เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ทาง What The Fact ได้รับเชิญไปร่วมสัมภาษณ์โต๊ะกลม (Round Table) กับเหล่านักแสดงนำจากซีรีส์ Lost In Space ของ Netflix แบบครบทีมทั้ง โทบี สตีเฟนส์ (Black Sails) , มอลลี พาร์คเกอร์ (House of Cards), เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (Before I Fall), มีนา ซันด์วอลล์ (#Horror) และ แม็กซ์ เจนคินส์ (Sense8) ณ. โรงแรม Peninsula Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บรรยากาศชิตแชตเป็นกันเองระหว่างเหล่านักแสดงและสื่อนานาชาติจากเอเซียจะสนุกสนานขนาดไหน ตามเราขึ้นยานไปกับเหล่าครอบครัวโรบินสันกันเล้ย…
Q: คุณคิดว่า Lost in Space เวอร์ชั่นนี่ต่างจากฉบับอื่นๆทั้ง ซีรีส์ต้นฉบับยุค 60 และ หนังโรงปี 1998 ยังไง
มอลลี : ฉันคิดว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของ Lost in Space คือการที่มันไม่ได้มีเพียงการผจญภัยตะลุยอวกาศเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของความแตกร้าวในครอบครัวซึ่งอาจเกิดขึ้นกับครอบครัวไหนก็ได้ แต่เมื่อมันเกิดกับครอบครัวโรบินสันที่หลงทางในอวกาศก็เลยยิ่งน่าสนใจ
มีนา : ฉันคิดว่าเวอร์ชั่นนี้ดัดแปลงให้ร่วมสมัยขึ้นและเข้ากับสังคมในปัจจุบันมากขึ้น เรามีตัวละครหญิงที่แข็งแกร่งมาก มีความคิดเป็นของตัวเอง มีอิสระ นอกจากนี้เรายังนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกเราจริงๆเช่นเชื่อโรคระบาดที่เราเห็นๆกันอยู่มากล่าวถึงเลยเชื่อว่าผู้ชมน่าจะอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวได้ดีค่ะ
แม็กซ์ : สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือใน Lost In Space ฉบับของเราไม่เพียงกล่าวถึงครอบครัวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังมีผู้คนจากหลากหลายชาติพันธุ์มาร่วมใจกันกอบกู้สถานการณ์เพื่อมวลมนุษยชาติครับ และอีกเรื่องก็เหมือน มีนา บอกคือเรื่องบทบาทของผู้หญิงในเรื่องที่สำคัญมากๆครับ
Q: สังเกตได้ว่า เคมี ของพวกคุณเข้ากันมากเลย
มีนา : (หยอก) จริงๆพวกเราเกลียดขี้หน้ากันมากค่ะ (หัวเราะ)
มอลลี : เราโชคดีมากๆค่ะ จริงๆการทำงานกับเด็กนี่ยากมากเลยนะ บางทีเด็กก็อยู่ไม่สุข ไปนั่นมานี่ หรืออาจเกิดปัญหาจากผู้ปกครองที่จุ้นจ้านเอยอะไรเอย แต่นี่เรามีทีมนักแสดงรุ่นเยาว์ที่น่ารักมากและมาจากครอบครัวที่ดีมาก พวกเขาไม่ใช่เด็กแบบฮอลลีวูด แต่คือเด็กๆที่น่าเอ็นดูจริงๆ และเนื่องจากฉันกับโทบีก็มีลูกอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับพวกเขา ทุกอย่างเลยลงตัวมาก
