หนังอีกแนวที่ฮอลลีวู้ดทยอยสร้างออกมาเนือง ๆ ก็คือเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ละครับ ซึ่งมีเรื่องราวทั่วมุมโลกที่ถูกหยิบมาขยาย มีทั้งด้านสวยงามและด้านโหดร้ายของสงครามที่มักจะเกิดจากน้ำมือของทหารนาซีและญี่ปุ่นที่เป็นผู้ร้ายตลอดกาลของหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องนี้ก็เช่นกันที่พูดถึงความโหดร้ายของนาซี แต่คราวนี้หยิบแง่มุมใหม่ที่ไม่เคยผ่านตามาก่อน จากสวนสัตว์ในกรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ ที่เป็นกิจการของครอบครัวซาบินสกี ยานและแอนโตนีนา ทั้งคู่นับเป็นวีรบุรุษสงครามที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงมาก่อนในสื่อใด ๆ จนกระทั่ง ไดเอน แอคเคอร์แมน ไปพบบันทึกของ แอนโตนีนา ซาบินสกี เข้า แล้วดัดแปลงเนื้อหาจากบันทึกออกมาเป็นนิยายในปี 2007 หนังสือขึ้นถึงอันดับที่ 13 นิวยอร์คไทม์เบสต์เซลเลอร์ ในปี 2008
เรื่องราวย้อนไปในปี 1939 ตั้งแต่ช่วงคุกรุ่นก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้น ได้เห็นความสวยงามอบอุ่นของสวนสัตว์วอร์ซอว์ที่เต็มไปด้วยสัตว์น่ารักมากมาย คู่ผัวเมียซาบินสกีก็เป็นเจ้าของที่ใจดี คนงานต่างทำงานกันอย่างมีความสุข หนังใช้เวลาไม่นานปรับเปลี่ยนบรรยากาศสงบสุขให้กลายเป็นความน่ากลัวเมื่อสงครามคืบคลานมาพร้อมทหารนาซี เปิดฉากด้วยการทิ้งระเบิดเข้าใส่ สัตว์ล้มตายจำนวนมาก ฉากนี้เตือนเลยว่าไม่เหมาะกับคนรักสัตว์มาก ๆ จากฉากเปิดเรื่องที่กล้องพาเราไปทัวร์ให้เห็นสัตว์ต่าง ๆ นานาแล้วสุดท้ายเราก็ได้เห็นสัตว์พวกนี้โดนระเบิดตายเละ ๆ ที่รอดชีวิตก็ออกมาวิ่งเพ่นพ่าน ไม่นานทหารนาซีก็เข้ายึดครองสวนสัตว์และใช้เป็นสถานที่เก็บคลังแสง หนำซ้ำยังไล่ยิงสัตว์ที่รอดชีวิตจนหมด ใจร้ายมาก ยังดีที่ตลอดเรื่องเราได้ดูสัตว์น่ารัก ๆ เต็มไปหมด เพราะแอนโตนีนา จะมีลูกกระต่าย ลูกสิงโต มาคอยอุ้มเล่นให้ดูตลอดเวลา
ตัวร้ายของเรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของ แดเนียล บรูห์ล ดาราฮอลลีวู้ดที่เป็นชาวเยอรมันจริง ๆ เขารับบทเป็น ลุตซ์ เฮ็ค ที่เบื้องหน้าเป็นนักสัตววิทยาก่อนจะสวมเครื่องแบบกลายเป็นทหารเยอรมันคุมพื้นที่สวนสัตว์นี้ ผัวเมียซาบินสกีจำต้องญาติดีโอนอ่อนกับเฮ็คเพื่อความสงบสุขของครอบครัวและคนงานที่ยังเหลือ หนังเข้าสู่โทนหนังสงครามเมื่อยานและแอนโตนีนา