มองรอบตัว (หาก) เป็นเด็กคงหวาดกลัว มันอ้างว้างไป
มุมที่มืดมัวมองไม่เห็นใคร
ได้ยินแต่เพียงเสียงถอนใจ
และมีแค่เพียงลมหายใจ….
หลายคนเติบโตมาโดยไม่เคยได้พบกับคนที่รักและให้กำเนิดชีวิต เติบโตมาท่ามกลางมุมมืดมัว มีแค่เพียงจินตนาการพร่าเลือนถึงบุคคลผู้ให้กำเนิด
“DNA” คือเรื่องเล่าเรื่องใหม่ของ “โอ๋ ธีร์ ไชยเดช” ชายเสียงอบอุ่นผู้ชอบขับขานเรื่องราวผ่านบทเพลงของเขา
กลับมาคราวนี้พี่โอ๋ พาเอาเสียงอุ่นๆพร้อมด้วยกีตาร์อะคูสติคและเปียโนแผ่วพริ้วละมุน กลั่นเอาแรงบันดาลใจจากความคิดถึงที่มีต่อคุณแม่และบทสนทนากับหลานชายที่ไม่เคยได้พบกับพ่อผู้ให้กำเนิดแม้เพียงครั้ง ด้วยพ่อจากไปเสียแต่เขายังเล็กขวบปีเดียว
พี่โอ๋เล่าว่า
“เมื่อวันแม่ที่ผ่านมา ผมอยู่กับบ้านเงียบๆ คนเดียว แน่นอนครับว่าผมคิดถึงแม่…คิดถึงแม่มาก หันซ้ายหันขวาหมุนไปหมุนมาอยู่พักนึงก็ไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่น ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ากล่อม..กลบเกลื่อน..หรือว่าจะทับถมความรู้สึกของตัวเองกันแน่ …ผมเริ่มจากความรู้สึกจริงๆ ที่สัมผัสได้ ณ ตอนนั้น
…เพื่อที่จะได้ดิ่งลึกลงไปอีก ผมย้ายความรู้สึกของตัวเองจากคอนโดที่ผมอยู่ กลับไปที่บ้านเดิม บ้านที่เราเคยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่.. ที่ๆ เคยมีแม่เป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอแม่ไม่อยู่ หลายๆ อย่างที่เราเคยมีเคยทาร่วมกันมันก็หายไปหมด …จนได้ประโยคต่อมาว่า..
มุมที่มืดมัวมองไม่เห็นใคร
ได้ยินแค่เพียงเสียงถอนใจ
และมีแค่เพียงลมหายใจ…..”
จากนั้นความทรงจำในบทสนทนาของพี่โอ๋ที่มีต่อหลานชายอายุ 15 ก็ได้ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง
““ผมเคยฝันถึงพ่อ..แต่แค่ครั้งเดียวเอง ฝันว่าเหมือนพ่อมาบอกว่าให้ผมตั้งใจเรียน ดูแลแม่อย่าดื้อกับแม่ และก็บอกว่าพ่อไม่ได้ไปไหน พ่ออยู่ด้วยตลอด..แต่ในฝันผมไม่เห็นพ่อนะครับ แค่พอรู้สึกได้ว่าพ่อมาบอกแบบนี้“
“พ่อเสียงเหมือนอาโอ๋มั้ยครับ แม่บอกว่าเสียงพ่อกับอาโอ๋คล้ายๆ กันเวลาพูด
ผมอยากฟังเสียงอาโอ๋บ่อยๆ…“
จากนั้นท่วงทำนองและถ้อยคำของบทเพลงนี้จึงค่อยๆหลั่งไหลและถูกทักทอขึ้นมาจนกลายเป็นบทเพลงที่มีชื่อว่า “DNA” บทเพลงแห่งรักอันอบอุ่นสำหรับ
“คนที่ยังโหยหาความรักและความอบอุ่น จากคนที่เค้าไม่เคยรู้จัก…”
หลายคนเติบโตมาโดยไม่เคยได้พบกับคนที่รักและให้กำเนิดชีวิต เติบโตมาท่ามกลางมุมมืดมัว มีแค่เพียงจินตนาการพร่าเลือนถึงบุคคลผู้ให้กำเนิด
แต่ถึงอย่างนั้นเงาสะท้อนของบุคคลผู้เป็นที่รักและใฝ่ฝันถึงกลับปรากฏอยู่ในทุกร่องรอยของชีวิตเราไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การย่างเยื้อง เคลื่อนกาย หลายสิ่ง ล้วนประทับรอยความรักที่ถูกส่งผ่านมา
ความงามของบทเพลงนี้ คือการที่ทำให้เราได้มองกลับมาที่ตัวเรายิ้มเบาๆให้ตัวเองที่หน้ากระจก ก่อนที่จะพบว่ารอยยิ้มอันคุ้นเคยนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มของคนที่เรารัก ไม่ว่าเราจะเคยพบหรือไม่ก็ตาม
“DNA” คือเพลงที่เราควรใช้เวลาดำดิ่งลงไปสัมผัส เป็นเพลงที่ทำให้เราได้กลับไปพบกับความอบอุ่นจากคนที่รัก ที่ฝังความรักไว้ในกาย ในใจ ของเราตลอดไป…
แต่ก็รู้ว่าเรานั้นยังมี DNA ที่เค้านั้นฝากไว้
จะพูดจะยิ้มจะมองจะค้อนจะนอนจะเดินหรือเคลื่อนไหว
ทั้งเลือดและเนื้อและจิตวิญญาณที่ส่งผ่านมาให้เรานั้นรับไป
และเค้ายังอยู่ใกล้ๆ …ข้างใน…ตลอดไป
อ่านเรื่องเล่าเรื่องราวแรงบันดาลใจเบื้องหลังบทเพลงได้ที่ http://bit.ly/2RXseew