โทบี : จากประสบการณ์ส่วนตัว บางครั้งดาราเด็กที่แคสต์มาคือ รูปร่างหน้าตาดีมากแต่กลับแสดงไม่ได้เรื่องเลย (หัวเราะ) มันเลยทำงานยากมาก แม้ผู้กำกับจะพยายามเคี่ยวเข็ญแค่ไหนก็ตาม แต่กลับเรื่องนี้พวกเขาได้รับการคัดเลือกจากความสามารถและเหมาะกับบทนั้นๆจริงๆ แล้วทุกคนก็แสดงได้ดีมาก ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆเลย คือนอกจากจะเป็นเด็กดี น่าเอ็นดูแล้ว แต่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเป็นนักแสดงที่ดีมาก แล้วเมื่อทำงานร่วมกันเลยสบายใจมากแม้พวกเขาจะต้องมาเสแสร้างเป็นลูกๆของเราก็ตาม (หัวเราะ) ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแกล้งๆแต่งงานกัน ทำตัวเป็นพ่อแม่พวกเขาด้วย เมื่อเราแสดงกันได้สนิทใจมันก็เลยน่าเชื่อถือน่ะครับ
Q: เราจะนิยามครอบครัวโรบินสันเป็นครอบครัวที่สุขสันต์หรือครอบครัวที่แตกร้าวกันแน่
โทบี : ผมมองว่าสถานการณ์ต่างๆน่าจะช่วยเยียวยาครอบครัวนี้ได้ทีละน้อย จากตอนแรกเราจะเห็นเลยว่าครอบครัวนี้เต็มไปด้วยปัญหา ซี่งพอผ่านเหตุการณ์ต่างๆครอบครัวนี้ก็เริ่มเกิดความแน่นแฟ้นขึ้น
มอลลี : ฉันว่ามันเป็นประเด็นสำคัญในเนื้อหาซีรีส์ชุดนี้เลย ที่ว่าทำยังไงให้ครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยร้าวให้หาทางกลับมาอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ฉันชอบในบทของซีรีส์ชุดนี้ที่ว่าด้วย ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบแถมต้องผ่านความยากลำบาก แถมตัวละครแต่ละตัวยกมีจุดบกพร่องเป็นมนุษย์ที่ยังมีตำหนิซึ่งผู้ชมสามารถเชื่อมโยงชีวิตตนเองกับพวกเขาได้ค่ะ
แม็กซ์ : ผมว่าในท้ายที่สุดครอบครัวโรบินสัน….
มีนา : (ทำเสียงแบบกระซิบ) อย่าสปอยล์สิ (หัวเราะ)
แม็กซ์ : คือไม่ว่ายังไง ครอบครัวโรบินสันก็หาทางกลับมาสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวกันครับ เหมือนอย่างมอลลีบอกไว้ นี่เป็นครอบครัวที่มีรอยร้าวแต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นครอบครัวโรบินสันจะเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ (หัวเราะ)
เทเลอร์ : (แซว) ตอบดีนะเนี่ย…
Q: คุณว่าคาแรกเตอร์ของตัวเองมีจุดเด่นอะไรที่ทำให้คุณชอบ
เทเลอร์ :จูดี้ ชอบปกป้องคนอื่น เป็นหนอนหนังสือ เธอแบกความรับผิดชอบประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเสาหลักของครอบครัว โดยมีแม่เป็นต้นแบบ ซึ่งมัวรีนถือเป็นต้นละครที่เป็นแม่พิมพ์ให้เธอเลยทีเดียว
มอลลี : โอ้ (ทำเสียงตกใจ) (หัวเราะ)
เทเลอร์ : ฉันว่า จูดี้ เป็นคนน่านับถือนะ เธอแข็งแกร่งแบบที่ฉันไม่มีวันเป็นได้ ถ้าสิ่งไหนดีเธอจะกระโจนลงไปทำทันทีแบบไม่มีข้อกังขาโดยเด็ดขาด เธอให้ความสำคัญกับครอบครัวมาเป็นที่หนึ่งเลยค่ะ
