สิ้นสุดการรอคอย กับสุดยอดวงร็อคระดับตำนานที่ได้ชื่อว่า เป็นวงที่แสดงสดได้ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค “Foo Fighters” อันมี Dave Grohl ฟรอนท์แมนของวงเป็นอดีตสมาชิกวงกรันจ์ร็อคในตำนานอย่าง Nirvana
Foo Fighters จะมาเปิดคอนเสิร์ตระเบิดความมันส์กันในบ้านเรา ในวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคมนี้ ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ฮอล 2 โดยมี Silly Fools และ Ebola เล่นเป็นวงเปิดให้ด้วย
เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับแฟนๆที่เตรียมพร้อมที่จะไปเฮกันแล้ว หรือ สำหรับทุกๆท่านที่อาจจะไม่ได้ไปชมคอนเสิร์ต หรือ อาจจะรู้จักวงแต่เพียงเล็กน้อย ในวันนี้ WTF ขอเสนอบทเพลง 10 เพลงที่ได้คัดสรรมาให้ทุกๆท่านได้ร่วมเพลิดเพลินอารมณ์ไปร่วมกัน ใครที่จะไปมันส์ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ถือเป็นการอุ่นเครื่องกันไป ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักพวกเขาก็สามารถทำความรู้จักได้ผ่าน 10 บทเพลงนี้เลยครับ และถ้าอยากจะไปร่วมสนุกในคอนเสิร์ตก็ยังสามารถซื้อหาบัตรกันได้อยู่ที่นี่เลยครับ
เอาล่ะครับเราไปร่วมมันส์กับ 10 บทเพลงของ Foo Fighters กันเลยดีกว่า
Run
เพลงนี้เป็นซิงเกิลใหม่ล่าสุดของวง โดยจะถูกบรรจุเอาไว้ในอัลบั้มล่าสุด Concrete and Gold ที่จะออกในวันที่ 15 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยเนื้อหาของเพลงเป็นการกระตุ้นให้เรากล้าที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ต้องการและใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด
Before the time runs out
There’s somewhere to run
Wake up
Run for your life with me
Wake up
Run for your life with me
ส่วนในเอ็มวีสมาชิกวงถูกจับเมคอัพให้กลายเป็นคนแก่ที่มาร้องเพลงปลุกเร้าพลังขบถในตื่นขึ้นในตัวของเพื่อนๆในบ้านพักคนชรา ทั้งบ้าทั้งฮาเลยงานนี้
Walk
เพลงที่แล้ว Run คราวนี้มา Walk บ้าง เพลงนี้เป็นแทร็คสุดท้ายและเป็นซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มที่ออกในปี 2011 “Wasting Light” เนื้อหาเพลงสื่อถึงการเริ่มต้นใหม่และการพยายามเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่างๆให้ได้ เพลงเคยขึ้นอันดับ 1 Billboard Rock Song chart และถุกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขา Best Rock Performance และ Best Rock Song
I’m learnin’ to walk again
I believe I’ve waited long enough
Where do I begin?
I’m learnin’ to talk again
Can’t you see I’ve waited long enough?
Where do I begin?
Best of You
เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้หลายๆคนได้รู้จักกับ Foo Fighters ความคูลของเพลงนี้คือ การที่มีคำว่า “best” อยู่ในเนื้อเพลงกว่า 40 ที่ ในเวลา 4 นาทีของบทเพลง เดฟ กล่าวว่าเขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อสื่อถึง “การทลายสิ่งที่จำกัดขอบเขตของเราอยู่”
Everyone’s got their chains to break
Holdin’ you
Were you born to resist or be abused?
Is someone getting the best, the best, the best, the best of you?
ทุกๆคนมีโซ่ตรวนที่จะต้องทำลาย เราเกิดมาเพื่อต้านทานหรือถูกกระทำ เราถึงจุดที่ดีที่สุดของเราแล้วหรือยัง?
