เมื่อไวรัสกำลังล้างเมือง มีเพียงเธอที่ปลดล็อคชนวนวินาศกรรมได้!
เมื่อสายของ CIA รายงานการลักลอบนำเข้าเชื้อโรคมาก่อวินาศกรรมกลางกรุงลอนดอน ทำให้ อลิซ ราซีน (นูมิ ราเพซ) มือสอบสวนผู้สามารถปลดล็อคทุกรหัสข้อมูลต้องกลับมาลงสนามอีกครั้งหลังเหตุระเบิดที่ปารีสยังตามหลอกหลอนเธออยู่ไม่เลิก และเมื่อเหตุการณ์เริ่มทวีความซับซ้อนจนเกมอันตรายได้ชักพาให้เธอต้องร่วมมือกับมิตรที่อาจกลายเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อทั้ง แจ็ค อัลคอต (ออแลนโด้ บลูม) อดีตนาวิกโยธินในคราบโจรขโมยทีวีในเซฟเฮาส์ อีริค แลช (ไมเคิล ดักลาส) หัวหน้าซีไอเอเก่าที่เธอนับถือ เอมิลี โนวเลส (โทนี โคเลตต์) หัวหน้าหน่วย เอ็มไอไฟว์ของอังกฤษ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดมี บ็อบ ฮันเตอร์ (จอห์น มัลโควิช) หัวหน้าซีไอเอประจำลอนดอนคอยจับตาดูว่าอลิซเป็นคนทรยศหรือไม่ งานนี้เธอต้องพิสูจน์ตัวเองและหาตัวผู้บงการเพื่อหยุดยั้งแผนวินาศกรรมเชื้อโรคที่มีผู้บริสุทธิ์เป็นเดิมพันให้จงได้
หนังมีฉากดีๆอย่างการเค้นสารลับจากคนนำสารของอิหม่ามโดยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผู้ถูกสอบสวนคายข้อมูลออกมาสร้างความฉลาดให้กับตัวละครและเรื่องราว
ว่ากันตามจริงแล้ว พลอตเรื่องของ Unlocked แทบไม่มีอะไรใหม่เลยด้วยซ้ำจนเมื่ออ่านแค่เรื่องย่อก็มีสิ่งคุ้นเคยจากหนังแนวสืบสวนสอบสวนที่มี CIA เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า3 โหลทั้ง
- ผู้ก่อการร้ายมุสลิมที่เป็นผู้ร้ายในหนังแอ็คชันอเมริกันมานับไม่ถ้วน
- ตัวละครเป็น CIA ถูกหักหลังซึ่งปรากฏในหนังฮอลลีวูดหลังสงครามเย็นมาเป็นสิบๆ ปี
ทำให้ ปีเตอร์ โอ บรีน (Peter O’Brien) คนเขียนบทต้องพยายามหาแนวทางแปลกใหม่ให้เรื่องราวโดยสิ่งหนึ่งที่ Unlocked พยายามฉีกตัวเองจากหนังสายลับ CIA เรื่องอื่นๆคงหนีไม่พ้นการให้บทนำกับตัวละครหญิงและเลือกเจาะจงให้นางเอกอย่าง อลิซ มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวน
ทำให้หนังมีฉากดีๆ อย่างการเค้นสารลับจากคนนำสารของอิหม่ามโดยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผู้ถูกสอบสวนคายข้อมูลออกมาสร้างความฉลาดให้กับตัวละครและเรื่องราวแถมยังสร้างฉากบู๊ให้เธอกลายเป็นเจสัน บอร์นเวอร์ชั่นฉันก็สู้คนค่ะฉันก็สู้คน อีกทั้งยังใส่ฉากย้อนอดีตเหตุวินาศกรรมที่ปารีสมาเป็นบาดแผลในชีวิตนางเอกจนทำให้อดคาดหวังไม่ได้ว่าหนังจะต้องบันเทิงและมีดราม่าหนักแน่นแน่นอน…