มีนา : ฉันว่าทุกตัวละครมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป สำหรับเพนนี ฉันมองว่าเธอจริงใจ ไม่เฟค ไม่สวมหน้ากากเข้าหาคน เธอจะเป็นตัวของตัวเองซึ่งก็อาจไม่ได้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์นัก แต่มันก็ทำให้เห็นว่าเธอเป็นคนจริงซึ่งฉันมองว่าเธอน่านับถือมาก ซึ่งฉันสลัดเธออกจากหัวไม่ได้เป็นปีเลยทีเดียว (หัวเราะ) บางทีก็อยากเป็นแบบ เพนนี จริงๆ
แม็กซ์ : สำหรับคาแรคเตอร์ของ มีนา และ เทย์เลอร์ก็เป็นส่วนดีที่สุดส่วนหนึ่งในครอบครัวโรบินสัน สำหรับ วิล ตัวละครของผมว่าเด็กอายุ 11 ขวบทั่วไปคงเข้าใจความรู้สึกของวิลได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบซีซัน ผมว่าทุกคนจะรับรู้ได้ทั้งความกลัว ความรู้สึกที่ว่าตัวหลงทาง ไม่เพียงหลงทางในอวกาศแต่ยังรวมถึงการใช้ชีวิตแบบหลงทาง ว้าเหว่ ซึ่งอีกสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวละคร วิล คือเวลาผมไปโรงเรียน ผมจะมองเห็นเพื่อนบางคนที่เข้ากับคนอื่นๆไม่ได้ เหมือนเขาไร้ตัวตน ซึ่งเมื่อเทียบกับ วิล โรบินสัน ภารกิจอีกอย่างของเขาก็คือการเอาชนะความรู้สึกไร้ตัวตนของตัวเองเพื่อกลายเป็นคนที่มีค่าในครอบครัว ซึ่งก็หวังว่าผู้ชมจะได้ข้อคิดดีๆจากเรื่องนี้ครับ
Q: คุณคิดว่า Lost in Space แตกต่างจากหนังหรือซีรีส์ผจญภัยในอวกาศเรื่องอื่นยังไง
มอลลี : ซีรีส์เรื่องนี้ มีทั้งตัวละครที่สมจริง ปมขัดแย้งในครอบครัวที่ซับซ้อนคอยขับเคลื่อนเรื่องราวในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา คือมันไม่ใช่แค่ หนังไซไฟ หรือ ดราม่าครอบครัว เพราะเมื่อรวมกันผู้ชมจะแคร์ตัวละครทุกตัวและยังชวนให้เกิดการพูดคุยต่อหลังดูจบอีกด้วย
มีนา : คือนอกจากจะเป็นซีรีส์ที่ความเป็นไซไฟแล้ว แต่ละตัวละครยังต้องต่อสู้กับความขัดแย้งในตัวเองซี่งคนดูเชื่อมโยงชีวิตพวกเขาได้ง่ายมาก บางทีฉันอาจรู้สึกเหมือน จูดี้ หรือหลงทางแบบ วิล หรือ เพนนี
มอลลี : ฉันว่าเป็นซีรีส์ที่เหมาะจะดูกับเด็กๆที่โตหน่อยได้นะ เนื้อหามันไม่ได้หน่อมแหน้มเกินไป มันมีทั้งความน่ากลัว ความตื่นเต้น ซึ่งผู้ใหญ่น่าจะชอบได้ไม่ยาก
โทบี : คือมันคงไปเทียบกับ ลิเกอวกาศ อย่าง STAR WARS คงไม่ได้นะครับที่ทั้งทุนสร้างมหาศาลโด่งดังใครๆก็พูดถึง แต่ขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้นะครับ แต่คงไม่มีใครบอกว่า “โอ้ ฉันรู้สึกเหมือน ลุค สกายวอล์คเกอร์ เลย” (หัวเราะ) แบบว่า โอ้ ฉันเคยถูกพ่อตัวเองฟันแขนขาดมาก่อนลุค ฉันเข้าใจนาย คงไม่ใช่ และมันก็คงไม่ได้มืดมนเหมือน BLADE RUNNER จริงๆแล้วมันมึจุดเด่นที่ให้ความสำคัญกับความเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์และปัญหาภายในครอบครัว ซึ่งเพิ่มความสมจริงให้เรื่องราว ทำให้ปมปัญหาต่างๆดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือรวมถึงตัวละครที่มีดีมีชั่วเหมือนคนจริงๆที่ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงได้จริงๆครับ
