เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับขวัญใจเด็กแนว ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คของตนว่า
หลังจากนั้น เต๋อ ก็โพสต์บทเพลงจากอัลบั้มทั้ง 2 และมิวสิควีดิโอจากเกิร์ล (มหา)กรุ๊ป AKB48 ตามลำดับ โดยมี keyword ในแต่ละโพสต์คือ การให้อภัย . , rainbow . และ crying lightning .
ด้วยความสงสัย เราก็เลยเกิดความอยากรู้ว่า 2 อัลบั้ม 1 บทเพลงนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานภาพยนตร์เรื่องนี้ของเต๋อ ได้อย่างไร บทความนี้เราก็เลยจะพาไปสำรวจตรวจสอบดูว่า 2 อัลบั้ม 1 บทเพลงนี้เป็นเช่นไร มีความดีงามอย่างไร แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับโปรเจ็คส์ Die Tomorrow นี้กันก่อนดีกว่า
Die Tomorrow เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่ 5 ของ เต๋อ นวพล ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 หนังไทยที่กระทรวงวัฒนธรรมได้เลือกไปนำเสนอเพื่อหาผู้ร่วมทุนสร้างในงาน Thai Film Pitching Project ที่จัดขึ้นในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์เมื่อปีที่แล้ว (2016) และถือว่าเป็นการกลับมาสู่เส้นทางอินดี้อีกครั้งหลังจากเรื่องล่าสุดที่เต๋อ ได้ร่วมงานกับทาง GTH กับภาพยนตร์เรื่อง “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ”
Die Tomorrow เป็นการนำเอา 6 เหตุการณ์ตายประหลาดที่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องราว นอกจากนี้แล้วเราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย แต่ว่าทาง เต๋อ ก็ได้ปล่อยข้อมูลและคลิปออกมาเหมือนเป็นจิ๊กซอว์เพื่อให้เราได้ปะติดปะต่อเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้หายสงสัยเลยแต่กลับยิ่งทำให้เราสงสัยมากยิ่งขึ้น และต่อไปนี้คือ จิ๊กซอว์เหล่านั้น
สิ่งที่เรารู้จากคลิปเบื้องหลังชิ้นนี้มีดังนี้
ชื่อหนัง Die Tomorrow กำกับโดย Nawapol Thamrongrattanarit (อันนี้รู้อยู่แล้ว)
ถ่ายภาพโดย Niramon Ross ( นิรมล รอสส์เคยร่วมงานกับเต๋อมาแล้วใน ฟรีแลนซ์)
ชื่อพาร์ทคือ “Lucky Girls” และในคลิปมีนักแสดงหญิงสาว 4 คนมานั่งคุยกัน เป็นใครก็ไม่รู้ คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ได้ยินแต่ถามว่า “ไปขี้หรือเพื่อน ?” แถมเอาสเลทบังไว้อีกต่างหาก เหวอเลย เต๋อ นวพล สุดๆ
ก่อนหน้านี้เหมือนจะมีข่าวว่า คิโกะ มิซุฮะระ นักแสดงสาวจากภาพยนตร์เรื่อง “Norwegian Wood” (2010) และ “Attack on Titan” (ผ่าพิภพไททัน) (2015) จะร่วมแสดงในโปรเจ็คส์ Die Tomorrow นี้ด้วยซึ่ง เต๋อ ได้เคยร่วมงานกับเธอมาแล้วในวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำปรินท์แอดของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี โดยมี คิโกะ เป็นพรีเซนเตอร์ของงาน งานชิ้นนี้เป็นงานวิดีโอเบื้องหลังแบบใหม่ที่ผสมการเขียนบทและตัวละครเข้าไปร่วมกับการทำงานจริงของคิโกะ จนออกมาเป็นหนังสั้นหนึ่งเรื่อง ซึ่งงานชิ้นนี้มีฟีลลิ่งแบบหนังญี่ปุ่นสุดๆ
