I’m in love with the shape of you
We push and pull like a magnet do
Although my heart is falling too
I’m in love with your body
And last night you were in my room
And now my bedsheets smell like you
Every day discovering something brand new
I’m in love with your body
Oh—I—oh—I—oh—I—oh—I
เชื่อว่าในเวลานี้คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินท่อนเพลงนี้ที่มาพร้อมจังหวะชวนโยกเป็นแน่แท้ มันเป็นท่อนเพลงจาก “Shape of You” ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้ม ÷ (Divide) ของนักร้อง นักแต่งเพลงหนุ่มขวัญใจมหาชน เอ็ด ชีแรน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเพลงฮิตแห่งปี 2017 เป็นที่เรียบร้อย และเชื่อว่ามันจะกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตของวงการดนตรีต่อไป
“Shape Of You” เป็นเพลงที่มีจังหวะชวนโยก เคลิ้บๆไปเบาๆ อันเกิดจากการผสมผสานของแนวดนตรี House และจังหวะแบบ Dancehall ส่วนภาคดนตรีนั้นเกิดจากการผสมผสานกันของเครื่องดนตรีหลากสีสันมี ไซโลโฟน กีตาร์และเพอร์คัสชั่น แต่เดิมเพลงนี้จะแต่งเพื่อให้ Rihanna ร้อง แต่ไปๆมาๆ เอ็ดคิดว่าอยากจะร้องเองมากกว่าก็เลยจัดไปตามนี้ จนเป็นเพลงฮิตในที่สุด
เนื้อหาของเพลงพูดถึงการไปพบกับสาวคนหนึ่งที่บาร์และตกหลุมรักเธอทันใด กลิ่นอายความลุ่มหลง และเซ็กซี่ล่องลอยไปทั่วอณูของเพลง
I’m in love with the shape of you
We push and pull like a magnet do
ฉันตกหลุมรักในเรือนร่างของเธอ
เราถูกผลักและดึงดูดเข้าหากันเหมือนดั่งแม่เหล็ก
And last night you were in my room
And now my bedsheets smell like you
เมื่อคืนก่อนเธออยู่ในห้องของฉัน
และในตอนนี้ที่นอนของฉันนั้นมีกลิ่นเหมือนกับเธอเลย
ช่วงแรกๆที่เพลงนี้ถูกเผยแพร่ออกมา มีหลายคนบอกว่ามันมีความเหมือนกับเพลง “Cheap Thrills” ของ Sia ซึ่งเอ็ดได้ตอบกลับในประเด็นนี้ไว้ว่า
“ผู้คนเอาแต่บอกว่าเพลงนี้เหมือนเพลงของ Sia ผมฟังเพลงของ Sia นะผมว่ามันมีคอร์ดที่แตกต่างจากเพลงของผม คอนเซปก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมโลดี้ก็ด้วย แต่ถ้าจะมีใครที่เหมือนเป็นต้นแบบที่ใครๆก็หยิบจับเอาสไตล์และไอเดียเขามาล่ะก็คนนั้นคือ Kygo เลยล่ะ เขาคนนี้เลยที่มาพร้อมกับดนตรีแนวเฮ้าส์ที่ทุกๆคนต้องหยิบมันมาฟัง”
เพื่อคลายข้อสงสัย และเจาะลึกในแง่มุมของคนดนตรี วันนี้เราจะได้รับรู้กันครับว่า เอ็ด ชีแรน มีวิธีการถักทอเพลงๆนี้ขึ้นมาอย่างไร
“มันไม่มีแรงกดดันอะไรเลย มันก็เป็นเพียงแค่วันหนึ่งในห้องอัดเท่านั้นเอง”
นี่คือสิ่งที่เอ็ด พูดถึงเมื่อกล่าวถึงเพลงฮิตเพลงนี้ บทเพลงที่มีเนื้อเพลงสุดเซ็กซี่อย่าง “ตอนนี้เตียงของฉันมีกลิ่นราวกับเธอล่ะ” และมีเพียง 4 คอร์ดวนไปทั้งเพลง ดูเหมือนมันจะไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย แต่ทำไมมันถึงดัง และก็อย่างที่บอกว่าฝนตอนแรก เฮ้ด ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเพลงนี้ให้ตัวเอง
กุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่งเหมือนจะเป็น ผู้ร่วมงานคนสำคัญอย่าง สตีฟ แม็ค (Steve Mac) โปรดิวเซอร์มือฉมังที่เคยร่วมงานกับศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซูซาน บอยล์ , Clean Bandit หรือแม้กระทั่งบอยแบนด์ในตำนานอย่าง Westlife โดยเพลง “Flying Without Wings” หนึ่งในเพลงฮิตของวงนั้น แม็ค ได้ร่วมแต่งด้วย ซึ่งเอ็ดบอกว่า “เพลงนี้เป็นเพลงโปรดตลอดกาลของผมเลยครับ”
อีกหนึ่งผู้ร่วมหัวจมท้ายคนสำคัญก็คือ จอห์นนี แม็คเดด (Johnny Mcdaid) มิตรสหายคนสนิทผู้ร่วมแต่งเพลงกับเอ็ดร่วมหลายร้อยเพลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง Snow Patrol
“ผมไม่คิดว่าเรากำลังมาแต่งเพลงกัน แต่ผมว่ามันเหมือนเรามาพูดคุย แลกเปลี่ยน สื่อสารกันมากกว่า”
แม็คเดดพูดถึงการทำงานกับ แม็ค และเอ็ด
ดูเหมือนว่าสิ่งหนึ่งที่ “Shape of You” จะเหมือนเพลงป็อป ฮิตติดชาร์ตทั้งหลายก็คือ การที่มันเป็นเพลงอันก่อกำเนิดจากการเบรนสตอร์ม ร่วมกันสุมหัวคิด แชร์ไอเดียและค่อยๆช่วยกันพัฒนามันขึ้นมา โดยมีเครื่องดนตรีใกล้มือพร้อมที่จะหยิบจับและบันทึกเสียงไอเดียนั้นโดยทันที
“เพลงที่ดีที่สุด ที่ผมเคยแต่ง ผมไม่เคยจำมันได้เลยว่ามันมาได้อย่างไร จำได้ก็แต่เพียงว่ามันใช้เวลาไม่นานสัก 20 นาทีได้แล้วจากนั้นมันก็เรียบร้อยและไปต่อตามสเต็ปของมัน”
เอ็ด พูดถึงการมาของบทเพลงฮิตทั้งหลายของเขา
สำหรับ “Shape of You” ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มจากการที่ เอ็ด และแม็ค คุยกันไปเรื่อยๆราว 15 นาทีจากนั้น แม็คก็มาพร้อมท่อนริฟฟ์จากคีย์บอร์ด โดยเล่นเป็นเสียงกลองซินธ์อันมีกลิ่นของจังหวะดนตรีแคริบเบียนอันเป็นจังหวะที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว
จากนั้นเพลงนี้ก็ค่อยๆถูกต่อเติมและถักทอในแบบเดียวกันกับเวลาที่เอ็ดแสดงสดนั่นก็คือ ทำเป็นลูปและค่อยๆ ซ้อนชั้นมันขึ้นมา เติมนั่น เติมนี่ที่ละนิดๆ จากนั้นไม่นาน เอ็ดก็มีเมโลดี้ของเพลงนี้
“เอ็ดแต่งเพลงไม่เหมือนใครในโลก เขามีภาพของเพลงในหัวชัดเจนมาก มันมีมาก่อนที่เขาจะต่อเติมมันเสียอีก”
ต่อจากเมโลดี้ก็ต่อด้วยเพอร์คัสชั่นที่เอ็ดใช้การเคาะ ตบ ตี กีตาร์เป็นการให้จังหวะ ซึ่งแม็ครู้สึกเซอร์ไพรซ์ที่เอ็ดมีวิธีการต่อเติมมันในแบบของเขาที่ไม่ใช่ต่อจากแม็คขึ้นไปแบบทื่อๆ แต่เหมือนเอ็ดจะอยากทำนั่น นี่ นู่น อย่างใจอยากแล้วจึงค่อยจับมันทั้งหมดมาซ้อนกันขึ้นมา
ด้วยความที่มันมีอารมณ์ของเพลง R&B จึงทำให้ตอนแรกเอ็ดคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับกลุ่มนักร้องหญิง หรือเพลงคู่ชายหญิง หรือ เพลงของ Rihanna แถมในระหว่างที่กำลังแต่งกัน ท่อนคอรัสของเพลงยังมีเมโลดี้ที่ชวนให้นึกถึงเพลง “No Scrubs” ของ TLC จนทำให้ทั้งสามตั้งชื่อเพลงชั่วคราวให้กับเพลง “Shape of You” นี้ว่า “TLC” กันเลยทีเดียว และเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ เอ็ดได้ตกลงเครื่องนี้กับผู้แต่งทั้งสามของเพลง “No Scrubs” ได้แก่ Kandi Burruss, Tameka Cottle และ Kevin Briggs ก่อนที่เพลงนี้จะเผยแพร่ออกไป ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
