เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ยิ่งถ้าเป็นแฟนมวยปล้ำยิ่งต้องรู้จักเขาเป็นอย่างดี เจ้าของวลีติดปาก “U Can’t See Me” หรือ “Hustle Royalty Respect” อย่าง ‘จอห์น ซีน่า’ ได้อย่างแน่นอน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเดบิวท์บนสังเวียนผ้าใบเมื่อปี 2002 จนถึงตอนนี้ กว่า 15 ปี ในวงการ ถือว่าคุ้มมากพอสำหรับเขา เพราะไม่ได้เป็นแค่นักมวยปล้ำอย่างเดียว ยังเป็นทั้งแรปเปอร์ พิธีกร และนักแสดง
แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เขาผู้นี้จะเลิกปล้ำ…?
นับตั้งแต่คว้าแชมป์สมาคมครั้งแรกเมื่อปี 2005 ในศึกเรสเซิลแมเนีย 21 เขาผู้นี้ถูกวางหมากให้เป็น “เดอะเฟซ” เป็นพระเอกหัวหอกของสมาคมมวยปล้ำอาชีพ WWE แบบเดียวกับที่เคยวางตัวให้ฮัลก์ โฮแกน เป็นหัวหอกเมื่อช่วงยุค 80 และเขาอยู่ในภาพลักษณ์แบบนี้มาแล้วถึง 12 ปี โดยที่ไม่เคยเปลี่ยนคาแรกเตอร์ไปในทางร้ายเลย ถึงแม้บางครั้งจะถูกลองจับให้อยู่ในกลุ่มนักมวยปล้ำตัวร้ายมาแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ (ไม่นับรวมกับช่วงก่อนปี 2005 นะ นั่นร้ายอย่างแสบเลยล่ะ…)
แต่ในช่วงสี่ถึงห้าปีให้หลังมานี้ เริ่มมีสัญญาณจากฝั่งคนดูว่า “เบื่อ” เบื่อคาแรกเตอร์ เบื่อท่าไม้ตาย เบื่อการแต่งกาย และเบื่อการเป็นพระเอกของสมาคม ทั้งโห่ ทั้งตะโกน “Cena Suck!” (ซีน่าห่วยแตก) สลับกับเสียงเชียร์ที่มาจากเด็กๆ ในสนาม หรือแม้กระทั่งแปลงเพลงเปิดตัวของเขาทุกครั้งเวลาที่เขาขึ้นปล้ำโชว์
ถึงผู้ใหญ่จะเบื่อ แต่เด็กๆ ชอบ
รวมถึงตัวของจอห์น ซีน่า ที่เริ่มเบนเข็มไปในเส้นทางภาพยนตร์มากขึ้นกว่าเดิม นับตั้งแต่แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง The Marine เมื่อปี 2006 จนถึงตอนนี้ แสดงไปถึง 13 เรื่องเข้าให้แล้ว ทั้งแสดงเอง และพากษ์เสียง ทั้งนี้ ยังไม่รวมเรื่อง The Pact และ Bumblebee ที่อยู่ระหว่างถ่ายทำ และจ่อฉายในปี 2018
จุดเปลี่ยนที่หลายคนคาดว่า “เลิกปล้ำ”
จุดเปลี่ยนที่ว่านี้ คือแมตช์ล่าสุดที่พบกับ ‘โรมัน เรนจ์’ ซึ่งถูกวางตัวไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเบอร์หนึ่ง และเป็นหน้าเป็นตาของสมาคมคนถัดไป แมตช์ดังกล่าวได้ปล้ำในศึก No Mercy 2017 ผลปรากฏว่าซีน่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป ฟากหนึ่ง ต่างไม่พอใจที่โรมันนั้นเป็นผู้ชนะในแมตช์นี้ ท่ามกลางเสียงของคนดูที่ไม่เห็นด้วยกับการผลักดันของสมาคม ทั้งที่สกิลการพูด และทักษะการปล้ำนั้นยังไม่ดีพอ
เสียงของคนดูอีกฟากหนึ่ง ต่างกล่าวขอบคุณ และตะโกนคำว่า “Thank You Cena” กันทั้งสนาม เสมือนรู้ว่าแมตน์ชี้ “อาจเป็นแมตช์สุดท้ายของเขา” และแมตช์ที่เขาขึ้นปล้ำนี้ เพื่อผลักดันสตาร์ในรุ่นถัดๆ ไป
รวมไปถึงการโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวของซีน่าว่า #ThankYou ยิ่งเป็นการย้ำว่าเขาผู้นี้ จะเลิกปล้ำแน่นอน…
