1.ประกาศรางวัล”ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม”ผิด บนเวทีออสการ์
เป็นเหตุการณ์ที่ต้องบรรจุไว้ในประวัติศาสตร์งานประกาศผลออสการ์อย่างไม่ลืมเลือน เมื่อวอร์เรน บีตตี้ และ เฟย์ ดันนาเวย์ ประกาศออกมาว่า “Lala Land” ชนะเลิศรางวัล “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะว่า”Lala Land” ก็เป็นหนังที่มหาชนชื่นชอบ และกวาดรางวัลใหญ่มาแล้วทุกเวที แต่เซอร์ไพรส์ก็มาถึงเมื่อ ผู้อำนวยการสร้าง จอร์แดน โฮโรวิตซ์ ผู้ขึ้นมารับรางวัลและประกาศออกมาใหม่ว่า “Moonlight” คือผู้ชนะที่แท้จริง “Moonlight” ไม่มีดาราแถวหน้าอยู่ในหนังเลย เป็นหนังฟอร์มเล็กที่อยู่นอกสายตา บวกกับเนื้อหาหนังที่ตามติดชีวิตเด็กผิวดำที่เป็นรักร่วมเพศก็เป็นรูปแบบประจำที่คว้าออสการ์อยู่บ่อย ๆ แล้วยังคงได้อีก ผลก็เลยผิดคาดนักวิเคราะห์รางวัลออสการ์
2.”Logan”ตอกย้ำว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่เรต R ก็ไปได้ดี
“Deadpool” เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉีกรูปแบบด้วยการเปิดตัวด้วยเรต R และตามมาด้วย “Logan” ก็ยังคงเรต R ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ที่ผ่านมาหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มากับเรต PG-13 จะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับสตูดิโออยู่แล้วก็ตามแต่ แต่ความสำเร็จต่อเนื่องของ Deadpool และ Logan ก็พิสูจน์ให้เห็นชัดว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มาพร้อมกับเรต R ก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้ามีบทภาพยนตร์ที่ดี คาแรกเตอร์ที่น่าสนใจ และการตลาดที่ผ่านกระบวนการคิด ก็ทำให้หนังซูเปอร์ฮีโร่ประสบความสำเร็จได้ ด้วยรายได้ 616 ล้านเหรียญจาก Logan ก็พิสูจน์แล้วว่าผู้ชมเปิดกว้างพร้อมที่จะได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในรูปแบบที่เข้มข้นขึ้น และความสำเร็จของ Deadpool ไม่ใช่เรื่องฟลุค
3.”IT”กลายเป็นหนังสยองขวัญทำเงินสูงสุด
ตอบได้ไม่ยากเลย ถ้ามีคำถามว่าหนังสยองขวัญเรื่องอะไรที่ทำเงินมากสุดในปีกลาย เพราะ IT มาแรงและโดดเด่นสุดทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ IT พิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าคุณมีเนื้อเรื่องที่ดีแล้วดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ได้ดี หนังสยองขวัญก็สามารถทำเงินได้ดี IT กวาดรายได้ไปทั้งหมด 700 ล้านเหรียญ เอาชนะ The Sixth Sense ที่ครองแชมป์อยู่ที่ 672 ล้าน มาตั้งแต่ปี 1999 ด้วยความสำเร็จขนาดนี้ เราจะได้ดูภาคต่อกันในเดือน กันยายน 2019 และเชื่อได้แน่ว่า วอร์เนอร์ บราเธอร์ ไม่น่าจะหยุดอยู่กับแค่ 2 ภาคของ IT แน่นอน น่าจะหาทางสานต่อเรื่องราวของเพนนีไวซ์ ในภาคก่อนหน้า ภาคต่อ ไปอีกเรื่อย ๆ
4.Get Out หนังเล็กที่ทำกำไรมหาศาล
เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ของปี 2017 ที่หนังฟอร์มเล็กมา ใช้ทุนสร้างไปเพียง 4.5 ล้าน ไม่มีดาราขายชื่อแม้เพียงคนเดียว และไม่ได้สร้างมากจากนิยายขายดีอีกด้วย แต่ผลจากเสียงชื่นชมแบบปากต่อปากถึงความตื่นเต้นสยองขวัญของหนัง ทำให้หนังทำเงินไปถึง 254 ล้านเหรียญ หนำซ้ำหนังยังได้เสียงตอบรับที่ดีจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์ กวาดรางวัลไปอีกเพียบ และมีสิทธิ์ไปได้ถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์ในปีด้วยซ้ำ ผู้กำกับและเขียนบทจอร์แดน พีล กล้ามากที่หยิบเอาประเด็นเรื่องสีผิวมาใส่ไว้ในเนื้อหาของหนังแบบตรงไปตรงมา ซึ่งนับว่าเสี่ยงพอดู แต่ผลก็สรุปมาแล้วว่าด้วยเนื้อหาเรื่องสีผิวส่งผลไปได้ดีกับความเข้มข้นของบรรยากาศสยองขวัญ ผลลัพธ์ก็คือความสำเร็จทั้งด้านรายได้และเสียงวิจารณ์
