หนังเปิดตัวในสหรัฐไปเมื่อศุกร์ที่แล้ว ด้วยการเข้าชาร์ตเป็นอันดับที่ 3 โดยมี The Boss Baby ในอันดับที่ 1 และ Beauty And The Beast ที่ออกฉายมาแล้ว 2 สัปดาห์ในอันดับที่ 2 นับว่าเป็นการเปิดตัวด้วยตัวเลขที่ไม่สวยงาม ได้มาเพียง 18ล้านเหรียญ ไคล์ เดวีย์ จากพาราเมาท์ ค่ายเจ้าของหนังบอกว่าความล้มเหลวครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากกระแสต่อต้าน หรือ “Whitewashed” ที่ว่า Ghost In The Shell ถูกดัดแปลงให้เป็นหนังคนขาวมากเกินไป

ตารางหนังทำเงิน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นิตยสาร Deadline รายงานว่า พาราเมาท์คาดการณ์ไว้ว่า Ghost In The Shell จะทำเงินที่ราว ๆ 200 ล้านเหรียญ ในสหรัฐสัก 50 ล้านเหรียญ แล้วกวาดเงินจากนอกประเทศอีกสัก 150 ล้านเหรียญ แต่ความฝันนั้นช่างดูห่างไกลนัก เพราะขณะที่เขียนอยู่นี่ Ghost In The Shell เพิ่งทำเงินได้เพียง 23 ล้านเหรียญในสหรัฐ ต่างประเทศอีก 50 ล้านเหรียญ รวมแล้วก็ 73 ล้านเหรียญ ดูทีท่าแล้วงานนี้พาราเมาท์น่าจะขาดทุนไปเกิน 100 ล้านเหรียญ ประมาณการจากทุนสร้างที่น่าจะอยู่ราว ๆ 180 ล้านเหรียญ บวกกับค่าโฆษณาด้วยก็น่าจะแตะ 250 ล้านเหรียญ โอกาสที่จะได้ทุนคืนนั้นแทบมองไม่เห็น เพราะสัปดาห์หน้าก็ถึงคิวของ Fast And Furious 8

ตอนนี้พาราเมาท์ก็ได้แต่คาดหวังจากอีก 2 ตลาดใหญ่ก็คือ จีน และ ญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับหนังสือการ์ตูน เพราะตลาดในจีนเคยสร้างปาฎิหารย์ให้กับ Warcraft มาแล้ว ที่ทำเงินในสหรัฐแค่ 47 ล้านเหรียญ แต่ไปได้เงินจากจีนถึง 220 ล้านเหรียญ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็มองว่า จีน และญี่ปุ่น ไม่น่าจะช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับ Ghost In The Shell ได้ เพราะหนังไซ-ไฟ มักไม่ค่อยถูกโฉลกกับคนจีนนัก ส่วนในญี่ปุ่นนั้นก็น่าจะทำตัวเลขไปได้อีกประมาณ 45 ล้านเหรียญ เพราะในญี่ปุ่นไม่ค่อยรู้สึกอะไรรุนแรงนักกับการเอา สคาร์เล็ต โจแฮนสัน มาสวมบทผู้พันคุซานากิ เรื่องกระแสต่อต้านในญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าห่วงแต่ที่สำคัญคือการเข้าฉายของ Fast And Furious 8 ในญี่ปุ่นวันที่ 12 เมษายน นี้ต่างหาก

ผู้พันคุซานากิ จาก anime ต้นฉบับ

นอกเหนือจากกระแสต่อต้านที่มีผลกับรายได้หนังแล้ว เสียงนักวิจารณ์ที่ออกมาในเชิงลบเองก็มีผล จากเว็บไซต์ Rottentomatoes ให้ Ghost In The Shell อยู่ที่ 47% ในขณะที่ The Boss Baby ได้ไป 50% ความล้มเหลวครั้งนี้น่าจะมีผลกระทบรุนแรงต่อพาราเมาท์ เพราะทางค่ายเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมมูลค่า 1 พันล้านเหรียญกับ เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม กรุ๊ป และ ฮัวฮัว มีเดีย 2 สื่อยักษ์ใหญ่จากจีน ซึ่งทั้งหมดจะต้องมานั่งทบทวนความผิดพลาดครั้งนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ โดยเฉพาะการคัดเลือกตัวแสดงที่ต้องไม่ให้เกิดกระแส “Whitewashed” ขึ้นมาอีก