เอ้ด เริ่มร้องเมโลดี้ด้วยคำที่ไร้ความหมาย ( wordless syllables – เป็นการร้องมั่วๆไป นักแต่งเพลงหลายคนมักใช้วิธีนี้ ถ้าอยากได้ฟีลแบบเพลงญี่ปุ่นก็ร้องมั่วๆเป็นคำ เป็นสำเนียงแบบญี่ปุ่น ก็จะได้อารมณ์และเมโลดี้แบบเพลงญี่ปุ่นแบบนี้เป็นต้นครับ)
หลังจากนั้นเอ็ดจึงมาใส่เนื้อร้องตามไอเดียของตน ซึ่งท่อนร้องแรกที่เล่าถึงการเข้ามาในบาร์ ดื่มกันชิลๆจนเจอสาวที่ถูกตาต้องใจ ท่อนนี้เอ็ดได้มันมาจากการที่ได้คุยกับคนมากมายและพบว่า หลายคนที่พบเจอกันในบาร์และได้พูดคุยกันถูกคอมักจะสานต่อจนเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยืนยาว ส่วนท่อนร้องที่สองที่พูดถึงการประหยัดจนต้องแอบเอาถูกพลาสติคมาใส่อาหารบุฟเฟ่ต์กลับบ้านนั้น เอ็ดบอกว่าได้ไอเดียมาจากซีรีย์ในอังกฤษเรื่อง “Fresh Meat”
จากนั้นเอ็ดจึงได้ท่อนหัวใจออกมานั่นคือ “I’m in love with your body.” ซึ่งแม็ค กับ แม็คเดด ยังไม่โดนใจนักและมองว่า มันเป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งไปกว่านี้ มันก็แค่เรื่องทางกาย ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แต่เอ็ดได้ตอบกลับว่า “the shape of you” เป็นวลีที่ใช้กันในไอร์แลนด์เหนือบ้านเกิดของเขา มันมีความหมายว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบไหน ผมก็รักคุณ “the shape of you” มันจึงเป็นสิ่งที่สื่อถึงตัวตนของคนคนนั้น
ในส่วนของภาคจังหวะ แม็คได้ลองทำอะไรที่ท้าทายด้วยการใช้เพียง 4 คอร์ดไปตลอดเพลง แม้กระทั่งท่อนคอรัสก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันจึงเกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วเพลงมันจะมี dynamic ได้อย่างไร ท่อนฮุค มันจะเด่นขึ้นมาได้อย่างไร” ซึ่งแม็คได้กล่าวว่า
“ เราใช้เนื้อเพลงและจังหวะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงสร้างไดนามิค แทนที่เราจะใช้การเปลี่ยนคอร์ดแบบที่ใครๆทำกัน”
พวกเขาได้เติมส่วนผสมต่างๆลงไป ริฟฟ์จากคีย์บอร์ด เสียงแทปปิ้งกีตาร์ เสียงดึงสาย เสียงร้องแบ็คอัพ และกระเดื่องกลอง ซึ่งไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้อีก
“ถ้าเนื้อเพลงดีพอ และคุณมีเมโลดี้สุดเจ๋ง จากนั้นแค่มีเพียงเสียงหนึ่งที่จะพามันไปในทิศทางที่ควรจะไป ก็เพียงพอแล้ว คุณไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก”
ภายในเวลา 90 นาที ในที่สุดพวกเขาก็แต่งและบันทึกเสียงเพลงนี้กันจนเสร็จ
“มันเป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย”
แม็คกล่าว
มาฟังเพลงนี้แบบสดๆกันบ้างครับ
สุดยอดไปเลย และนี่ก็คือเรื่องราวความเป็นมาของบทเพลงฮิตเพลงนี้ ที่มีสตอรี่น่าสนใจไม่แพ้บทเพลงเลย รู้อย่างนี้แล้วลองกลับไปฟังเพลงอีกสักครั้งจะพบว่า เพลงนี้ไพเราะขึ้นอีกเยอะเลยครับ การได้รู้ความเป็นมาของเพลงที่เราฟังนี่ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับบทเพลงได้จริงๆ ไว้คราวหน้าหากมีเรื่องราวที่มาของบทเพลงดีๆ ผมจะนำมาฝากให้ได้อ่านกันอีกนะครับ
ที่มา