะวงการนี้มันยากมากจริง ๆ แต่ก็รู้สึกว่าถ้ามีแผนสองก็คงไปทำแผนสองไปแล้ว (หัวเราะ) เพราะเส้นทางนี้มันต้องใช้ใจล้วน ๆ ต้องสู้จากตัวเองจริง ๆ ตอนอยู่ลอนดอน ช่าก็ร้องเพลงเล่นดนตรี เล่นเปียโน กีตาร์ แล้วก็เล่นกับคนอื่น ๆ บางทีทั้งร้านมีแค่ บาร์เทนเดอร์ 1 คน กับลูกค้า 1 คน แต่เราก็เล่นไป เรารู้สึกว่าประสบการณ์ที่ผ่านมามันคือการเดินทางที่เราแทบไม่มีคนฟังเลย ทำเพลงไปเรื่อย ๆ ผิดหวังมาตลอด แต่ก็ยังทำต่อไป เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักจริง ๆ ไม่ว่าจะมีคนฟังหรือไม่มีคนฟังก็ยังทำ เพราะเราทำเพื่อตัวเองจริง ๆ แล้วพอมาถึงวันนี้ที่เริ่มมีคนฟัง มีคนอยากสัมภาษณ์ ก็เลยรู้สึกยินดีมาก ๆ เลยค่ะ

ทำไมต้องเป็น “Cupnoodle” ?

ตอนปี 2020 ช่ากินก๋วยเตี๋ยวกับเพื่อน ๆ แล้วก็รู้สึกถึงคิดถึงอดีต (nostalgia) อะไรบางอย่าง เหมือนเป็นความรู้สึกที่อยู่กับเราตลอด อยู่ใต้จมูกเรามาตลอด แล้วก็คิดขึ้นมาว่าอยากจะใช้ชื่อ “Cupnoodle” คือมันรู้สึกตรงตัวมาก เราก็ถามตัวเองว่า “ทำไมเราจะเรียกตัวเองว่า Cupnoodle ไม่ได้ ?” และมันก็ตั้งคำถามไปอีกว่า “แล้วทำไมเราต้องใช้ชื่อจริงของตัวเองด้วยล่ะ ?” เหมือนเป็นความรู้สึกอยากออกไปข้างนอก อยากทดลองมากขึ้น พอมาคิดต่อก็รู้สึกว่า “Cupnoodle” นี่แหละเป็นชื่อที่เหมาะและมีความหมายแล้ว มันมีความเป็นเอเชียนมีความปัจจุบันทันด่วน (instant) ซึ่งคล้ายกับเพลงของเรา เวลาฟังเพลงบางทีมันก็เข้าถึงความรู้สึกได้ทันที นอกจากนี้ Cup noodle ยังเป็นอะไรที่ worldwide เหมือนกับอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าใครจะมาจากที่ไหน อายุเท่าไหร่ มีเงินหรือไม่มีเงิน ทุกคนต้องเคยกิน Cup noodle มาก่อน อีกอย่าง บางทีเราไม่มีอะไรจะกินแล้ว แต่ Cup noodle ก็ยังอร่อย และมันก็อยู่ตรงนั้นเสมอ ช่วยชีวิตในทุกช่วงเวลา ช่าก็เลยรู้สึกว่า “I feel like a Cup noodle.” ซึ่งเป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่น คนฟังแล้วรู้สึกเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหรือคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

EP. “YUM” : การ “ยำ” ทางดนตรีแบบไม่มีสูตรตายตัว

พี่ปกป้องเคยบอกว่าช่ามีความโอลด์สคูลอยู่บางอย่าง ซึ่งมันก็จริงนะ แล้วแนวเพลงของช่ามันก็เหมือน “ยำ” มาก ๆ คือ มิกซ์หลายสไตล์เข้าด้วยกัน ช่าไม่ได้มองว่าตัวเองต้องอยู่ในกรอบของแนวเพลงใดแนวเพลงหนึ่ง มันเริ่มจากเนื้อเรื่องก่อน แล้วโปรดักชันหรือสไตล์ที่ใช้ต้องมาซัพพอร์ตเนื้อเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก พอทำเพลงออกมา มันก็ยากเหมือนกันนะ เพราะเราทำอัลบั้มที่ไม่ได้มีสไตล์เดียวกันเลย เข้าใจว่าคนฟังอาจจะอยากให้เพลงมีความเป็นแนวเดียวกัน แต่ตัวเรามันไม่ง่ายแบบนั้น เราก็เลือกที่จะทำต่อไปในแบบที่มัน “ไม่ง่าย” นี่แหละ คือแนวเพลงที่เราชอบมันเยอะมาก Pop, R&B, Soul, Jazz, Blues, Alternative, Rock, Music Tech, EDM เราอยากพรีเซนต์ทุกอย่างในแบบที่เป็นตัวเรา มันก็เลยกลายเป็นการ “ยำ” จริง ๆ พอไปกูเกิลคำว่า “ยำ” ก็เจอความหมายว่า “mixing ingredients in an unpretentious and straightforward way” ซึ่งก็คือ “ผสมวัตถุดิบในแบบที่ไม่เสแสร้งและตรงไปตรงมา” ช่าก็รู้สึกว่า “เฮ้ย นี่มันตัวเราชัด ๆ เลย !” พี่ปกป้องก็เคยพูดว่า “ใช่ ช่าเป็นแบบนี้จริง ๆ นะ คือเห็นอะไรที่ชอบก็ใส่เลย” เราไม่ได้คิดมาก มันเป็นธรรมชาติของเรา