ทนดูเพื่อนบ้านและชาวยิวโดนส่งไปฆ่าไม่ได้ ทยอยพาตัวชาวยิวจากค่ายกักกันแอบซ่อนมาในถังอาหารสัตว์ให้มาซ่อนตัวอยู่ในสวนสัตว์และส่งออกนอกเมืองในภายหลัง จริง ๆ หนังไม่ควรชื่อ The Zookeeper’s Wife หรอกนะ เพราะดูแล้ววีรกรรมครั้งนี้ ยาน ดูจะมีบทบาทมากกว่า แอนโตนีนา มากกว่าเสียด้วยซ้ำ รวมถึงเป็นต้นคิดที่จะช่วยเหลือชีวิตชาวยิวด้วยซ้ำ
ตลอด 2 ชั่วโมงหนังมีประเด็นให้พูดถึงมากมายเพราะเล่าเหตุการณ์ถึง 7 ปีตั้งแต่ 1939 – 1945 พูดถึงกลุ่มต่อต้านนาซีโดยกลุ่มชายชาววอร์ซอว์ ความหึงหวงของยานที่เห็นเฮ็คพยายามก้อร่อก้อติกกับแอนโตนีนา บรรดาชาวยิวที่มาหลบซ่อนอีกหลายคนที่พอจะมีบทบาทอยู่บ้าง พอประเด็นมากเข้าแล้วหนังเลือกจะเก็บไว้หมดก็เลยต้องเล่าประเด็นพวกนี้แบบผ่าน ๆ ไม่ได้ลงลึกไปในเรื่องใด ทำให้ The Zookeeper’s Wife เป็นหนังสงครามโลกที่เล่าเรื่องราวได้ค่อนข้างเบา บวกกับหนังได้เรต Pg-13 ด้วย จึงไม่มีภาพความรุนแรงให้เห็น และอาจจะเพราะหนังเป็นผลงานของผู้กำกับหญิงนิกิ คาร์โล ที่ถนัดกับแนวหนังฟีลกู๊ดมาหลายเรื่อง ฉากฆ่าสัตว์ฆ่าคนจึงมักจะตัดภาพก่อนแล้วให้ได้ยินเพียงเสียงปืนทิ้งภาพความโหดร้ายให้คนดูจินตนาการต่อเอง อย่างเช่นฉากยานต้องช่วยอุ้มบรรดาเด็ก ๆ น้อยนับสิบคนขึ้นรถไฟ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเด็กเหล่านี้จะมีจุดจบอย่างไร ทำร้ายจิตใจคนดูมาก ๆ
2 ชั่วโมงของหนังจึงผ่านไปแบบกราฟที่ค่อนข้างเรียบ เส้นเรื่องหลักที่วางไว้ก็ค่อนเข้างเบา ดูคู่ผัวเมียช่วยบรรดาชาวยิวไปเรื่อย ๆ ไม่มีฉากให้ได้ลุ้นเอาใจช่วยกับบรรดาตัวละคร ตัวร้ายอย่าง ลุตซ์ เฮ็ค ก็ร้ายไม่สุด ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่ากลัวเวลาปรากฏตัว ฉากรบก็ถูกแซมมาน้อยมากแบบเป็นน้ำจิ้ม ส่วนดีที่สุดก็คือการแสดงของ เจสซิกา แชสเทน ผมชอบเจสซิกา ที่เธอเป็นนักแสดงจริง ๆ เล่นเรื่องไหนก็จะไม่ติดบุคลิกตัวเองเลย เพิ่งดูเธอเป็นหญิงห้าวจาก Miss Sloane มาเรื่องนี้เธอกลายเป็นแม่บ้านนุ่มนิ่ม ที่ว่าง่ายผัวว่าไงว่าตามกัน และต้องฝึกพูดอังกฤษสำเนียงโปแลนด์ทั้งเรื่องอีกด้วย หนังจบแบบหนังประวัติศาสตร์ทั่วไป ด้วยการขึ้นข้อความบรรยายสรุปวีรกรรมที่น่าทึ่งของผัวเมียซาบินสกี จัดเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เล่าเรื่องราวในมุมมองแบบเบา ๆ ครับ ไม่เครียดไม่กดดันมากนัก