เรียกว่าเป็นผลงานที่แฟน ๆ ของ อาจารย์ โอบาตะ ทาเคชิ และ โอบะ สึกุมิ ผู้วาดและผู้แต่งเรื่องคู่ขวัญสำหรับมังงะสายซีเรียสที่หลายคนโปรดปรานอย่าง Death Note และ Bakuman รอคอยกันมานานมากว่าเมื่อไหร่จะมีพิมพ์ลิขสิทธิ์ไทยเสียที ขนาดที่ว่าในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ผ่านมาแม้จะออกมาพิมพ์ขายไม่ทัน ก็ยังมีแฟน ๆ ไปรอไปถามแทบทุกวัน ล่าสุดหนังสือเพิ่งวางแผงเมื่อวานนี้เองครับ เราก็เลยรีบสอยมารีวิวคุณภาพผลงานกันเลย
Platinum End เริ่มตีพิมพ์ลงนิตยสารรายเดือนของชูเอฉะอย่าง Jump SQ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 และตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ปัจจุบันออกมาแล้วทั้งหมด 5 เล่ม ส่วนของไทยก็เพิ่งออกเล่มแรก 11 พฤษภาคมหรือเมื่อวานอย่างที่บอกครับ
เนื้อเรื่องก็เข้าโหมดซีเรียสตั้งแต่ตอนแรกเลย ว่าด้วยชีวิตอันไร้ความหวังของ คาเคฮาชิ มิไร เด็กชาย ม.ต้นที่ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการกระโดดตึกในวันพิธีจบการศึกษา เพราะพ่อแม่เสียไปตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และถูกรับเลี้ยงต่อโดยครอบครัวคุณอาที่ชอบความรุนแรงและใช้เขาเยี่ยงทาส แต่ตอนที่ร่างกำลังร่วงสู่พื้นนั้นเอง เขากลับได้รับการช่วยเหลือจากเทวทูตนามว่า นัซเซ เธอได้มอบความหวังในการมีชีวิตให้มิไรอีกครั้ง โดยมอบอิสรภาพคือ ปีก ที่สามารถบินไปไหนก็ได้ด้วยความเร็วสูง กับความรักคือ ลูกศรสีแดง ที่สามารถทำให้คนที่โดนหลงรักมิไรได้ 33 วัน โดยแลกกับที่มิไรต้องเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ เพราะพระเจ้าองค์ปัจจุบันกำลังหมดหน้าที่ลง จึงได้ส่งเทวทูตทั้ง 13 ตนออกไปตามหามนุษย์ที่เหมาะสม ซึ่งคัดเลือกจากมนุษย์ที่สิ้นหวังในชีวิตด้วยเหตุผลว่าพวกนี้เป็นผู้ไม่พอใจในโลกเดิมของพระเจ้า จึงน่าจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
แม้พลอตช่างดูคล้าย Mirai Nikki หรือ บันทึกมรณะ เกมล่าท้าอนาคต ที่มีตีพิมพ์มาก่อนหน้าอยู่ก็ตาม แต่ความน่าสนใจคือการสร้างคาแรกเตอร์ที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาครับ มิไร นั้นเป็นเด็กที่ปฏิเสธการมีชีวิต เขารับปีกและลูกศรมาทั้งที่ไม่มีความคิดที่จะใช้และไม่สนใจการชิงตำแหน่งพระเจ้า จนเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นทำให้เขาระลึกถึงคำสอนของคุณแม่ที่มักพร่ำบอกเสมอว่า คนเราไม่ว่าใครก็เกิดมาเพื่อมีความสุข ไม่ว่าใครก็มีชีวิตอยู่เพื่อมีความสุขยิ่งกว่าใคร นั่นทำให้เขาเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เพื่อมีความสุขอย่างที่คุณแม่บอก มิไร แม้จะเป็นเด็ก ม.ต้น แต่ความคิดความอ่านก็โตเป็นผู้ใหญ่ (จนดูเหลือเชื่อ) เขาต่างจาก ไลท์ ใน Death Note ตรงที่มีความระมัดระวังต่ออำนาจที่มากขึ้นและเลือกจะใช้อย่างจำเป็นเท่านั้น