Q: มีหลายเหตุการณ์มากที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ในครอบครัว มันเลยไม่ได้เป็นแค่หนังไซไฟเท่านั้น ตรงนี้คุณมองมันยังไงกันบ้าง
มอลลี : ฉันยกความดีให้คนเขียนบทเลย สิ่งเดียวที่ดูโรแมนติกที่สุดในเรื่องคือความเป็นพ่อเป็นแม่คนนี่แหละซึ่งหาได้ยากในหนังหรือซีรีส์เรื่องอื่นๆ แล้วเรื่องราวก็มีสถานการณ์ที่ตึงเครียดเข้ามาปะทะกับตัวละครตลอด เพิ่มความตื่นเต้นให้เราได้ลุ้นไปกับพวกเขา ซึ่ง จอห์น กับ มัวรีน ไม่ใช่พ่อแม่ดีเด่นอะไร แต่มีจุดบกพร่องเหมือนมนุษย์แบบเราจริงๆนี่แหละค่ะ
โทบี : แล้วความสามัคคีของครอบครัวโรบินสันก็มาจากอุปสรรคที่ต้องเผชิญนี่แหละซึ่งเหนือความคาดหมายของคนดู จนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้
มอลลี : (แซว) ฉันว่ามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะ โทบี (หัวเราะ)
โทบี : แต่ต่อมาเมื่อตัวละครได้เรียนรู้จากบทเรียนต่างๆเลยตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องได้ดีขึ้น นี่แหละมันเลยทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เวิร์ค เพราะตัวละครมีพัฒนาการจากอุปสรรคที่เผชิญมันร่วมกันกลายเป็นบทเรียนล้ำค่าของตัวละครครับ
Q : มีนา..ในซีรีส์คุณยอมหักอกตัวเองด้วยนี่ ในชีวิตจริงเคยทำอย่างนั้นไหม
มีนา : หมายถึงหนูเคยโดน “เท” รึเปล่านะเหรอ เรื่องอะไรจะบอก..(หัวเราะ) แน่นอนล่ะ..เมื่อคุณอยู่ในอวกาศ หลายสถานการณ์มันสอนให้ได้เรียนรู้ ทั้งแอบชอบหนุ่มๆ ถูก ‘เท’ จน ‘นก’ กันไป หรือแม้แต่เจอเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องผ่านเพื่อจะได้เติบโตต่อไป และเรียนรู้ถึงคุณค่าของครอบครัว ซึ่งจากตอนแรกถึงตอนสุดท้ายของซีซันเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครได้อย่างชัดเจนค่ะ
แม็กซ์ : เหมือน มีนา พูดเลยครับตัวละครถูกตัวจะค่อยๆซึมซับบทเรียนต่างๆที่ต้องเจอ เหมือน วิล ที่หลายครั้งเหมือนหลงทาง ไม่มีที่ยื่นในครอบครัว อยากมีความกล้าหาญเพื่อจะช่วยครอบครัวของตัวเอง หรือแม้แต่ เพนนี ที่เป็นลูกคนกลางคอยเรียกร้องความสนใจ สิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้น่าสนใจว่า ครอบครัวนี้จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคในอวกาศไปได้หรือไม่ครับ
Q: โทบี..คุณได้นำประสบการณ์จากซีรีส์ Black Sails มาใช้ในโปรดักชันนี้อย่างไรบ้าง
โทบี : ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงประสบการณ์ 4 ซีซันของ Black Sails ได้ดีกว่าผมอีกแล้ว (หัวเราะ) ถ้าเทียบกัน Lost In Space ดูจะเป็นช่วงให้ผมได้หายใจหายคอบ้างครับ เพราะใน Black Sails ผมเล่นเป็นตัวละครที่ดาร์คมาก พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองอยู่รอด ซึ่งมันน่าอึดอัดไม่น้อยนะ ถ้าคุณเครียดมาทั้งวันแล้วยังเปิดทีวีมาเจอซีรีส์ที่ทั้งเครียดทั้งกดดันอีก ดังนั้นผมเลยหวังว่าใครจะตามที่ดู Lost In Space จะได้รับความรู้สึกว่าได้ปลดปล่อย คลายเครียด สนุกไปกับเรื่องราวได้ ได้ดูกับครอบครัว มีความสุขหลังดูจบ ผมรักในความเป็นมนุษย์ของซีรีส์เรื่องนี้ที่พยายามทำสิ่งดีๆต่างๆและหวังให้ทุกคนได้เห็นด้านนี้ในตัวละครเช่นเดียวกันครับ
