สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
หนังรักญี่ปุ่นที่พระเอกย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ กลับมาอีกแล้ว และอีกแล้ว ดูจะกลายเป็นพลอตที่เฝือ ๆ ไปแล้วด้วยซ้ำนะ แต่ความพิเศษของหนังเรื่องนี้คือ ความกลมกล่อม ทั้งบทแอบรัก บทสารภาพรัก บทหวาน บทขำ บทสิ้นหวัง บทจากลา และบทเพลงแสนไพเราะ ซึ่งลงตัวกันมาก ดังนั้นคุณจะได้ลุ้นเอาใจช่วย อายเขินหน้าแดง จิ้นจิกเบาะ ยิ้มหัวเราะ ร้องไห้ไปกับมัน และที่สำคัญคือได้ค้นพบคุณค่าเหลือประมาณของการที่ยังมีเวลาได้อยู่กับคนที่เรารักในวันนี้ พระเอกหล่อ นางเอกเสียงดี เพื่อนพระเอกน่ารัก เพื่อนนางเอกสวยมากกกก แค่นี้น่าจะตัดสินใจไปดูกันได้แล้วนะ (ฮา)
หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้เพิ่งลงโรงที่ญี่ปุ่นไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เองครับ ก็นับว่ามาเข้าไทยรวดเร็วพอสมควร อาจด้วยเพราะตัวหนังเป็นที่จับตามองจากการมาแสดงนำครั้งแรกของ มิวะ นักร้องนักแต่งเพลงสาวมากความสามารถที่มีฐานแฟนคลับในไทยมากพอสมควร ด้านพระเอกก็เป็นการรับบทพระเอกตัวหลักครั้งแรกของ ซาคางุจิ เคนทาโร่ พระเอกที่ดูน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ทั้งยังเป็นผลงานการเขียนบทหนังของ โอชิมะ ซาโตมิ หนึ่งในทีมเขียนบทซีรีส์ที่เรียกน้ำตาท่วมจออย่าง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร (Ichi Rittoru no Namida) ด้วย เรียกว่ามีวัตถุดิบชั้นยอดมาปรุงเลยล่ะครับ
เรื่องราวเล่าถึง ฮาเซกาว่า ริคุ (เคนทาโร่) ชายหนุ่มผู้ค้นพบการเดินทางย้อนเวลากลับไปช่วงชีวิตไหนของตนก็ได้ผ่านการเล่นแผ่นเสียงวิเศษ เขาพยายามแก้ไขเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่ทำให้เพื่อนสาวที่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็กอย่าง ฮินาตะ อาโออิ (มิวะ) เสียชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นในเทศกาลเซโตะ ที่วง The STROBOSCORP ของพวกเขาไปเล่น ทั้งยังเป็นวันเกิดปีที่ 20 ของอาโออิอีกด้วย เรื่องหลัก ๆ ก็ประมาณนี้ล่ะครับ
แม้ตัวเรื่องหลักจะดูคลุมโทนด้วยเรื่องแฟนตาซีอย่างการย้อนเวลา หรือการต่อสู้เพื่อช่วยชีวิตคนที่แอบรักซึ่งดูดราม่าหนักเหลือเกิน แต่เนื้อในมันและเป็นช่วงเวลาใหญ่ของหนังด้วยกลับชะโลมไปด้วยความหวานและช่วงเวลาอบอุ่นมาก ๆ ครับ ตรงนี้ทำให้อมยิ้มหน้าแดงกันได้เลยกับแต่ละอย่างที่ริคุทำเพื่ออาโออิ น่าจะถูกใจสาว ๆ มาก ๆ เหมือนคนแต่งเรื่องจะเข้าอกเข้าใจสาวเป็นพิเศษ (อ่าวก็ผู้หญิงนี่นะ 55) โดยเฉพาะบุคลิกผู้ชายเข้มขรึมเพอร์เฟกต์ที่ยอมเผยมุมอ่อนหวานให้เฉพาะคนที่เขารักเท่านั้นเห็น นี่เป็นไม้ตายเลย “ผมขอสัญญาว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป จะอวยพรวันเกิดให้เธอแบบนี้จนถึงวันเกิดปีที่ 100 เลย”
ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็เป็นตัวเสริมทำให้เรื่องมีพลอตรองสนับสนุนพลอตหลักได้อิ่มขึ้น อย่างเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนสาวอย่าง อาโออิ กับ รินะ (มาโนะ เอรินะ ) ที่ต่างเป็นกำลังใจในเรื่องความรักให้แก่กันเพราะทั้งคู่ต่างก็แอบชอบเพื่อนในวงเหมือนกัน มีคำพูดที่รินะพยายามยุให้สารภาพรักก่อนที่อาโออิจะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศและไม่ได้เจอริคุถึง 1 ปีเต็มว่า “เวลาช่วงฤดูร้อนปีสุดท้าย ที่ได้ใช้ร่วมกับแฟนนั้น แตกต่างจากเพื่อนสนิทมากนะ” ก็เป็นตัวที่ขับเคลื่อนหัวใจทั้งตัวอาโออิและรินะด้วย