— John Cena (@JohnCena) September 25, 2017
ในมุมของผู้เขียนมองว่า “ยังเร็วไปนักที่จะเลิกปล้ำ” ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งอายุ 40 ปี เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หากแต่ว่าการโพสต์ทวิตเตอร์ รวมถึงการแสดงออกของซีน่าหลังจบแมตช์นั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ตัวของเขาเอง “ส่งต่อไม้คบเพลิง” ให้กับน้องใหม่ที่จะมาแทนที่ตัวเขาต่อไป อีกอย่างที่คาดว่าน่าจะยังไม่เลิกปล้ำ คือเรื่องของการแสดงภาพยนตร์ ช่วงหลังๆ ที่ซีน่าขึ้นปล้ำ แล้วหายไปจากหน้าจอทีวี ถ้าไม่นับการหายไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ก็ไปถ่ายทำภาพยนตร์นี่แหละ อย่างที่ได้กล่าวไป ตัวเขาเองมีคิวที่จะเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ถึงสองเรื่อง ทั้ง The Pact ที่เริ่มถ่ายทำตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และอีกเรื่อง Bumblebee ภาคย่อยของภาพยนตร์หุ่นเหล็กตีกันอย่าง Transformers ซึ่งเพิ่งเปิดกล้องเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
ฟากของสื่อที่รายงานเรื่องดังกล่าว ต่างมองว่า “นี่ยังไม่ใช่การประกาศเลิกปล้ำของซีน่า” แต่เป็นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า “ยุคเก่า” ที่ซีน่าได้ประคองมาได้จบลงแล้ว หลังแมตช์สิ้นสุดลง
รวมไปถึงการสัมภาษณ์ของเขาหลังจบแมตช์ เขาได้เปรียบเทียบตัวเองว่าเหมือนกับแบทแมน ที่พอเห็นแสงไฟขึ้นฟ้า เขาจะมาปรากฎตัว ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า เขาจะกลับปล้ำอีกอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่นั้น ยังบอกไม่ได้
แต่… ถ้าเลิกปล้ำจริงๆ…
คงหนีไม่พ้นเส้นทางภาพยนตร์อย่างแน่นอน คนอื่นอาจจะมองว่าสิ่งที่ซีน่าทำอยู่นั้น เป็นการตามรอยรุ่นพี่ที่อยู่ในวงการเดียวกันอย่าง ‘เดอะร็อค’ หรือ ‘เดฟ บาทิสต้า’ ก็เป็นได้ แต่เสียงส่วนหนึ่งอาจจะกล่าวหาซีน่าว่าใช้มวยปล้ำเป็นใบเบิกทาง ให้ตัวเองได้โลดแล่นในฮอลลีวู้ด ก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เส้นทางมวยปล้ำของจอห์น ซีน่า จะไปในทิศทางใด ต้นสังกัดจะออกมาพูดหรือไม่ หรือที่แค่หายไป ก็แค่หายตามบทที่ทีมเขียนบทได้วางไว้แล้ว เหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา…
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงการถ่ายทอดมุมมองของผู้เขียนที่ชื่นชอบมวยปล้ำ ต่อตัวของ ‘จอห์น ซีน่า’ กับหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่มุมมองจากผู้ที่คร่ำหวอดในวงการ ผู้เขียนต้องขออภัยผู้อ่านมา ณ ที่นี้ หากบางส่วนของบทความที่เขียนไป สร้างความไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วยในบางจุด…