แม็กซ์ : เหมือนโทบีบอกเลยครับเมื่อต้องตอบว่า Lost In Space จะให้อะไรกับผู้ชมบ้าง ในตอนแรกมันอาจเป็นเพียงซีรีส์ที่ดูสนุก เพลิดเพลิน เหมือนเล่นโปเกมอน (หัวเราะ) แต่มันก็นำเสนอด้านมืดที่คุณต้องตั้งคำถามกับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง ซึ่งทำให้เรื่องราวมันโดดเด่นมากๆครับ
Q: มอลลี..คุณกังวลบ้างไหมที่ต้องรับงานแสดงที่แปลกกว่าที่เคยเป็นมา
มอลลี : ฉันไม่เคยแสดงหนังหรือซีรีส์ไซไฟมาก่อน ที่ผ่านมาฉันเล่นหนังอินดี้เยอะมาก นอกนั้นก็พวกหนังสำหรับทีวีตาม HBO หรือ Netflix แต่หากมองข้ามแนวหนังไป ฉันเลือกงานจากความน่าสนใจของตัวละคร แล้วก็มันน่าสนุกมากที่ได้เล่นในโปรเจคต์ที่ลงทุนสูงขนาดนี้ มันเลยรู้สึกเหมือนคุณได้รับการสนับสนุน และ Netflix ก็เป็นป๋าดันเราทุกอย่างทั้งการถ่ายทำที่ออกมางดงาม วิช่วลเอฟเฟกต์ที่สมจริง แล้วมันก็ทำให้ฉันกล้าที่จะแสดงอะไรบ้าๆบอๆต่อหน้า กรีนสกรีน มันดูเสแสร้งมากๆ ต้องเล่นกับอากาศให้มันดูสมจริง ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับฉันมากๆ แล้วโทบีก็ช่วยแนะนำฉันได้ดีมากเลยค่ะ
โทบี : แน่นอนล่ะผมเสแสร้างเล่นกับอากาศมาตั้งแต่บนเรือใน Black Sails แล้ว (หัวเราะ) ให้เล่นกับอะไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็มีคนตะโกนว่า อ้าว..มันไปทางซ้ายของคุณแล้ว หลบสิ…
มอลลี : รู้มั้ย ถ้าไปดูตอนถ่ายมันเหมือนเราเล่นอะไรกันเป็นเด็กๆเลย ทางทีมสร้างยานอวกาศที่แวนคูเวอร์ แคนาดา มันใหญ่มากแล้วมีแกนยึดที่หมุนเปลี่ยนองศาได้ ไว้ถ่ายตอนยานเอียงบินหลบกระสุนหรืออุกกาบาต แล้วทีนี้พอยานมันเอียงเราก็ต้องแสดงทั้งที่ยืนบนพื้นเอียงๆนั่นแหละ..(หัวเราะ)
โทบี : (แซว) คิดถึงฉากนั้นสินะ มอลลี (หัวเราะ)
มอลลี : โอ้พระเจ้า คิดแล้วมันน่าอายมากเลย..
โทบี : รู้มั้ยเราน่าจัดสัมมนานะ การแสดงในพื้นที่เอียงๆ (หัวเราะ)
มอลลี : นี่เซียนแล้ว..ให้พี่สอนให้มั้ยน้อง… (หัวเราะ)
Q: ตอนถ่ายทำ มีประสบการณ์ไหนมั้ยที่พวกคุณลืมไม่ลง
มีนา : ซีรีส์มันเต็มไปด้วยสเปเชียลเอฟเฟกต์และเครื่องจักรกลเยอะมากในการถ่ายทำ มีอยู่ฉากนั้นที่ผู้กำกับอยากให้ฉันขับรถจริงๆ แล้วตอนถ่ายฉันเพิ่งอายุ 15 แถมขับรถไม่เป็นอีก ฉันก็กลัวเอารถไปชนจนพังแล้วถูกไล่ออก (หัวเราะ) แล้วแบบต้องมาแสดงให้เห็นว่า เพนนี ต้องไปช่วยพ่อแม่ โลกต้องหวังพึ่งพาเธอ มันเลยเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากค่ะ