5.ความสำเร็จของ Wonder Woman
ความล้มเหลวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่หญิงทั้ง CAatwoman , Aeon Flux , Elektra ต่างสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกสตูดิโอที่จะผลิตหนังซูเปอร์ฮีโร่หญิง แฟน ๆ ต่างก็คอยว่าเมื่อไหร่เขาจะได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ฝ่ายหญิงออกมาวาดลวดลายอีกบ้าง ก็จนกระทั่งการมาถึงของ Wonder Woman ภายใต้การกำกับของผู้กำกับหญิงแกร่ง แพตตี้ เจนกินส์ ที่ผลลัพธ์ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง แพตตี้ เล่าเนื้อหาตามจุดกำเนิดดั้งเดิมของ Wonder Woman และกล้าที่จะส่งหนังลงมาช่วงชิงพื้นที่ในช่วงสงครามหนังซัมเมอร์อีกด้วย หนังมีทั้งความสนุกและความสวยแกร่งของ กัล กาด็อต ที่ส่งผลให้ทำตัวเลขไปได้ถึง 821 ล้านเหรียญ สร้างความฮึกเหิมให้กับค่ายดีซีได้เป็นอย่างดี
6.โคลิน เทรวอร์โรว์ โดนเขี่ยออกจาก Star Wars 9 ดึง เจ.เจ. อบรามส์ กลับมารับหน้าที่
เป็นโปรเจ็คต์ใหญ่ที่ง้อง้อนกันไปมาจริงจริ๊ง ก่อนหน้านี้ทางดิสนีย์ไม่แฮปปี้กับมุมมองของเจ.เจ. อบรามส์ ที่จะทำกับไตรภาคนี้ จากที่เคยวางตัวไว้ว่าจะให้กุมบังเหี้ยนทั้ง 3 ภาค ก็เลยถอด เจ.เจ. ออกไปหลังจากำกับ The Force Awakens เสร็จสิ้น ไรอัน จอห์นสัน เข้ามารับหน้าที่ใน The Last Jedi และ โคลิน เทรวอร์โรว์ จาก The Lost World จะมารับหน้าที่ปิดไตรภาค แต่แล้วก็กลายเป็นข่าวเซอร์ไพรส์ เมื่อดิสนีย์ตัดสินใจเตะ โคลิน ออกไป แล้วไปง้อ เจ.เจ. กลับมากำกับ ไม่มีการแถลงถึงสาเหตุการขัดแย้งกับโคลิน แต่วงในว่าความล้มเหลวของ The Book Of Henry หนังปี 2017 ของโคลิน น่าจะมีส่วนและน่าจะความเห็นขัดแย้งในทิศทางของภาค 9 ซึ่งดิสนีย์ตัดสินใจตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ไม่อยากให้ต้องมาเปลี่ยนตัวผู้กำกับระหว่างการถ่ายทำ และเจ.เจ. ก็ไม่ใช่หน้าใหม่สำหรับสตาร์วอร์ส The Force Awakens ก็ได้เสียงตอบรับจากสาวกเป็นอย่างดี และน่าจะเรียกศรัทธาคืนได้ในภาค 9 หลังจาก The Last Jedi สร้างเสียงต่อต้านจากสาวกดั้งเดิมไปพอสมควร
7.แซค ชไนเดอร์ ทิ้ง Justice League จอส วีดอน เข้ามาเสียบแทน
แซค ชไนเดอร์ ประกาศลาโปรเจ็คทต์ Justice League ไปเสียก่อนในขณะที่หนังใกล้จะปิดกล้อง เหตุจากการสูญเสียลูกสาว และต้องกลับไปดูแลครอบครัวในช่วงที่กำลังทุกข์ วอร์เนอร์ บราเธอร์ จึงดึง จอส วีดอน ที่เป็นตัวเลือกดีที่สุดในขณะนั้น เพราะเคยกำกับ The Avengers หนังรวมเหล่าฮีโร่ฝั่งมาร์เวลมาแล้ว ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นการผสมกันระหว่าง ความสุนทรียะทางภาพซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแซค ชไนเดอร์ และสีสันแบบการ์ตูนในสไตล์ของจอส วีดอน ซึ่งการมาควบคุมของจอส นั่นหมายถึงการถ่ายทำใหม่ในบางส่วน และหนังหดเหลือ 2 ชั่วโมงถ้วน ซึ่งนับว่าสั้นมากสำหรับหนังรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มากหน้าหลายตาแบบนี้ ทำให้พื้นที่สำหรับตัวละครใหม่อย่าง ไซบอร์ก และ อควาแมน เหลือน้อยลง และย่อมมีผลต่อหนังแจ้งเกิดของพวกเขาที่จะตามมา และสุดท้ายรายได้ของ Justice League ก็ไม่อยู่ในจุดที่สมควรจะพึงพอใจ กลายเป็นการบ้านยาก ๆ ที่วอร์เนอร์ต้องทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะเดินหน้าอย่างไรกับจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขา
8.ฟิล ลอร์ด และ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ โดนไล่ออกจากเก้าอี้ผู้กำกับ Solo: A Star Wars Story
ยังคงเป็นข่าวในจักรวาลสตาร์วอร์ส หลังจากดิสนีย์ประกาศสร้างภาคแยกเรื่องต่อไปเป็นหนังชีวประวัติของ ฮัน โซโล และดึงเอา ฟิล ลอร์ด และ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ คู่หูผู้ประสบความสำเร็จจาก The Lego Movie และ 21 – 22Jump Street และเมื่อเดือนพฤศจิกายน ก็มีข่าวว่าดิสนีย์ เลิกจ้าง ลอร์ด และ มิลเลอร์ แล้ว ฟังดูเหมือนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับ Rogue One หนังภาคแยกสตาร์วอร์สเรื่องก่อนหน้า ที่เดิมทีวางตัว จอช แทรงค์ ไว้แล้วก็มีปัญหากัน เลยได้ กาเร็ต เอ็ดเวิร์ด มารับหน้าที่แทน ส่วน Solo ก็ได้ รอน โฮเวิร์ด ผู้กำกับรุ่นเก๋าในวงการมารับหน้าที่แทน การเตะผู้กำกับคู่หูออกไปจากโปรเจ็คต์ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำจากดิสนีย์ว่า เขาไม่ต้องการความท้าทายจากผู้กำกับหน้าไหนที่จะมายุ่งกับแนวทางของจักรวาลสตาร์วอร์ส และเขาไม่แคร์ด้วยเพราะว่ายังมีผู้กำกับอีกมากที่ต่อคิวอยากจะมาร่วมในจักรวาลสตาร์วอร์สนี้
9.ดิสนีย์ ซื้อ ฟอกซ์
นับเป็นดีลการซื้อขายที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ดแล้ว ด้วยมูลค่า 52,400 ล้าเหรียญ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการสื่อสหรัฐ แต่สำหรับแฟน ๆ ซูเปอร์ฮีโร่นับเป็นข่าวดีที่พวกเขาตื่นเต้นกับการจะได้เห็นการขยายจักรวาลมาร์เวล เมื่อได้ X-Men และ Fantastic Four กลับมาบ้านมาร์เวล การซื้อครั้งนี้ดิสนีย์จะได้สตูดิโอหนังทั้งหมดของฟอกซ์ ซึ่งจะรวมถึงลิขสิทธิ์อภิมหาหนังอย่าง Avatar และ Titanic ด้วยรวมถึงช่องทีวีอย่าง National Geographic แต่คงเหลือช่อง Fox Sports 1 และ 2 ,Fox Business , Fox News ,Big Ten Network ที่ยังคงเป็นของตระกูลเมอร์ดอคต่อไป การเข้ามาของดิสนีย์ครั้งนี้จะทำให้ดิสนีย์มีส่วนแบ่งในตลาดหนังสูงถึง 49 % กลายเป็นมหาอำนาจทางด้านสื่อ และจะทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่น้อยลง
10.ข่าวล่วงละเมิดทางเพศในวงการฮอลลีวู้ด
และข่าวที่ดังสุดในปีนี้ก็ไม่มีทางหนีฟ้น กระแสพลุแตกเมื่อนิวยอร์คไทม ตีแผ่วีรกรรมของฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ ผู้อำนวยการสร้างผู้ทรงอิทธิพลและเป็นเจ้าของค่ายมิราแมกซ์ว่าเคยล่วงละเมิดทางเพศดาราหญิงและคนในวงการหลายรายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และก่อให้เกิดเจ้าทุกข์อีกหลายรายออกมาแฉถึงบรรดาและผู้ทรงอิทธิพลอีกหลายรายที่มีพฤตกรรมคล้ายเคียงกัน ทั้งเควิน สเปซีย์ , ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ,ลาร์ส ฟอน เทรียร์ และอีกหลายคน ถึงวันนี้กระแสข่าวการล่วงละเมิดก็ยังไม่ยุติ บรรดาเจ้าทุกข์ยังคงออกมาแฉถึงผู้กระทำการล่วงละเมิดอยู่เรื่อย ๆ และล่าสุดลามไปถึงวงการภาพยนตร์ในฮ่องกงอีกด้วย ทางตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ไต่สวนหาข้อเท็จจริงซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะแต่ละคดีก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปนับสิบปี แและบรรดานักแสดงหญิงก็ยังคงเรียกร้องความยุติธรรมในสังคมฮอลลีวู้ด ดังได้เห็นจากการแต่งชุดดำในงานพิธีมอบรางวัลลูกโลกทองคำและจะมีขึ้นอีกในงานพิธีมอบรางวัลออสการ์