เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละครับ ไอเดียโชว์เกิดก่อนเวทีแสดง ด้วยความคิดริเริ่มของคุณวินิจ เลิศรัตนชัย หลังจากได้รับการชักชวนจากคุณประภาวรรณ เวลาดีวงณ์ รองประธานบริษัท โชว์ดีซี คอร์ป ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ว่าที่ห้างสรรพสินค้า Show Dc บนถนนพระราม 9 มีพื้นที่ว่างอยู่บนชั้น 6 อยากให้คุณวินิจ มาเนรมิตพื้นที่ทำเป็นเวทีโชว์ไว้รับชาวต่างชาติให้มาเดินเล่น เพราะทำเลของ Show Dc สามารถเดินทางไปสุวรรณภูมิ และ ดอนเมืองได้สะดวก คุณวินิจ ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำโชว์อะไรดี จนมาปิ๊งไอเดียเมื่อไปดูบอลที่โปรตุเกส แล้วเหลือบไปเห็นโปสเตอร์หนัง องค์บาก ที่สถานีรถไฟ ก็เลยปิ๊งไอเดียว่าเอา “องค์บาก” เนี่ยแหละ เพราะถือว่าเป็นไทยที่โกอินเตอร์ มีต่างชาติรู้จักมากสุด
จากนั้นขั้นตอนต่อไปก็คือโทรหาปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับเจ้าของโปรเจ็คต์ พูดคุยถึงหนทางที่พอเป็นไปได้ จนไปถึงคุณสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์แห่ง SF Cinema พาคุณวินิจเข้าไปเจรจาขออนุญาตกับทางเสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์ม จนถึงขั้นตอนสุดท้ายเมื่อ “องค์บาก” จะเปลี่ยนร่างจากภาพบนจอหนังมาแสดงสดบนเวที นาทีนี้ก็ต้องนึกถึงคนนี้คนเดียว คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ “Ongbak Live”ถึงได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยแกนนำทั้ง 3 คนนี้ครับ วินิจ เลิศรัตนชัย , ปรัชญา ปิ่นแก้ว และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ
พอโปรเจ็คต์เดินหน้า เวทีแสดงถึงได้เริ่มสร้างมาเพื่อโชว์นี้โดยเฉพาะ ออกมาเป็นฮอลล์โอ่โถงมากตั้งแต่แรกเห็นทั้งสูงและกว้าง เก้าอี้นั่งเป็นสโลปสูง นั่งสบายไม่มีคำว่าบังกัน เว้นระยะห่างหัวเข่าไม่ชน เวทีแสดงใหญ่มากกว้างถึง 40 เมตรและลึก 30 เมตร ด้านหลังเป็นจอหนังที่เปิดออกได้ เพื่อเคลื่อนอุปกรณ์ฉากเข้า-ออก มีประตูใหญ่สองด้านเวทีที่นักแสดงและอุปกรณ์โยกย้ายได้สะดวก และที่สำคัญมันเป็นฮอลล์ที่สูงถึง 21 เมตร ถือได้ว่าเป็นฮอลล์ที่ทันสมัยและหรูหราแห่งใหม่ของกรุงเทพฯเลย ถ้าไม่โชว์องค์บาก ก็จัดงานแสดงได้หลากหลาย