แม็กซ์ : ผมมี 2 เรื่องที่ไม่มีวันลืมเลยครับ อันแรกคือขึ้นไปบนยอดภูเขาหิมะปกคลุม เป็นซีนของผมกับโทบีเดินตามทางหิมะปกคลุม แล้วเราถ่ายทำบนภูเขาหิมะจริงๆ เราต้องนั่งรถสำหรับไปที่ถ่ายทำอย่างเดียว 1 ชั่วโมง 45 นาที
โทบี : จำวันต่อมาได้มั้ย ถึงจะโบ๊ะครีมกันแดดแค่ไหน แต่พอเจอแสงแดดส่องกระทบกับหิมะความร้อนมันจะทวีคูณ ผมไม่เคยถูกแดดเผาเปลือกตามาก่อน รุ่งขึ้นเปลือกตาผมไหม้เลย (หัวเราะ) แถมยังมีรอยไหม้อยู่ใต้จมูกอีก เป็นไปได้ยังไงเนี่ย
แม็กซ์ : สำหรับผมคือต้องเข้าไปอยู่ยานอวกาศ แล้วกระจกมันไม่ต่างจากแว่นขยายที่ส่องมาที่หน้าพอดีจนถูกแดดเผาไปครึ่งหน้าครับจนต้องแต่งหน้าทับปกปิดรอยไหม้ ไม่งั้นผมคงดูเหมือนตัวตลกยังไงก็ไม่รู้ แต่ที่ประทับใจอีกอย่างคือซีนนี้ถ่ายก่อนวันเกิดผมครับ เขาเลยให้ของขวัญด้วยการให้นั่งรถ สโนว์โมบิล สนุกมากๆเลยครับ
โทบี : ทีวันเกิดผมไม่เห็นมีใครให้ขี่บ้างเลย (หัวเราะ)
แม็กซ์ : อีกประสบการณ์คือตอนเล่นฉากลอยในสุญญากาศ ที่ต้องใช้สลิงยกทั้งตัวและชุดอวกาศของผม แถมยังต้องทำตัวให้ดูไร้น้ำหนักอีก วิธีการคือเขาจะเอาอานมาให้ผมนั่ง แล้วทีนี้คือมีบางช่วงที่ก้นผมไม่ได้อยู่บนอาน ก็ต้องคอยประคองตัวเองให้อยู่บนอานให้ได้ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยครับ
Q: แม้ซีรีส์ชื่อ Lost In Space แต่เนื้อหากลับดูสมจริงมาก แล้วการทำงานในซีรีส์เรื่องนี้ให้บทเรียนอะไรกับพวกคุณบ้าง โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆอย่างพวกคุณ
มีนา : การทำงานร่วมกันค่ะแม้แต่ละคนจะต่างที่มาหรือเข้ากันไม่ได้ แต่จากสถานการณ์ในเรื่องที่แม้จะดูเป็นนิยายแบบสุดโต่งแต่เมื่อคิดดูดีๆ หากเรารู้จักใช้ประโยชน์จากตัวตนของแต่ละคนมาร่วมกันทำภารกิจเพื่อส่วนรวมก็สามารถประสบความสำเร็จได้ค่ะ
เทเลอร์ : ฉันว่ามันเป็นประสบการณ์ครั้งแรกร่วมกันค่ะ พวกเราไม่เคยแสดงซีรีส์หรือหนังไซไฟฟอร์มยักษ์แบบนี้มาก่อน เลยรู้สึกดีที่มีใครให้พึ่งพา คอยพูดคุยปรึกษาทั้งในและนอกกองถ่ายและฉันโชคดีมากที่ได้เป็นพี่น้องในจอร่วมกับทั้ง มีนา และ แม็กซ์ ได้ทำงานกับคนดีๆคล้ายครอบครัวจริงๆ ฉันเลยคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยค่ะ
Q: เทเลอร์..อยากถามความรู้สึกของคุณที่ต้องเล่นฉากโหดๆอย่างตอนที่จมน้ำใต้พื้นน้ำแข็งหน่อย
เทเลอร์ : นั่นไม่ใช่ซีนโปรดของฉันแน่ๆค่ะ (หัวเราะ)
Q: แต่มันก็น่าจดจำนะ
เทเลอร์ : ยังจำไม่เคยลืมเลือนเลยค่ะ…มีหลายอย่างที่น่าจดจำค่ะ โดยเฉพาะยานอวกาศที่สร้างมาได้สวยงามอลังการมากๆ เวลาเดินเข้าไปในยาน มันเหลือเชื่อมาก งานดี ประณีตสุดๆ ทุกปุ่มคือมีความหมายของมันไม่ได้สร้างมามั่วๆเลย
มีนา : (เสริม) พอเห็นปุ๊บรู้คำตอบทันทีเลยว่า มีปุ่มนี้ปุ่มนั่นทำไม เจ๋งมากเลย