อีกอย่างคือ ช่ารู้สึกว่าเราอยากพรีเซนต์ความเป็นไทยด้วย แต่ไม่ใช่ในแบบที่ต้องพยายามทำให้มันดูพิเศษอะไร เพราะจริง ๆ แล้วความเป็นไทยมันอยู่ในตัวเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเพลง ถ้าเราคิดแต่จะ “ไปข้างนอก” เราจะไปไม่ถึง แต่ถ้าเราเอาตัวตนจริง ๆ ของเรามานำเสนอ เราจะไปได้ไกลขึ้น เพราะนี่คือสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราโตที่นี่ กินยำจริง ๆ (แม้เรื่องกินยำอาจเป็นเรื่องรอง 555) แต่มันคือคัลเจอร์ที่อยู่กับเราตลอด แล้วสิ่งที่เราทำ มันก็ไม่ได้หยุดแค่ดนตรี มันรวมไปถึงอาร์ตไดเรกชัน ครีเอทีฟไดเรกชัน ทุกอย่างที่เป็นตัวตนเราด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็สะท้อนออกมาใน Cupnoodle นี่แหละ !

ปกอัลบั้ม “YUM”

“รถเข็นยำ” พร้อมเข็นความอร่อยไปเสิร์ฟถึงหู

พอมาคิดดู “รถเข็น” มันเป็นเหมือนซิกเนเจอร์ของสตรีทฟู้ดในกรุงเทพฯ ซึ่งเรามองว่าคนทั่วโลกเห็นแล้วจะจำได้ทันทีว่ามันคืออะไร ก็เลยอยากหยิบมันมไฮไลต์ในงานของเรา เพื่อให้ไอเดียเป็นจริง ช่าก็ไปหารถเข็นมือสองจากชลบุรี เซิร์ชหาใน Facebook Marketplace เจอร้านที่ขาย ก็ให้เขาส่งขึ้นกระบะมาเลย เดินทางสองชั่วโมงมาถึงบ้าน พอได้มาก็จัดการทำความสะอาด วัดขนาด แล้วก็ออกแบบป้าย ติดต่อร้านทำป้ายไฟแถวติวานนท์ ต้องคุยกับเขาเรื่องดีไซน์ ตัดเหล็กให้พอดีสำหรับติดตั้งไฟ สนุกมากที่ได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอนที่ตลกคือระหว่างทำคุณพ่อคุณแม่เดินมาถามว่า “จะขายของแล้วเหรอลูก ?” (หัวเราะ)

สโลแกน “ป็อปเพื่อชีวิต”

ช่ารู้สึกว่าเนื้อหาเพลงของเรามีความเป็น “เพื่อชีวิต” อยู่เยอะนะ เวลาถามคนที่ฟัง เขาก็จะบอกว่า “จริง ๆ แล้วเพลงของช่ามันเกี่ยวกับชีวิตเลยนะ ไม่ได้พูดถึงแค่ความรัก” ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เราตั้งใจให้เป็นแบบนั้น จริง ๆ แล้วช่าก็ชอบเพลงเพื่อชีวิตอยู่แล้ว แค่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเพลงเพื่อชีวิตกับเพลงป๊อป อาจจะเป็นเรื่อง ดนตรีหรือกลุ่มคนฟัง แต่ถ้ามองลึกลงไปเราก็เห็นอะไรที่คล้ายกันหลายอย่าง ถ้าวันหนึ่งได้ collab กับพี่ปู (พงษ์สิทธิ์ คำภีร์) ก็คงดีใจมาก ๆ เพราะเพลงเพื่อชีวิตมันให้พลังในการใช้ชีวิต และเราก็หวังว่าเพลงของเราจะสามารถส่งพลังแบบนั้นให้กับคนฟังได้เหมือนกัน ถึงแม้ดนตรีของเราจะมีความแตกต่าง แต่สุดท้ายมันก็ยังอยู่ในหมวด “Popular Music” หรือเพลงที่เข้าถึงคนได้ง่าย ดังนั้นเราก็เลยเรียกมันว่า “ป็อปเพื่อชีวิต”