เรื่องราวของโชว์เป็นการตัดทอนเอาเฉพาะฉากสำคัญจากในหนังไม่กี่ฉาก ถ้าใครเคยดูหนังมาแล้วก็จะตามเรื่องไปได้ง่าย แต่ถ้าใครไม่เคยดูก็ต้องอ่านเรื่องย่อมาก่อนชม เพราะหนังมีแนวทางการนำเสนอที่ฉลาด ด้วยการไม่มีบทพูดทั้งเรื่อง ทำให้เข้าถึงผู้ชมได้ทุกชาติทุกภาษา เริ่มเรื่องจากฉากเปิดตัวบุญทิ้งที่เข้าแข่งขันปีนต้นไม้ชิงธงเช่นเดียวกับฉากเปิดตัวในหนัง ตามด้วยแก๊งมาเฟียต่างชาติพาลูกน้องมาตัดเศียรองค์บากขโมยไปกรุงเทพ บุญทิ้งตามมาที่กรุงเทพฯ ได้เจอพี่น้องชายหญิงโชว์เปิดหมวกที่ถนนข้าวสารพาไปตามหาเศียรองค์บาก บุญทิ้งและเพื่อนตามไปเจอแก๊งมาเฟียที่สนามต่อยมวยใต้ดิน ได้ดูโชว์ต่อสู้เซ็ตใหญ่อีกรอบ ลงท้ายด้วยฉากจบที่ถ้ำใต้ดิน บุญทิ้งจะต้องเจอกับลูกน้องยอดฝีมือของแก๊งมาเฟียที่ทีมงานมีเทคนิคเซอร์ไพรส์คนดูด้วยในฉากนี้ ที่เป็นไฮไลต์ของโชว์และตื่นตาตื่นใจกันมากคือฉากรถตุ๊กตุ๊กลอยฟ้า รถตุ๊กตุ๊กติดสลิงวิ่งจากเวทีลอยข้ามหัวคนดูแล้ววิ่งหายไปหลังห้องฉาย
โชว์แต่ละรอบจะยาวถึง 75 นาที แสดงจริงวันละ 2 รอบตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ในราคาที่นั่งละ 1,500 บาท อาจจะสูงสักนิดถ้ามองว่าเป็นละครเวทีสักรอบ แต่ถ้าได้ดูแล้วจะเห็นถึงความตั้งใจและทุนสร้างที่หมดไปในแต่ละรอบ เพราะการแสดงแบบนี้มีต้นทุนจริงในทุกรอบการแสดงไม่เหมือนหนังที่ลงทุนรอบเดียวแล้วฉายอีกกี่ครั้งก็ได้
นักแสดงทั้งหมดต้องมาแต่งหน้าแต่งตัวและแสดงสดแบบเสี่ยง ๆ ให้ดูทุกรอบ นักแสดงนี่นับคร่าว ๆ มีมากกว่า 60 คน ครึ่งหนึ่งเป็นสาวสวยในชุดไทย มาโชว์รำไทย ส่วนอีกครึ่งก็เป็นนักแสดงชายที่มาจากทีมสตันท์ของพันนา ฤทธิไกร มาโชว์ฉากแอ็คชั่นแบบเสี่ยงต่อการบาดเจ็บให้ได้ดูกัน
ฉากต่อสู้นี้ได้ ตอง กฤษณะ รอดพันนา ทายาทของพันนา มาออกแบบและกำกับคิวบู๊ แม้ฉากต่อสู้สด ๆ บนเวทีแสดงจะออกมาไม่รุนแรงเหมือนที่เห็นบนจอหนัง แต่ด้วยการใช้เสียงเอฟเฟคต์ประกอบในทุกหมัดและเท้าที่ปล่อยออกมาก็ช่วยเสริมความรู้สึกให้ดูรุนแรงขึ้นได้ การต่อสู้ก็ซ้อมกันมาแม่นและเป๊ะ เตะต่อยทีกระเด็น ตัวปลิว มีร่วงหล่นจากที่สูง มีเอาข้าวของหวดฟาดใส่กัน เรียกว่าถ้าพลาดขึ้นมาก็ต้องมีบาดเจ็บแน่นอน ตัวพระเอกบุญทิ้งนี่เหนื่อยสุด เตะต่อยตลอดเวลาแทบไม่ได้พัก บางฉากเดินลงมาหาคนดูออกไปหลังเวทีที่นั่งคนดู หายไปแป๊บเดียวกลับมาโผล่บนเวทีอีกแล้ว แต่ละฉากก็ออกแบบมาสวยงามทั้งแสงสีเสียง จัดเต็ม เรียกว่า 1,500 บาท ก็ถือว่าเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อแหละครับบัตรเริ่มขายวันที่ 28 มกราคม นี้ครับทาง ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ราคา 1,500 , 2,000 และ 2,500 บาท