ในวันที่ เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำของวงร็อคชื่อดัง Linkin Park ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว
เขาคือชายที่มีอดีตอันแสนเจ็บปวด
เขาคือคนที่ต้องต่อสู้กับด้านมืดของตนเองเสมอมา
และเขาข้ามผ่านมรสุมของชีวิตมาได้ด้วยเสียงเพลง
เสียงเพลงที่ทำให้ใครหลายคน ข้ามผ่านความเจ็บปวดในชีวิตของพวกเขามาได้ด้วยเช่นเดียวกัน
เพลงของเขาได้ช่วยชีวิตใครหลายคน
เพลงของเขาได้ทำให้ใครหลายคนพบแสงสว่างและมีพลังก้าวเดินต่อไป
แต่ในวันนี้ผู้ที่สร้างและถ่ายทอดบทเพลงเหล่านี้ได้เลือกทางของตนเองแล้ว
เลือกที่จะจากโลกนี้ไป เลือกที่จะทิ้งร่างนี้เอาไว้ ก่อนที่กาลเวลาจะพรากมันไปเอง
เขาขอเลือกมันด้วยตนเอง…
เพื่อเป็นการรำลึกแด่ ชายคนนี้ เชสเตอร์ เบนนิงตัน ผมจึงขอคัดเลือกบทเพลงของเขาและวง Linkin Park ที่มีท่วงทำนองอันไพเราะและมีความหมายบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ความหมายที่อาจเป็นคำกู่ร้องที่บอกความนัยจากข้างในจิตใจ… แต่ในขณะเดียวกันมันกลับซ่อนแง่มุมของการมองชีวิตอย่างมีความหวัง ที่กลายเป็นพลังให้แก่ผู้ฟังอย่างเรา
ขอมอบบทเพลงเหล่านี้เพื่อเป็นการรำลึกแด่เขา เชสเตอร์ เบนนิงตัน ผู้ที่จะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป
Leave Out All The Rest
When my time comes, forget the wrong that I’ve done
Help me leave behind some reasons to be missed
Don’t resent me and, when you’re feeling empty
Keep me in your memory, leave out all the rest
Leave out all the rest
เพลงที่ 3 จากอัลบั้มที่ 3 Minutes to Midnight
ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา เราย่อมผ่านเรื่องราวมามากมาย กระทำสิ่งต่างๆมามากมาย ทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไป แต่เมื่อยามที่เราจากโลกนี้ไป เราคงอยากให้ทุกคนลืมในสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำเอาไว้ และก็หวังเพียงว่าเราคงทำสิ่งดีๆอะไรไว้บ้าง พอที่จะเป็นเหตุผลให้ผู้คนจดจำเรา
“แค่เพียงในยามที่เธออ้างว้าง ขอเพียงมีฉันอยู่ในความทรงจำเท่านั้นก็พอแล้ว”
นี่คือสิ่งที่เชสเตอร์สื่อสารผ่านบทเพลงนี้ของ Linkin Park เราอยากจะบอกกับเชสเตอร์ว่า คุณไม่มีสิ่งเลวร้ายใดๆให้เราจดจำเลย สิ่งที่คุณได้มอบเอาไว้ให้โลกใบนี้นั้นเป็นสิ่งที่งดงาม และคุณจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราเสมอตลอดไป
Shadow Of The Day
I close both locks below the window
I close both blinds and turn away
Sometimes solutions aren’t so simple
Sometimes goodbye’s the only way
บทเพลงที่ 5 จากอัลบั้มที่ 3 Minutes to Midnight
ในยามที่ปัญหามารุมเร้า เฝ้ามองไปทางไหนก็เหมือนจะไร้ทางออก ในยามนั้นการแก้ปัญหาอาจไม่ง่าย บางครั้งการลาจากอาจเป็นหนทางเดียวที่ทำได้
“Sometimes goodbye’s the only way”
And the sun will set for you
The sun will set for you
And the shadow of the day
Will embrace the world in grey
And the sun will set for you