ซึ่งถ้าเราดูจากมิวสิควีดิโอเพลง Green Flash ของ AKB48 เราจะเห็นว่าข้อมูลชุดนี้มีความสอดคล้องกัน คิดว่าในเอ็มวีตัวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจทั้งในด้านของเรื่องและภาพ ในเอ็มวี เราจะเห็นกลุ่มสาวๆที่ต่างคนก็ต่างมีเรื่องราวของตน เธอแต่ละคนต่างร้องไห้ ให้กับช่วงเวลาแห่งความเศร้าเสียใจของเธอ แต่ทว่าในความเศร้าก็ยังมีความหวังรออยู่ พวกเธอยืนร้องไห้ท่ามกลางแสงตะวันสีทองทอประกาย เป็นความเศร้าอันงดงามยิ่ง ซึ่งคำว่า “crying lightning” ที่เต๋อ โพสต์เอาไว้คู่กับเอ็มวีเพลงนี้ ก็เป็นสิ่งที่สรุปเอ็มวีตัวนี้ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าใน Die Tomorrow จะมีเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนสาว จากชื่อพาร์ท Lucky Girls (เติม S แสดงว่ามีหลายคน) และจากคอนเซปของเรื่องมันคงเกี่ยวกับความเศร้าความตาย แต่ทว่ามันจะต้องมีสิ่งที่สวยงามแฝงฝังอยู่ด้วยอย่างแน่นอน (ฟังดูดราม่านะ แต่เชื่อว่าอย่างไรถ้าเป็นงาน เต๋อ นวพลถึงจะดราม่าก็คงต้องมีความตลกร้ายอยู่แน่ๆ) และมีความเป็นไปได้ที่มันจะมาในฟีลภาพแบบญี่ปุ่น แสงมาฟุ้งๆ และอาจมี คิโกะ มิซุฮะระ มาร่วมแสดงด้วย (ซึ่งอาจจะในพาร์ทนี้หรือพาร์ทอื่น)
ผ่านไป 1 บทเพลงแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงอัลบั้มทั้ง 2 กันดีกว่า
เริ่มจาก In Rainbows ของวง Radiohead กันก่อน
In Rainbows เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่เจ็ดของวงเรดิโอเฮดซึ่งออกจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดผ่านทางเว็บไซต์ โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทางวงขายเพลงผ่านรูปแบบนี้ และที่พิเศษคือ ผู้ซื้อสามารถกำหนดราคาได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก นั่นหมายความว่าเราจะไม่จ่ายเงินเลยสักสตางค์แดงเดียวก็ได้ (ถ้าใจเด็ดพอ 55)
เพลงในอัลบั้มนี้ถือว่าฟังง่ายกว่าหลายๆอัลบั้ม (ทั้งที่ผ่านมาและออกหลังจากนี้) โทนโดยรวมของอัลบั้มนี้ฟังดูปลดปล่อย ผ่อนคลาย กว่าอัลบั้มอื่นๆ (แต่ก็ยังคงมีความหม่นๆ หน่วงๆแบบเรดิโอเฮดอยู่)
งานเพลงในอัลบั้มนี้มีความเป็นร็อคที่มีส่วนผสมของซาวด์อิเล็คทรอนิค มีบรรยากาศล่องลอย ท่ามกลางเสียงร้องของ ทอม ยอร์ค ที่มีเสน่ห์สุดๆ หาใครเหมือนไม่ได้แล้ว มันทั้งลึกลับ หม่นเศร้าแต่ในขณะเดียวกันมันก็มีพลังของการปลดปล่อยอยู่ในนั้น
เพลงที่เราแนะนำในอัลบั้มนี้เลยก็คือเพลง Nude (เพลงเดียวกันกับที่ เต๋อ นวพล โพสต์เลย)
ห้วงอารมณ์ของบทเพลงนี้ มันมีความเนิบช้า บางเบาสบายคล้ายลื่นไถลอยู่บนสะพานรุ้ง แต่ซ่อนลึกไว้ด้วยอารมณ์ เสียงโหยหวนของยอร์ค พาเราล่องลอยไปท่ามกลางท่วงทำนองเคลิ้มฝัน ก่อนนำพาเราไปปลดปล่อยในช่วงท้ายของบทเพลง
พอได้ฟังเพลงนี้แล้วก็จะรู้สึกว่า เหมาะสมแล้วที่อัลบั้มนี้จะชื่อ In Rainbows (ซึ่งเติม S ด้วยแสดงว่ามีรุ้งหลายสาย ซึ่งคงจะหมายถึงบทเพลงแต่ละเพลงในอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสายรุ้ง) ซึ่งสอดคล้องกับโพสต์เพลง Nude ของเต๋อที่มี keyword ว่า “rainbow” อยู่ จากตรงจุดนี้เราอาจจะตีความได้ว่า Die Tomorrow คงมีท่วงท่าและลีลาเฉกเช่นที่งานเพลงในอัลบั้มนี้เป็น กล่าวคือ หม่นเศร้า แต่ก็งดงาม ฟุ้งฝัน ล่องลอย
คราวนี้ก็มาถึงลำดับสุดท้าย Pru อัลบั้ม Zero
Zero เป็นมหากาพย์อัลบั้มขั้นสุดของวง Pru ที่แต่เดิมมีทั้งหมด 70 เพลง แต่ต่อมาคัดเหลือ 15 เพลง เติมอินเทอร์ลูดเข้าไปอีก 7 เพลง รวมเป็น 22 เพลง (แบ่งเป็น 2 พาร์ท ซีดีแผ่นคู่)