Track by Track  EP. “YUM” คอร์สอาหารหลากรสชาติความอร่อย

[ฟัง EP. “YUM”]

การเรียงเพลงในอัลบั้มนี้ก็เหมือนการจัดคอร์สอาหารเลยนะ ช่าอยากให้คนฟังได้ลองชิมทีละรสชาติ ทีละบรรยากาศ ไล่ไปจนถึงจานสุดท้าย

“TANGO” – อาหารจานแรกที่เสิร์ฟแบบจัดเต็ม

“Tango” เป็นเพลงที่เปิดอัลบั้มมาแบบสุดจริง ๆ ถ้าใครที่ไม่เคยฟังเพลงเรามาก่อน แล้วมาเริ่มที่เพลงนี้ ก็คือเหมือนได้ลองชิมอะไรใหม่ ๆ อยู่ มันมีทั้ง drum, bass, jungle beats มีความ experimental ในด้านโปรดักชันมาก

“Dead to You”  จากแดนซ์ฟลอร์สู่บาร์แจ๊ส หมอกควันจาง ๆ ในค่ำคืนเหงา

พอฟังมาถึง “Dead to You” บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเลย จากที่เต้น ๆ กันอยู่ อยู่ดี ๆ ก็เหมือนโดนดูดลงเตียง กลายเป็นโหมดเหนื่อยแล้ว นอนเถอะ (หัวเราะ) เพลงนี้เป็นเพลงที่ personal มาก ทุกเพลงมาจากประสบการณ์ของเรา แต่เพลงนี้คือมีความเป็นตัวเราชัดสุด ตอนที่ทำเดโมแล้วส่งให้พี่ปกป้องฟัง เราบอกเขาว่า “อยากให้เพลงนี้เหมือนอยู่ในบาร์แจ๊ส เล่นกับนักดนตรีสด ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย มีแค่เรา หมอกควันลอยจาง ๆ เหมือนฉากหนังเก่าแบบฟิล์มนัวร์” แล้วสุดท้ายเพลงก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริง ๆ

“Ketchup (Catch Up)”  กดเพลย์ แล้วออกเดินทางไปตามจังหวะชีวิตของตัวเอง

พอเข้าสู่ “Ketchup (Catch Up)” บรรยากาศก็เปลี่ยนอีกแล้ว เหมือนกำลังนั่งรถเปิดเพลงฟังชิล ๆ จริง ๆ เนื้อหาเพลงนี้พูดถึงการเติบโต แต่ในแบบที่ไม่จำเป็นต้องตามเส้นทางที่สังคมวางไว้เป๊ะ ๆ แบบ เรียนจบ-ทำงาน-แต่งงาน-มีลูก-เกษียณ อะไรแบบนั้น เราคิดว่าความกดดันพวกนี้มันไม่จำเป็นเลย เราไม่ต้องไปตามมันก็ได้ บางทีเราก็ยังอยากเป็นเด็กอยู่ข้างใน

“Worst Critic” ศัตรูที่แย่ที่สุดคือตัวเราเอง

จากนั้นก็ตัดมา “Worst Critic” เพลงนี้เป็นเพลงที่สดใสขึ้นหน่อย โดยเฉพาะช่วง bridge ที่มีความเป็น Gospel ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวนั้น เนื้อหามันพูดถึงความจริงที่ว่า บางทีเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่เสียงในหัวเรานี่แหละที่เป็นศัตรูของเราเอง มันเป็นเสียงที่ตัดสินเราก่อนที่คนอื่นจะตัดสินเราด้วยซ้ำ เราคิดว่าทุกคนน่าจะรีเลตได้ ถึงเนื้อเพลงจะหนัก แต่เราตั้งใจให้เพลงมันมีความสดใส เพื่อบาลานซ์อารมณ์ มีคนเคยบอกว่าตอนแรกฟังเฉย ๆ แล้วพอไปอ่านเนื้อเพลง กลับไปฟังอีกรอบถึงกับร้องไห้เลย เพราะมันโดนใจมาก โดยเฉพาะท่อน “Hello Universe ! I’m my own worst critic ?” ที่ฟังดูเหมือนติดตลก แต่จริง ๆ แล้วมันสะท้อนอะไรบางอย่างในใจ