Everlong
ขึ้นต้นด้วยริฟฟ์และทางคอร์ดเท่ๆโดนใจชาวร็อค Everlong ซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มในปี 1997 (20 ปีที่แล้ว !!!) The Colour and The Shape ที่ฟังดูเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเก่า ล้าสมัยเลย
เพลงนี้เขียนขึ้นในช่วงที่เดฟ หย่าขาดจากภรรยาคนแรกที่เป็นช่างภาพ เจนนิเฟอร์ ยังบลัด
เพื่อเป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เดฟเลยถือโอกาสกลับไปบ้านของเขาที่เวอร์จิเนียแล้วเขียนเพลงนี้ขึ้นมา โดยแทนที่จะเขียนเพลงเศร้าเคล้าน้ำตา เขาก็เขียนถึงการพบรักแทน โดย เดฟ กล่าวถึงใจความของเพลงไว้ว่า
“ เพลงนี้เขียนถึงผู้หญิงที่ผมตกหลุมรัก และ มันสื่อถึงความรู้สึกเวลาที่เราและคนที่เราตกหลุมรักเชื่อมโยงถึงกันได้ มันไม่ใช้แค่เราเชื่อมโยงถึงกันในทางกายและจิตวิญญาณเท่านั้นหากแต่มันหมายถึงว่าเมื่อเราร่วมร้องเพลงไปด้วยกัน เราทั้งสองจะสอดประสานในท่วงทำนองของเราอย่างสมบูรณ์”
If everything could ever feel this real forever
If anything could ever be this good again
The only thing I’ll ever ask of you
You’ve got to promise not to stop when I say when
She sang
เพลงนี้มักถูกใช้เป็นเพลงเล่นปิดในคอนเสิร์ต (อาจด้วยเนื้อหาและโทนของมันที่ดูแตกต่างจากเพลงอื่นในเซ็ตลิสต์นั่นเอง)
Learn To Fly
เดฟ โกรห์ล กล่าวว่า “Learn to Fly เป็นเพลงที่กล่าวถึงการตามหาแรงบันดาลใจ ตามหาสัญญาณแห่งชีวิตที่จะทำให้เรารู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ จริงๆแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบน้อยที่สุดด้วยซ้ำนะ”
Learn to Fly เป็นเพลงของ Foo Fighters ที่เหมาะกับคนที่เริ่มฟังเพลงพวกเขาใหม่ๆและอาจไม่ชอบอะไรที่หนักมาก เพราะเพลงนี้ดูเหมือว่าจะเป็นเพลงที่ฟังง่ายที่สุดเพลงหนึ่ง และมีท่อนฮุคที่ติดหู
Now I’m looking to the sky to save me
Looking for a sign of life
Looking for something to help me burn out bright
ส่วนมิวสิควีดิโอเพลงนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขา “Best Short Form Music Video”ของปี 2001 โดยใน MV มี Jack Black นักแสดงหนุ่มจอมฮา และ Kyle Gass สองคู่ดูโอแห่งวงร็อสุดฮา Tenacious D มาเป็น cameo ด้วย
The Pretender
The Pretender เป็นเพลงฮิตจากอัลบั้ม Echoes, Silence, Patience & Grace ในปี 2007 เป็นเพลงที่ขาดไม่ได้เลยในเซ็ตลิสต์ของคอนเสิร์ต
เพลงนี้กล่าวถึง บุคคลจำพวกที่เสแสร้งแกล้งทำ (Pretend) ว่าเป็นในสิ่งที่แท้จริงแล้วตัวเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนพวกนี้แหละที่ปิดซ่อนบางสิ่งเอาไว้และทำให้เรารู้สึกว่าทำให้เราตกอยู่ในความมืด
Keep you in the dark you know they all pretend
Keep you in the dark and so it all began
และพวกคนเสแสร้งเหล่านั้น คนที่ทำให้เรารู้สึกมืดหม่น ที่ทำกับเราเหมือนเป็น “ของเล่น” เดฟ บอกว่าเขาจะไม่ยอมคนพวกนี้เลยเด็ดขาด !!
