เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ระบุว่า พบเห็นว่ามีการนำรถฉีดน้ำไปฉีดใส่เครื่องตรวจวัดคุณภาพของอากาศ ที่อนุเสาวรีย์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยสงสัยว่าการฉีดน้ำดังกล่าวนั้นมีจุดประสงค์เพื่อบิดเบือนค่าเฉลี่ยคุณภาพอากาศบนแอปพลิเคชัน AIR4THAI ให้แสดงผลเป็นปกติ ทั้งที่หลายจังหวัดทางภาคเหนือนั้นกำลังประสบปัญหาภาวะหมอกควันจาก ‘วิกฤตฝุ่นละออง’ ในเวลานี้
ทั้งนี้ ประชาชนที่ร้องเรียนได้อ้างอิงภาพค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองของพื้นที่บริเวณ ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 24 มีนาคม บนแอปฯ AIR4THAI วัดปริมาณได้ถึง 124 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างแย่ โดยในวันดังกล่าวมีการแจ้งเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือนอกอาคาร และมีการแนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัย แต่ในวันต่อมา ค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละออกในพื้นที่บนแอปฯ กลับลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียง 78 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จัดอยู่ในเกณฑ์คุณภาพปานกลาง
ทางด้านของ หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดเชียงใหม่ ออกมาชี้แจงว่าการฉีดน้ำนั้นเป็นไปตามแผนที่จะมีการรดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นและดักฝุ่นละอองเท่านั้น เนื่องจากเสาร์-อาทิตย์จะมีกิจกรรมถนนคนเดิน และการรดน้ำจะทำทุกพื้นที่ในเขตเมืองอยู่แล้ว ไม่ได้มีจุดประสงค์จะฉีดน้ำใส่เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศเพื่อบิดเบือนค่าเฉลี่ยอย่างที่เข้าใจกัน
ในช่วงเวลานี้ถือเป็นวิกฤตหมอกควันปกคลุมหลายพื้นที่ใน 9 จังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งมีสาเหตุจากการลักลอบเผาเพื่อหาของป่า รวมทั้งเศษวัสดุทางการเกษตรไปจนถึงล่าสัตว์ ทำให้หมอกควันส่งผลต่อสุขภาพรวมทั้งกระทบกับภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ก็ได้ออกมาตรการห้ามเผาในพื้นที่ 9 จังหวัดทางภาคเหนือเป็นระยะเวลา 1 เดือน