“Piece of Mind” ปล่อยวางอย่างมีสไตล์ กับของหวานสำหรับหัวใจ

เพลงนี้เหมือนเป็นของหวานของอัลบั้ม เป็นช่วงที่ mellow ลงมา แต่ก็ยังมี attitude อยู่ ไม่ได้โลกสวยแบบ “ปล่อยวางทุกอย่างไปเลย~” แต่เป็นประมาณว่า “เข้าใจแล้วว่าเราไม่ควรให้ใครมาอยู่ในหัวเราแบบฟรี ๆ เพราะเราไม่มีเงิน ไม่มีเวลามากพอที่จะไปเสียเวลากับเรื่องพวกนั้น” แล้วที่ตั้งใจให้สะกดเป็น “Piece of Mind” แทน “Peace of Mind” ก็เพราะว่าเรารู้สึกว่าการคิดบวกหรือพัฒนาตัวเอง มันต้องเริ่มจากความรู้ที่เป็นเหมือนกับ “ชิ้นหนึ่งจากสมองของเรา” ก่อน ไม่ใช่แค่ความสงบใจเฉย ๆ

“Happy Ending”  เรื่องของความรักและชีวิต ที่ไม่มีคำตอบตายตัว

เพลงสุดท้าย “Happy Ending” เป็นเหมือนการสรุปมุมมองของเราในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเรื่องการอยู่ก่อนแต่ง ซึ่งช่าโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นฝรั่ง คุณแม่เป็นคนไทย สองฝั่งมีมุมมองที่ต่างกัน เราก็มีความคิดของเราว่าเรื่องนี้มันมีหลายแง่มุม เราอยากให้เพลงของเราเป็นเหมือน conversation starter ให้คนที่ฟังไปคิดต่อว่า “เออ จริงด้วยว่ะ” หรือ “อ๋อ นี่เป็นอีกมุมนึงที่เราไม่เคยคิดถึง” เพราะสุดท้ายดนตรีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

สุดท้ายแล้ว อัลบั้มนี้ก็เหมือนเป็น “ยำ” จริง ๆ เราชอบหลายแนวมาก ไม่เคยมองว่าตัวเองต้องอยู่ในกรอบของแนวเพลงเดียวกัน เราเลือกที่จะนำเสนอเพลงในแบบที่เราเป็น ไม่ได้พยายามทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับคนฟัง แต่พยายามทำให้มันเป็นตัวเรามากที่สุด แล้วถ้าเพลงของเราทำให้ใครสักคนรู้สึก empowered หรือ inspired ในแบบที่เพลงเพื่อชีวิตทำได้ นั่นก็คือ mission accomplished สำหรับเราแล้ว

มีเพลงรออยู่อีกไหม ? ก้าวเดินต่อ ๆ ไปของ Cupnoodle

ตอนนี้เพลงในอัลบั้มก็ทำไว้แล้ว ส่วนจะปล่อยปีนี้ไหม มันขึ้นอยู่กับจังหวะมาก ๆ แผนระยะสั้นก็คือดูเป็นช่วง ๆ ไป ประมาณสองเดือนหรือปีนึงอะไรแบบนี้ แต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับโมเมนตัมด้วย ต้องรอดูว่าคนฟังจะตอบรับกับอัลบั้ม “YUM” ยังไง ตอนนี้ช่าก็อยากโฟกัสเรื่องการแสดงสดด้วย เพราะถ้าจะทำตรงนี้เป็นอาชีพจริง ๆ การเล่นสดเป็นสิ่งสำคัญ เราอยากเน้นตรงนี้ให้มากขึ้น และเราคิดว่า “the best” ของการเป็นศิลปินก็คือการได้เจอคนที่เข้ามาฟังเรา ได้พูดคุยกับพวกเขา ได้เห็นอิมเพรสชันของคนฟัง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เราชอบอ่าน music reviews ชอบฟังฟีดแบ็กจากคนอื่น เพราะเราเป็นเหมือน student of music เรามองดนตรีเป็นเหมือนมหาวิทยาลัยที่เราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดกัน เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ ทุกคำติชม ทุกฟีดแบ็กที่ได้รับมา มันกลายเป็นพลังงานให้เรากลับไปทบทวนและพัฒนาต่อไป จากนี้ก็คงจะค่อย ๆ ปล่อยเพลงออกมาเรื่อย ๆ เหมือนกับเป็นการทดลองคอสเพลย์ดนตรีในแนวทางที่แตกต่างกัน ลองมาดูว่าเราจะพา Cupnoodle ไปในทิศทางไหนต่อ การทำเพลงมันก็เหมือนการทำอาหาร เราคิดว่าเราอยากพัฒนาให้รสชาติมันกลมกล่อมขึ้นเรื่อย ๆ คือบางวันคนฟังอาจจะอยากกินอาหารแบบหนึ่ง บางวันอยากเปลี่ยนแนว แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องซื่อสัตย์กับกลิ่นอายของตัวเอง อนาคตเราอาจจะพัฒนาโปรเจกต์ที่ผสมผสานมากขึ้น อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องเสียง แต่รวมไปถึงด้านวิชวลและครีเอทีฟไดเรกชันด้วย