กลายเป็นฝั่ง นัซเซ เทวทูตสายโมเอะเสียอีกที่พูดเรื่องเลวร้ายออกมาได้อย่างใสซื่อ อย่างยุให้ใช้ปีกไปขโมยของ หรือใช้ลูกศรแดงบังคับคนให้เชื่อฟัง รวมถึงการใช้ลูกศรขาวที่พิเศษตรงทำให้คนที่โดนตายได้ 100% ด้วย ตัวละครนี้น่าสนใจมากครับ เพราะเธอต่างจาก ยมทูตลุค อีกเช่นกัน เธอคิดอะไรแบบบริสุทธิ์เหมือนความดีเลวไม่ใช่เรื่องผิดแผกแยกกันเลย มีเพียงเป้าหมายที่ว่าเธออยากให้มิไรมีความสุขจากใจจริงเท่านั้นเอง เธอพูดน่าคิดไว้ว่า “ปีศาจน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก จะมีก็แต่ในจิตใจคนเท่านั้นล่ะ”
ความมันของเรื่องนี้ก็อยู่ตรงที่ผู้เข้ารับเลือกแต่ละคนต่างใช้พลังกันไปแตกต่างกัน และเมื่อมีคนหนึ่งลุกขึ้นมาสวมชุดฮีโร่เพื่อปราบอธรรม และออกมาประกาศจะไล่ฆ่าผู้เข้าคัดเลือกอีก 12 คนที่เหลือ (ดูคล้าย ๆ ไลท์ในบางแง่มุม) ทำให้มิไรที่ต้องการแค่มีความสุขแบบคนธรรมดา ๆ ต้องระวังการเป็นเป้าสังหารของผู้ครอบครองเทวทูตตนอื่นด้วย และในท้ายเล่มหนึ่งนี้ เขาก็ได้เผชิญผู้ใช้เทวทูตตนหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว และจบแบบอยากอ่านเล่มสองแทบใจจะขาดกันเลยทีเดียว (เห็นผ่าน ๆ แล้วเล่มหลัง ๆ นี่ออกแนวเซ็นไตฮีโร่กันเลยครับ)
ด้านคุณภาพการพิมพ์สำหรับเนชั่นแล้วต้องบอกว่าผิดหวังนิด ๆ ครับ ด้วยราคาถึง 65 บาทแต่ไม่มีหน้าสีมาให้เลย เข้าใจว่าคงแพงด้วยต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ ในหนึ่งเล่มจะมีแค่ 3 ตอนคงเพราะลงในนิตยสารรายเดือนแต่ละตอนเลยมีจำนวนหน้าเยอะกว่าพวกรายสัปดาห์ ฉบับไทยพิมพ์แบบญี่ปุ่นเปิดอ่านจากขวาไปซ้าย ด้านกระดาษนั้นหนาขึ้นกว่าการ์ตูนก่อน ๆ ของค่ายนี้ไม่บางจนเห็นทะลุอีกหน้าแล้ว หมึกการพิมพ์ออกโทนเทามากกว่าขาวดำแท้ทำให้หลายภาพดูจาง ๆ ส่วนปกในก็เป็นภาพเหมือนปกนอกไม่ได้มีพิเศษอะไร ด้านในปกไม่มีคำนิยมจากผู้เขียนผู้แต่ง การแปลกับพิสูจน์อักษรทำได้ดีหายห่วง ฉากโป๊ที่มีนิดหน่อยก็ใช้อักษรศีลธรรมผสมการลบขาวตามเอกลักษณ์ของค่ายนี้ครับ ที่ติงอยากให้ระบุเพิ่มคงเป็นคำแนะนำอายุผู้อ่านที่เหมาะสม เพราะมีความรุนแรงทั้งภาพและเนื้อหา คิดว่าน่าจะซัก 15+ หรือให้มีผู้ปกครองแนะนำน่าจะกำลังดีครับ
สรุปว่า เนื้อหามีความชวนคิดถึง Death Note ผสมการ์ตูนฮีโร่ น่าสนใจมากครับ ส่วนการพิมพ์ฉบับภาษาไทยนั้นพอรับได้กับราคาและคุณภาพครับ