Zero เป็นคอนเซปอัลบั้มที่ทุกเพลงถูกร้อยเรียงเข้าไว้ด้วยกันเหมือนกำลังอ่านนิทานเล่มใหญ่ ที่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆ รอบตัวภายใต้คอนเซปอันเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มคือ “ศูนย์” อันหมายถึงการเริ่มต้นใหม่
ถ้าเทียบกับอัลบั้มก่อนๆ (Pru , Pru S.E.(Special Edition)) อัลบั้มนี้ถือว่าฟังยากกว่า แต่ถ้าลองตั้งใจฟังแล้วจะพบว่า เพลงไม่ได้ฟังยาก แต่แค่เพียงมีความแปลกใหม่ มีการทดลองอะไรใหม่ๆ
งานเพลงในอัลบั้มนี้ยังคงมีกลิ่นอายล่องลอย งดงามแบบพรู มีความเป็นร็อคที่หนักแน่น แต่ก็ไม่ข้นจนอึดอัด เมโลดี้สวย เสียงกีตาร์ใสๆ ท่ามกลางท่วงทำนองที่มีพลัง พร้อมพาผู้ฟังไปสู่การปลดปล่อย
เพลงที่แนะนำ
World War IV (จุดเดิม)
เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 4 ของคนกับหุ่นยนต์ สะท้อนวัฏจักรความขัดแย้งของมนุษย์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่สุดท้ายก็วนกลับมาสู่จุดเดิม เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความยาวที่สุดของอัลบั้มนี้
โปรด Feat.อรอรีย์
เพลงนี้ได้ อรอรีย์ ราชินีอัลเทอร์เนทีฟคนแรกของเมืองไทยมาร่วม feat. เพลงนี้เพราะมาก เป็นความเหงาเศร้าบนความงาม
รักคุณ (with passage การให้อภัย)
เพลงนี้เด็ดตรงที่มี passage การให้อภัยนี่ล่ะ ในอัลบั้มมี passage อยู่หลายที่ เป็นเหมือนอินเทอร์ลูดนำเข้าสู่บทเพลง ซึ่งช่วยเพิ่มมิติ ความลุ่มลึกให้แก่บทเพลงเป็นอย่างมาก และ passage การให้อภัยนี้ก็เป็นอินเทอร์ลูดนำเข้าสู่บทเพลงที่มีชื่อว่า “รักคุณ”
และเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เต๋อ นวพล โพสต์พร้อมข้อความ “การให้อภัย” ซึ่งน่าจะสื่อถึงประเด็นบางอย่างในเรื่อง Die Tomorrow ที่ตัวละครอาจทำบางสิ่งที่ผิดพลั้งและต้องการการให้อภัย
ลองฟังดูแล้ว จะพบว่างานเพลงของ Pru ในอัลบั้มนี้มีฟีลลิ่งที่คล้ายคลึงกันกับ In Rainbows ของ Radiohead หม่นเศร้าแต่ก็สวยงาม ล่องลอย และปลดปล่อย
โดยสรุปแล้วเหมือนแรงบันดาลใจจากงานเพลงเหล่านี้ จะสื่อถึงการทดลองทำอะไรใหม่ๆ การเล่าเรื่องราวที่มีความเศร้าแต่ในขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นด้านที่มีความหวังและงดงามของชีวิต ซึ่ง Die Tomorrow อันเป็นเรื่องราวที่มีแรงบันดาลใจจาก 6 เหตุการณ์ตายประหลาดที่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ คงจะมีการเล่าเรื่องที่มีหลายเส้นเรื่อง แต่ทั้งหมดน่าจะเรียงร้อยไว้ด้วยคอนเซปเดียวกัน การเล่าเรื่องความสูญเสีญ ศูนย์ หรือความตายนั้น ย่อมมาพร้อมกับความทุกข์โศก ความเศร้า แต่ในทุกความสิ้นสุดนั้น ย่อมมีการเริ่มต้นใหม่รออยู่เสมอ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต่างเป็นห้วงอารมณ์และแนวคิดที่สอดคล้องกับงานเพลงทั้ง 2 อัลบั้มและหนึ่งบทเพลงที่เต๋อ นวพลได้ยกมาเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์จะออกมาเป็นอย่างไร เราคงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปด้วยใจจดจ่อ สำหรับผลงานชิ้นล่าสุดจากผู้กำกับคนนี้ที่มักจะมีอะไรมาเซอร์ไพรซ์เราอยู่เสมอ.