Our score
8.2Justice League IMAX 3D
จุดเด่น
จุดสังเกต
-
ความเหมาะสมกับระบบIMAX3D
10.0
-
มิติภาพด้านลึกของระบบสามมิติ
7.0
-
ความพุ่งของภาพสามมิติ
7.0
-
ถอดแว่นมองภาพเบลอ
7.0
-
ปลอดจากการเวียนหัว
10.0
พฤศจิกายน เดือนแห่งซูเปอร์ฮี่โร่ ที่ทั้ง MARVEL และ DC ต่างส่งเหล่าฮีโร่มาประชันกัน โดยงานนี้ MARVEL เปิดเกมตั้งแต่ต้นเดือนด้วย THOR RAGNAROK ที่ถล่มโรงทำเงินไปอย่างมหาศาล และเข้าฉายในระบบ IMAX3D ไปก่อนหน้านี้ และคล้อยหลังเพียง 2 สัปดาห์ ทาง DC ไม่รอช้าส่งหนังรวมฮีโร่เบอร์แรกของค่ายอย่าง Justice League ที่รวมพลทั้ง แบทแมน วันเดอร์วูแมน เดอะแฟลช อควาแมน ไซบอร์ก และ ซูเปอร์แมน มาเซอร์วิสเหล่าแฟนบอยค่าย DC อย่างถึงใจ และแน่นอนหนังฟอร์มยักษ์ก็ย่อมต้องฉายจอยักษ์อย่าง IMAX แถมงานนี้ยังฉายเป็นระบบ 3 มิติ แต่งานนี้จะคุ้มค่าตั๋วหรือไม่ ให้ WHAT THE FACTช่วยคุณตัดสินใจนะครับ
จากข้อมูลด้านเทคนิคจากเว็บไซต์ IMDB ระบุว่า Justice League ถ่ายทำด้วยกล้องฟิล์มของ Arri ผสมกับกล้องดิจิตอล Alexa 65 ซึ่งสามารถให้ภาพขนาดใหญ่หรือ ลาร์จฟอร์แมต ได้ดังนั้นข้อมูลในส่วนของอัตราส่วนภาพเลยมีสองขนาดคือ 1.37:1 และ 1.85:1 ซึ่งสมเจตนารมณ์ของแซค สไนเดอร์ เพื่อให้การแปลงภาพฉายในระบบ IMAX ให้ภาพที่เน้นความสูงเหมาะกับจอดังกล่าวโดยมีการเพิ่มภาพอัตราส่วนพิเศษแบบเต็มจอIMAXและมีการแปลงภาพเป็น 3 มิติทีหลัง ส่วนระบบเสียงมีการมิกซ์เสียงในระบบ IMAX 6 Tracks ที่ให้เสียงกระหึ่มสะใจมาก ดังนั้นการชม Justice League ในระบบ IMAX จึงให้ภาพเต็มตาและเสียงสะใจ
หากจะพูดถึงจุดอ่อนของ Justice League ก็คือภาพ 3 มิตินี่แหละครับ ซึ่งจุดบกพร่องในส่วนนี้คือการทำฉากหลัง คอมพิวเตอร์กราฟิก ที่แบนไร้มิติมากเกินไป เรียกง่ายๆว่าหนังถูกแปลงภาพเพียงเพื่อเพิ่มภาพซ้อนและให้เราใส่แว่นเพื่อลดความจ้าของแสงเท่านั้น แต่ความลึกของภาพสังเกตได้ยากมาก ยิ่งฉากที่มีการเคลื่อนกล้องหรือตัดต่อเร็วๆฉากหลังดูแบนราบไปเลย
สิ่งที่คนดูหวังจากการดูหนัง 3 มิติจริงๆคงหนีไม่พ้นการได้เห็นภาพบนจอนูนเป็นมิติออกมาเมื่อสวมแว่น ซึ่งต้องบอกก่อนว่าตัวหนัง Justice League มีภาพที่นูนออกมาอยู่บ้างนะครับ แต่นอกจากฉากที่บรูซ เวย์น ปาแบตตาแรงใส่ แบรี่ อัลเลน กับ พาราเดม่อน บินบนจอแล้วหนังก็ไม่ค่อยมีอะไรนูนออกมาจากจอเท่าไหร่ครับ มีเพียงควัน สายฟ้าจากการวิ่งของเดอะแฟลช และกระสุน ซึ่งแม้ปริมาณจะไม่ได้น่าเกลียดแต่ความน่าตื่นตาตื่นใจกลับน้อยมากเพราะเราได้ดูฉากสามมิติแบบนี้ในหนังเรื่องอื่นๆมาจนเฝือแล้วนั่นเอง
วิธีการสังเกตภาพ 3 มิติที่ดีที่สุดคือการถอดแว่นเพื่อดูปริมาณของภาพเบลอบนจอ ซึ่ง Justice League มีสอดใส้ฉากที่เป็นภาพ 2 มิติมาตั้งแต่ต้นเรื่องและฉากสนทนาในภาพแคบๆก็แทบไม่เห็นความเบลอด้วยซ้ำ รวมถึงฉาก END CREDIT 2 ฉากก็เป็นภาพ 2 มิติแบบชัดๆเลย ดังนั้นหากได้ดูหนังในระบบ 2 มิติก็ถือว่าไม่ได้พลาดโอกาสแต่อย่างใด
อีกส่วนที่ได้คะแนนเต็มของ Justice League คงเป็นความปลอดภัยต่ออาการเวียนหัวจากภาพ 3 มิติ ซึ่งหนังมีการวางแผนในการถ่ายทำและตัดต่อมาอย่างดี จนภาพในหนังดูไหลลื่นไม่มีภาพจากกล้องที่เหวี่ยงไปมาแต่อย่างใด ดังนั้นสบายใจได้หากต้องการชมในระบบ 3 มิติ
สรุปแล้วคงต้องบอกว่าการชม Justice League ในระบบ IMAX 3D มีแง่ดีในด้านความใหญ่โตของจอภาพและเสียงที่กระหึ่มสะใจมากกว่า หากใครหวังชมหนัง 3 มิติที่มีภาพเด้งออกมาแบบเว่อวังอลังการคงมีผิดหวังได้