เทเลอร์ : เหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น ทุกวันมีแต่สิ่งใหม่ๆให้เรียนรู้ แต่ละฉากที่ถ่ายให้ประสบการณ์ต่างกัน เลยตอบยากมากว่าตอนไหนน่าจดจำที่สุด ฉันคงไม่อาจเลือกได้ว่าวันนั้นวันนี้น่าจดจำที่สุด เพราะฉันคงเก็บความประทับใจนี้ไปอีกนาน แต่ที่แน่ๆฉันชอบเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ฝ่าฟันอากาศหนาวไปด้วยกัน ดีกว่าหนาวอย่างว้าเหว่แน่ๆค่ะ (หัวเราะ)
Q: ต่อไปซีรีส์เรื่องนี้จะมีเนื้อหาที่มืดมนลงเรื่อยๆมั้ย เพราะตอนท้ายๆเหมือนมันจะเป็นอย่างนั้นน่ะ
มอลลี : ฉันว่ามันเป็นโทนที่คนเขียนบทวางไว้ค่ะ มันเป็นอารมณ์ตื่นเต้นปนน่ากลัวแต่ไม่ได้ดาร์คขนาดนั้นค่ะ คงไม่ได้ถึงขั้นนำเสนอมุมมองที่มืดมนหรือเรื่องราวเลวร้ายให้คนดูรู้สึกหดหู่ไปกับชะตากรรมตัวละครขนาดนั้น ฉันว่าซีรีส์นี้สร้างมาเพื่อให้ความบันเทิงกับผู้ชมทั่วไป อย่างลูกชายวัย 11 ปีของฉันก็บอกว่ามันสนุกมากแม้จะรู้เรื่องหมดแล้ว แม้แต่แม่ฉันได้ดูไป 2-3 ตอนยังชอบมันมากเลย ก็เลยมองว่านอกจากเด็กๆจะสนุกแล้วมันยังเวิร์คสำหรับผู้ชมผู้ใหญ่ด้วยนะ
โทบี : ใช่ครับ ผมมองว่ามันต้องมีเนื้อหาที่เข้มข้นพอให้ผู้ชม ผู้ใหญ่อยากติดตามดูมันได้อย่างสนุกสนานไม่แพ้เด็กๆเลยอาจต้องมีอะไรดาร์คๆบ้างมาเป็นน้ำจิ้มให้เรื่องราวมีรสมีชาติมากขึ้น อ้างอิงเหตุการณ์ในโลกความจริงให้ชวนคิดต่อแต่ก็ไม่ด้อยความสนุกครับ
มอลลี : โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเรา ที่ต้องพูดคุยกันมากว่าทำยังไงให้มันดูสมจริงเหมือนครอบครัวที่มีปัญหาแตกแยกแบบที่คนทั่วไปเชื่อแม้ไม่ได้ไปแตะเรื่องปัญหาชีวิตคู่มากนัก เราทำให้มันเหมาะกับผู้ชมทั่วๆไปค่ะ
โทบี : แต่มันก็ต้องดูแล้วน่าเชื่อถือครับ ทั้งคู่มีปัญหาแบบที่คนทั่วไปมีจริงๆ
มอลลี : นอกจากพวกเราก็ยังมี พาร์คเกอร์ โพซี และ อิกนาชิโอ เซอริชชิโอ ที่เล่นกันได้ ฮาแตก มากๆ ซึ่งบทพวกเราไม่ตลกเลยไง (หัวเราะ) เราดีใจมากที่มีพวกเขาอยู่ในซีรีส์ด้วย ทำให้ดูสนุกขึ้นเยอะ
Q: ตกลง โอริโอ้ ในเรื่องนี่อยู่ในบทมั้ยหรือไทอินโฆษณา
เทเลอร์ : อยู่ในสคริปต์ค่ะ
มีนา : ใช่..อยู่ในสคริปต์นะ
แม็กซ์ : ผมดีใจมากที่เขาเขียนไว้ในสคริปต์ รักเลยล่ะ..
เทเลอร์ : มันไม่ใช่โฆษณาแฝงค่ะ
โทบี : เขาเขียนบทให้มันสมจริง ให้คนดูสัมผัสความเป็นมนุษย์ของตัวละครได้น่ะครับ เหมือนมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
มอลลี : เด็กๆก็ต้องชอบโอริโอ้เป็นธรรมดาน่ะแหละค่ะ
แม็กซ์ : หรือมันต้องมีโอริโอ้เพราะเทเลอร์เป็นมังสวิรัติ ฮะ
เทเลอร์ : ใช่..ฉันว่าใช่เลยแหละ
โทบี : ทำไมต้องคุกกี้ล่ะ เพราะมันเป็นข้อยกเว้นใช่มั้ย
เทเลอร์ : ใช่ค่ะ
มอลลี : โอริโอ้เหมาะกับพวกหนูๆแล้วแหละ
โทบี : ไม่เข้าใจเลย ทำไมเป็นมังสวิรัตื ไม่หาผักกินเนอะ (หัวเราะ)