และเมื่อนั้นดวงตะวันจะลาลับเพื่อคุณ เงื้อมเงาแห่งวันเวลาจะโอบคลุมโลกใบนี้ให้เป็นสีเทา
ในแง่มุมหนึ่งบทเพลงนี้อาจกล่าวถึง การข้ามผ่านปัญหาด้วยการละทิ้งอะไรบางอย่าง ในหลายครั้งการแก้ปัญหานั้นไม่ง่าย การจากลา หรือ การยอมทิ้งบางสิ่งไว้อาจเป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุด และถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นสีเทา คือ ไม่ได้สว่างไสว แต่ก็ไม่ได้มืดมิดสนิท ดังนั้นการยอมรับมันและข้ามผ่านมันไปก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้
ท่วงทำนองของบทเพลงสื่อให้เรารู้ว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงแห่งความเศร้าหมอง แต่มันเป็นเพลงแห่งความหวัง เป็นความหวังบนโลกที่อาจเศร้าหมองใบนี้
Iridescent
ผลงานจากอัลบั้มที่ 4 A Thousand Suns ซึ่งเป็นงานคอนเซ็ปท์อัลบั้มที่สะท้อนถึงความกลัวที่มีต่อสิ่งต่างๆที่มนุษย์จะต้องเผชิญในอนาคตไม่ว่าจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ มนุษย์กับเทคโนโลยี และปัญหาสังคมเป็นต้น
Iridescent เป็นบทเพลงบัลลาดร็อคสะท้อนความหวังในยามสับสนและเศร้าหมอง
ความหวังถึงแม้เพียงน้อยนิด แต่มันก็เป็นแสงสว่างเดียวที่เรามี
ดังคำกล่าวของ โจ ฮาน มือเทิร์นเทเบิลของวง ที่กล่าวว่า
‘In the valley of the blind, the one-eyed man is king’
ในหุบเขาแห่งคนตาบอด คนที่มีตาเดียวคือราชา”
เพลงนี้ในท่อน verse ไมค์ ชิโนดะ จะเป็นคนร้อง ส่วนเชสเตอร์จะร้องในท่อน Chorus ของเพลง
Do you feel cold and lost in desperation?
You build up hope, but failure’s all you’ve known
Remember all the sadness and frustration
And let it go. Let it go
คุณรู้สึกเหน็บหนาวและหลงอยู่ในความสิ้นหวังไหม?
คุณสร้างความหวังขึ้นมาแต่ความผิดหวังเป็นสิ่งเดียวที่คุณรู้จัก
จงจดจำทุกความเศร้าและความผิดหวังเอาไว้
แล้วจงปล่อยมันไป…ปล่อยมันไป
………………………………
ใช่แล้ว
ปล่อยมันไป…ปล่อยมันไป
Heavy
ในเวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าทุกบทเพลงในอัลบั้ม One More Light เหมือนเป็นถ้อยคำที่เชสเตอร์อยากจะสื่อสารออกไป เป็นคำร้องขอที่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ย เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ไม่มีใครหยั่งถึง เขาดำรงอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด แต่ก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะก้าวผ่านมันไปให้ได้ด้วยแสงแห่งความหวังที่เหลืออยู่
heavy เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้มสุดท้ายของเชสเตอร์
เชสเตอร์เคยให้สัมภาษณ์กับคลื่นวิทยุ 102.7 KIIS FM ว่าเพลง Heavy นี้เป็นบทเพลงแห่งการตื่นรู้ ที่เกิดขึ้นเมื่อเราได้ถอยหลังกลับมา จนมองเห็นได้ว่าสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจมากที่สุดคือการที่เราทำร้ายตัวเองด้วยการกอดปัญหาเอาไว้นั่นเอง
I’m holding on
Why is everything so heavy?
Holding on
So much more than I can carry
I keep dragging around what’s bringing me down
If I just let go, I’d be set free
Holding on
Why is everything so heavy?