ทุกวันนี้ศิลปินดี ๆ มีอยู่เต็มไปหมด! ทุกวันนี้แค่เปิด Spotify หรือ YouTube ก็เจอเพลงดี ๆ มากมาย ฟังได้ทั้งวันก็ไม่หมด มันทำให้เรารู้สึกว่าเรายังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ เรามองว่าตัวเองเป็นศิลปินที่กำลังเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ และดนตรีมันเชื่อมโยงกับวิชวลอาร์ตส์ด้วย เราอยากสำรวจและพัฒนาแนวทางของเราให้ไปไกลขึ้น ช่ารู้สึกโชคดีมากที่ได้อยู่ท่ามกลางคนที่เก่งกว่าเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพี่ปกป้อง หรือทีมที่ทำงานด้านวิชวลด้วยกัน เราได้แรงบันดาลใจจากพวกเขาตลอด เราอาจจะไม่ค่อยโอเคกับการอยู่ในกรอบชัดเจนเท่าไหร่ แต่เรารู้ว่าเราต้องทำงานในแบบที่เหมาะกับตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่เรารัก ถ้าต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอย่างอื่น มันคงไม่ใช่ตัวเรา พอมองย้อนกลับไป ตั้งแต่เป็นเด็กที่แค่ชอบร้องเพลงมาจนถึงวันนี้ เส้นทางมันก็เป็นแบบนี้มาตลอด เรื่อย ๆ ไม่มีแบบแผนตายตัว ไม่มีอะไรแน่นอน แต่สิ่งเดียวที่แน่ใจก็คือ… เราจะทำเพลงต่อไป

ถ้าจะบอกอะไรกับตัวเอง… กับเด็กคนนั้นที่ชอบร้องเพลง

สิ่งเดียวที่อยากบอกก็คือ “โฟกัสกับการโฟกัส” บางทีเวลาทำเพลง มันจะมีสิ่งรบกวนเยอะมาก อินเทอร์เน็ต การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การกังวลว่าคนจะฟังเพลงเรายังไง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องโฟกัสกับงานของเราเอง โฟกัสกับสิ่งที่อยากจะพูด พยายามเข้าถึงอารมณ์ให้ได้มากขึ้น ลองอะไรใหม่ ๆ กับ ซาวด์และหาวิธีพรีเซนต์ตัวเองให้ออกมาในแบบที่เรารู้สึกว่ามันใช่ แล้วสิ่งเดียวที่อยากจะบอกก็คือ… “มันพอแล้ว” พอแล้วในแง่ที่ว่า แค่พัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้ว แค่ทำให้คราฟต์มันดีขึ้นทุกวันก็พอแล้ว เรายังบอกตัวเองทุกวันว่า “ไปเรื่อย ๆ นะ” เพราะเส้นทางนี้มันยาวมาก เด็กคนนั้นอาจเคยคิดว่า “พออายุ 25 อาจจะทำอย่างอื่นแล้วมั้ง ?” แต่นี่ 32 แล้วก็ยังทำอยู่ และถ้าจะบอกอะไรกับตัวเองตอนเด็กก็คือ “เส้นทางนี้มันจะยาวมากนะ และต่อให้คิดจะเลิก… สุดท้ายยูจะเลิกไม่ได้หรอก เพราะยูจะโดนดึงกลับมาเสมอ” เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเรายังกลับบ้านมา เปิดเพลง แล้วรู้สึกเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่แค่ร้องเพลงเพราะมันคือสิ่งที่รัก… นั่นแหละคือคำตอบ

สามารถติดตาม Cupnoodle ได้ทาง youtube / Instagram / Facebook / Spotify / Apple Music

ขอบคุณภาพจาก Instagram