ในขณะที่เพื่อนร่วมวงคู่หูคู่ฮาอย่างมือเบส นาโอยะ (ริวเซ เรียว) ที่หลงรักอาโออิมาตลอด กับมือกลอง เท็ตซึตะ (อิสึมิซาวะ ยูกิ) ก็เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เห็นคุณค่าของมิตรภาพ แม้จะมีเรื่องระหองระแหงและผิดใจในเรื่องความรักกันในหมู่เพื่อนบ้าง แต่ทั้งสองคนก็เป็นสีสันที่ทำให้ทุกคนทั้งเพื่อนแก๊ง 5 คนในเรื่องและคนดูเกิดรอยยิ้มได้เสมอ ผมชอบตอนหนึ่งที่เท็ตซึตะพูดขึ้นในตอนที่ต้องเล่นเพลงแต่งใหม่เพลงหนึ่งว่า “เพราะเรามีเวลาไม่มากพอที่จะซ้อมมัน ดังนั้นเราต้องทุ่มซ้อมมัน (ในเวลาที่มี) จนกว่าจะหมดลมหายใจ” แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลักระหว่างริคุกับอาโออิ แต่เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในหัวใจของเรื่องนี้เลยทีเดียวครับ
ผมเขียนเน้นให้เห็นว่าหนังค่อนข้างพูดเรื่องของเวลาค่อนข้างเยอะ เพราะมันคือหัวใจที่หนังเอามาใช้เพื่อเล่าถึงการมีชีวิตและการมีความรัก และนี่คือส่วนที่เด่นอย่างสำคัญที่ทำให้มันต่างจากหนังที่เล่าเรื่องย้อนเวลาเรื่องอื่น ๆ คือมันเล่าได้เข้าถึงหัวใจของเรามากกว่าครับ หนึ่งในนั้นคือกิมมิคสำคัญที่ถูกย้อนย้ำอยู่เสมอก็คือ บทเรียนในคาบวรรณกรรมที่อาโออิเรียนตอนเปิดเรื่อง อาจารย์ได้สอนเรื่อง โมโม่ วรรณกรรมคลาสสิคของนักเขียนเยอรมัน มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ที่ว่าด้วยความสำคัญของเวลา เพราะเวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ อย่ามัวเผลอไผลในการใช้ชีวิต จงระวังแมวขโมยเวลามาเอามันไป
จริงแล้วพลอตย้อนเวลาแทบไม่ได้จำเป็นกับหัวใจของหนังนักหรอกครับ แต่เป็นตัวเสริมให้เราเข้าใจมันได้อย่างเป็นรูปธรรมว่า การได้อยู่กับคนรักในเวลานี้ มีค่าน่าหวงแหนน่าทำดีต่อกันมากแค่ไหน ดังนั้นอยากเชิญชวนให้พาคนที่คุณรัก จะเป็นคนรัก เพื่อน ครอบครัว หรือใครก็ตามให้ไปดูกันครับ
นอกจากจุดเด่นเรื่องบทที่ถึง และกลุ่มนักแสดงที่เหมาะเจาะ สถานที่ฉากหลังของเรื่องอย่างเมืองชายทะเลที่ อุชิมาโดะ เมืองโอคายามะ ก็เป็นฉากที่แปลกตา สร้างความแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ด้วย และอีกหนึ่งในตัวเอกของหนังวัยรุ่นเรื่องนี้คือบทเพลงครับ เพลงแสนหวานอย่าง Aiokuri (アイオクリ) ที่ร้องโดยมิวะ และเล่นโดยวงจากนักแสดงในเรื่อง The STROBOSCORP นี่เพราะมากครับ ทั้งความหมายก็ดีด้วย เสียดายแค่ในท่อนของเคนทาโร่นั้นเสียงเขาไม่ค่อยเข้ากับมิวะเท่าไหร่ครับ (ฮา)
หรือจะเป็นเพลงเปิดเรื่องที่สนุก ๆ แสนสดใสอย่างเพลง Tanjun na Kanjo (単純な感情 Simple feelings)
และเพลงจบของหนัง ที่ใช้ชื่อเดียวกับตัวหนัง ซึ่งใครได้ดูคงต้องประทับใจมาก ๆ อย่าง Kimi to Hyakkaime no Koi (君と100回目の恋 The 100th Love with You) ด้วยความหมายดี ๆ อยากฟังเพราะ ๆ ดนตรีเต็ม ๆ และอ่านความหมายดี ๆ ต้องในโรงหนัง 18 พฤษภาคมนี้เลยครับ (แปะฉบับคัฟเวอร์ให้ครับ ใครอยากฟังเสียงมิวะต้องในโรงล่ะครับ)