ฉันกำลังอดทนอยู่
ทำไมทุกสิ่งมันช่างหนักเหลือเกิน
ฉันกำลังแบกรับมันอยู่
ดูเหมือนว่ามันจะหนักเกินกว่าที่ฉันจะรับมันได้ไหว
ฉันได้แต่ลากมันไปรอบๆ ซึ่งยิ่งจะมีแต่ทำให้เหนื่อยล้าลงไปก็เท่านั้น
ถ้าฉันปล่อยมันไป ฉันคงเป็นอิสระ
ฉันกำลังแบกรับมันอยู่
ทำไมมันช่างหนักเหลือเกิน
…
สิ่งที่คุณแบกรับมันเอาไว้ มันคงหนักเกินไปสำหรับคุณ
คุณเลยเลือกที่จะปล่อยมันไป และตอนนี้คุณก็คงเป็นอิสระแล้ว
Nobody Can Save Me
เพลงนี้เป็นเพลงเปิดอัลบั้ม One More Light เหมือนเป็นปฐมบทแห่งความทุกข์ของชีวิตที่จะถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงในอัลบั้มนี้ ธีมของอัลบั้มนี้คือการถ่ายทอดห้วงอารมณ์ของการเผชิญปัญหาหนักในชีวิต ที่ท้ายที่สุดเราจะตระหนักว่าหนทางที่จะพาเราออกไปจากมรสุมนี้ไม่ได้เกิดจากภายนอก หากแต่เป็นการตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจเราเอง
But nobody can save me now
I’m holding up a light
I’m chasing out the darkness inside
‘Cause nobody can save me
ไม่มีใครช่วยฉันได้เลยในตอนนี้
ฉันกำลังหยิบดวงไฟขึ้นมา
แล้วขับไล่ความมืดมิดข้างในจิตใจ
เพราะไม่มีใครช่วยฉันได้เลย
I’m dancing with my demons
I’m hanging off the edge
สิ่งนี้คงเป็นความรู้สึกของเชสเตอร์ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังยื้อยุดกับปีศาจภายในใจที่จะคอยผลักเขาให้ร่วงหล่นลงไป เขาจึงรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ขอบผา
I chose a false solution
But nobody proved me wrong
ในบางครั้งเราก็อาจจะเลือกวิธีแก้ที่ผิด
และก็ไม่มีใครบอกว่าเราผิด
หลายบทเพลงในอัลบั้มเชื่อมโยงกับช่วงเวลาที่เชสเตอร์ติดเหล้าและยาอย่างหนัก รวมไปถึงความรู้สึกในช่วงที่เขาพยายามจะฆ่าตัวตายก่อนหน้านี้ เชสเตอร์รู้สึกว่าการหนีปัญหาด้วยการใช้ยาไม่ใช่ทางที่ถูก มันกลับยิ่งเป็นปัญหามากยิ่งขึ้นไปอีก และในยามนั้นเขารู้สึกว่าต้องเผชิญมันเพียงลำพัง ไม่มีใครจะชี้ทางให้ได้
ดังนั้นเขาจึงต้อบขับไล่ความมืดมิดนั้นเพียงลำพัง
เพราะไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้เลย…
One More Light
ผมขอปิดท้ายด้วยเพลงนี้ บทเพลงที่ถูกใช้เป็นชื่ออัลบั้มสุดท้ายของเชสเตอร์
ในโลกนี้มีคนกว่า 6 พันล้านคน หากใครหายไปจากโลกนี้สักคน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนใกล้ตัวหรือคนที่ใส่ใจเรา มันคือการสูญเสียที่ใหญ่ที่สุด และเราจะรับรู้ได้ถึงการขาดหายไปของคนคนนั้น
If they say
Who cares if one more light goes out?
In the sky of a million stars
It flickers, flickers
Who cares when someone’s time runs out?
If a moment is all we are
Or quicker, quicker
Who cares if one more light goes out?
Well I do
หากใครเอ่ยว่า
ใครเล่าจะสนใจหากแสงหนึ่งนั้นต้องดับลงไป
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มีดวงดารานับล้าน
มันกระพริบพราว กระพริบพราว
ใครเล่าจะสนใจหากเวลาของใครจะต้องหมดลงไป
เมื่อสักวันเราก็ต้องถึงคราว
มันอาจจะกระทันหัน ไม่ทันตั้งตัว
ใครเล่าจะสนใจ หากแสงหนึ่งนั้นต้องดับลงไป
ก็ผมคนนี้งัย
…
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ บทเพลงนี้คงมีความหมายกับเชสเตอร์มาก เพราะมันแทบจะแทนความรู้สึกที่เขามีต่อเพื่อนรัก คริส คอร์เนล (นักร้องนำวง Soundgarden และ Audioslave) ที่จากโลกนี้ไปด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม (เช่นเดียวกันกับเขา) ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเป็นที่น่าตกใจว่าวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่เชสเตอร์ตัดสินใจจากโลกนี้ไปนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนรักของเขา คริส คอร์เนลนั่นเอง
การแสดงสดเพลง One More Light ใน Jimmy Kimmel Live เชสเตอร์อุทิศบทเพลงนี้ให้แด่ คริส คอร์เนล
…
และสำหรับในตอนนี้ เชสเตอร์ หากคุณถามพวกเราว่า
Who cares if one more light goes out?
ใครเล่าจะสนใจ หากแสงหนึ่งนั้นต้องดับลงไป
พวกเราอยากจะกล่าวกับคุณว่า
Well We do
ก็พวกเรานั่นงัย
พักผ่อนเถิดครับ เชสเตอร์
พวกเราจะคิดถึงคุณตลอดไป …