แม้การแสดงจะทำให้คนดูเชื่อในคาแรคเตอร์ อลิซ หญิงแกร่งผู้มีอดีตเลวร้ายของ นูมิ ราเพซ หรือ สาวรอยสักมังกรจาก The Girl With The Dragon Tattoo (2009) ต้นฉบับจากสวีเดน ที่รับบทนำในหนังพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นหลังพิสูจน์ตัวเองในฮอลลีวูดทั้ง Sherlock Holmes : A Game of Shadow (2011) และ Prometheus (2012) แต่น่าเสียดายที่ต้องบอกว่า Unlocked ก็คงไม่ใช่งานที่จะส่งผลดีให้อาชีพนักแสดงของเธอนัก แม้ว่าหนังจะได้ไมเคิล แอปเท็ด (Michael Apted) ที่เคยกำกับหนังเจมส์ บอนด์ตอน The world is not enough (1999) และ หนังชุดนาร์เนียร์ เรื่อง The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader (2010) มาบอกเล่าเรื่องราวหักเหลี่ยมเฉือนคมผสมดราม่าความผิดบาปในอดีต
แต่ในเมื่อบทหนังพยายามยัดวัตถุดิบมั่วๆ มาลงหม้อจับฉ่ายทั้งเจสัน บอร์นผู้หญิงผู้มีแผลในใจกลายเป็นทรชนในหน่วยงานซีไอเอต้องล้างมลทินให้ตัวเองด้วยการหยุดวินาศกรรมเชื้อโรคและพบความลับสกปรกของคนที่ตนนับถือ ไอ้พลอตที่ว่าไปทั้งหมดถูกถ่ายทอดบนจอแบบตามมีตามเกิดเพราะงบน้อย ลำพังแค่ภาพลอนดอนในหนังยังถ่ายแคบๆ เน้นตัวบุคคลมากกว่าสถานที่แถมหลายซีนเราเห็นได้ถึงความเร่งรีบในการถ่ายทำ แม้กระทั่งฉากปรากฏตัวของหัวหน้าซีไอเอที่หนังเอาจอห์น มัลโควิช อดีตดาราผู้ผูกขาดบทผู้ร้ายโรคจิตมาเดินเข้าสำนักงานเรายังมีโอกาสได้เห็นนักแสดงเอ็กซ์ตร้าสาวหลุดยิ้มทั้งที่ในหน่วยงานกำลังเผชิญวิกฤตไวรัสเป็นต้น
และสำหรับการเป็นหนังรวม (อดีต) ดารา (เคย) ดัง หนังเองก็นำอดีตนักแสดงดังมาร่วมจอเพื่อตอกย้ำสัจธรรมความไม่จีรังของสังขารและเสถียรภาพทางการแสดงของหลายท่านตั้งแต่รุ่นกลางๆ อย่างออร์แลนโด้ บลูม พ่ออดีตเอลฟ์รูปหล่อจาก The Lord of The Rings (2001) ที่แบกหน้ายับๆ มารับบทพูดมากน่ารำคาญ หรือโทนี โคเลตต์ อดีตนักแสดงคุณภาพที่เริ่มรับงานเข้าข่าย “ไม่เลือกงานไม่ยากจนมากขึ้น” เธอสามารถก็อปปี้แอ็คติ้งตัวเองจาก XXX : Return of Xander Cage (2017) มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า หรือรุ่นใหญ่ทั้ง ไมเคิล ดักลาส ที่แสดงแบบสุดแต่บทจะเขียนมาให้เล่นและจอห์น มัลโควิช ที่เอ่อ…เป็นหัวหน้าซีไอเอที่สติปัญญาไม่ต่างจากผู้ร่วมแสดงหนังเละๆ อย่าง Jack Ass (2000) เลย
หนังเองก็นำอดีตนักแสดงดังมาร่วมจอเพื่อตอกย้ำสัจธรรมความไม่จีรังของสังขารและเสถียรภาพทางการแสดงของหลายท่าน
สรุปความดีงามอย่างเดียวของ Unlocked คือเราดูแล้วสามารถเปลี่ยนชื่อไทยจากยุทธการล่าปลดล็อคให้กลายเป็น ยุทธการขยับเหงือก ได้แบบผู้สร้างไม่ตั้งใจในหลายฉากเลยล่ะ