What if I say I’m not like the others
What if I say I’m not just another one of your plays
You’re the pretender
All My Life
เพลงนี้เป็นซิงเกิลแรกจากสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 4 ที่ออกมาในปี 2002 “One by One” เพลงชนะรางวัลแกรมมี่ในสาขา Best Hard Rock Performance
ส่วนเนื้อหาของเพลงนั้นอาจจะติดเรทหน่อย (ดูเหมือนว่าจะไม่หน่อยนะ)
All my life I’ve been searching for something
Something never comes, never leads to nothing
เปิดหัวเพลงมาได้น่าสนใจ พูดถึงการค้นหาบางสิ่งที่จะมาเติมเต็มความปรารถนาในชีวิต (ซึ่งในท่อนต่อมาเราจะรู้ว่ามันหมายถึงการเติมเต็มความปรารถนาทางเพศ)
Hey don’t let it go to waste
I love it but I hate the taste
Weight keep pinning me down
จากท่อนคอรัส
Over and over down on my knees
If I get any closer
And if you open up wide
And if you let me inside
และจากท่อนร้องที่ 2
และนี่คือปากคำจากทางวงครับ
“Well, the middle section is about eating pussy and the verses are kind of vague. That’s all you’ve gotta know!”
These Days
แทร็คที่ 6 จากอัลบั้ม Wasting Light เพลงนี้เดฟ เขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ เคิร์ท โคเบน ฟรอนแมนท์แห่งวงกรันจ์ร็อคในตำนาน Nirvana ที่เดฟเป็นมือกลองนั่นเอง
One of these days
I bet your heart’ll be broken
I bet your pride’ll be stolen
เนื้อเพลงกล่าวถึงช่วงเวลาในชีวิตของคนเราที่อย่างไรก็ดีต้องประสบพบกับช่วงเวลาที่เจ็บปวดและผิดหวังแน่นอน (สำหรับเดฟมันสื่อถึงช่วงเวลาที่เขาเสียเพื่อรักอย่างเคิร์ทไปนั่นเอง)
แต่ถึงอย่างไรวันหนึ่งเราก็จะเรียนรู้และยอมรับที่จะอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น
One of these days your eyes will close and pain will disappear
One of these days you will forget to hope and learn to fear
เราจะไม่เป็นไร ทุกอย่างจะเรียบร้อยไปเอง
But it’s alright
Yeah, it’s alright
I said it’s alright
Something From Nothing
แทร็คเปิดอัลบั้มจากสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 “Sonic Highways” โดยเป็นอัลบั้มที่มีโปรเจ็คส์ร่วมกับสารคดีซีรีย์ “Foo Fighters Sonic Highways”
ที่ทำขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วงการดนตรีอเมริกัน โดยทางวงได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมีเมืองแรกเป็น ชิคาโก , อิลลินอย บ้านเกิดแห่งกระแสธารเพลงบลูส์อันมีนักดนตรียุคบุกเบิกอย่าง มัดดี้ วอร์เตอร์ , บัดดี้ กาย
เดฟ โกห์ล ได้พูดถึงการทำงานเพลงและสารคดีชิ้นนี้ไว้ว่า “ การได้พูดคุยกับบุคคลเหล่านี้มันเป็นการสร้างบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า (Something from nothing) มันเหมือนเป็นการจุดไฟ สร้างแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ชีวิตเราก้าวต่อไป”
Give me the flammable life
I’m cold as a match, ready to strike
So here I go
Monkey Wrench
เป็นอีกเพลงหนึ่งที่มีแรงบันดาลใจมาจากภรรยาเก่าของเดฟ เจนนิเฟอร์ ยังบลัด เพลงนี้มาจากอัลบั้มในปี 1997 “The Colour and The Shape” อัลบั้มเดียวกันกับ Everlong นั่นเอง
โดยเพลงนี้เดฟต้องการจะสื่อถึงความรู้สึกที่ ไม่อยากเป็นไอ้งั่งสำหรับใคร หรือเป็นคนที่ใครจะมาปั่นหัวอย่างไรก็ได้
Don’t want to be your monkey wrench
One more indecent accident
I’d rather leave than suffer this
I’ll never be your monkey wrench
Foo Fighters เป็นวงร็อครุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการเพลงมาอย่างยาวนานและผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องและมากมาย ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ดีของการเดินบนเส้นทางสายดนตรี และด้วยคุณภาพของผลงานจึงทำให้วงยืนหยัดอยู่ในวงการในฐานะวงร็อครุ่นใหญ่ได้อย่างสมภาคภูมิ