อาจกล่าวได้ว่า “ROMA” เป็นภาพยนตร์ที่ทะเยอะทะยานและมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดของ อัลฟองโซ กัวร็อง ผู้ที่กลั่นเอาประสบการณ์ในวัยเด็กและความประทับใจที่เขามีต่อพี่เลี้ยงในวัยเด็กของเขา ลิโบเรีย ‘ลิโบ’ โรดริเกซ หญิงชาวมิกซ์เทค ชนพื้นเมืองของเม็กซิโก ออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมที่ถ่ายทอดภาพชีวิตของผู้คนและบรรยากาศของบ้านเมืองได้อย่างเป็นธรรมชาติ และงดงามตราตรึง ที่กัวร็องลงมือเขียนบท กำกับ หรือแม้กระทั่งกำกับภาพเองด้วยการถ่ายทำหนังทั้งเรื่องด้วยภาพขาว–ดำด้วยกล้องดิจิตัลฟอร์แม็ต 65 มม. อันส่งผลอกมาเป็นงานภาพขาว-ดำแบบร่วมสมัยในยุคดิจิตัลแปลกตาออกไปจากหนังขาวดำแบบยุคฟิล์ม เป็นการบันทึกความทรงจำในอดีตผ่านสายตาของชีวิตในปัจจุบัน
“Roma” ชนะรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซปีล่าสุดและเป็นหนึ่งในลิสต์ภาพยนตร์ที่จะเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมของออสการ์ในปีนี้และยิ่งไปกว่านั้นมีการคาดการว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งหาก Roma ชนะรางวัลนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้
Roma ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ในวัยเยาว์ของกัวร็องที่เติบโตขึ้นในเมืองที่มีชื่อว่า “โรม่า” (หรือ โคโลเนีย โรม่า) อันเป็นเขตหนึ่งใน “เม็กซิโก ซิตี้” เรื่องราวถูกถ่ายทอดขนานกันไประหว่างผู้หญิงสองคน หนึ่งคือ “เกลโอ” (รับบทโดย ยาลิตซา อาปาริซิโอ) แม่บ้านของครอบครัวชนชั้นกลางอันประกอบด้วยยาย แม่ และเหล่าลูกๆจอมซนของเธอ และพ่อที่เป็นหมอซึ่งนานๆ ทีจะกลับบ้านมาทีนึง ผู้หญิงคนสำคัญอีกคนของเรื่อง คือ “โซเฟีย” (รับบทโดย มารินา เดอ ทาวิรา) นายจ้างของเกลโอ คุณแม่ลูกสี่ ที่สามีไม่ค่อยกลับบ้าน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกขับเคลื่อนท่ามกลางบรรยากาศทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของเม็กซิโกในยุค 70 อันเป็นช่วงเวลาที่ส่งผลกระทบสำคัญต่อชีวิตของชาวเม็กซิโก
บทเพลงทั้งหลายใน Roma นั้นสะท้อนสีสันและบรรยากาศของเม็กซิโกในยุคนั้นออกมาได้เป็นอย่างดี Lynn Fainchtein มิวสิคซูเปอร์ไวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เลือกที่จะให้บทเพลงเหล่านี้ส่งเสียงออกมาจากชีวิตของตัวละคร เราจะได้ยินเพลงเหล่านี้ผ่านเสียงจากวิทยุ ที่ดังออกมาจากส่วนต่างๆของบ้านหรือในรถ
เธอเองก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกับกัวร็องที่มองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนภาพในอดีตของชีวิตเธอ ดังนั้นทุกเสียงที่ส่งออกมาจึงเกิดขึ้นราวกับที่มันเคยเป็นเมื่อในอดีต มันเป็นเสียงแห่งประสบการณ์และความทรงจำ
ดังนั้นบทเพลงเหล่านี้จึงนำพาให้ผู้ชมย้อนกลับไปอยู่ในห้วงบรรกาศ อารมณ์ และความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
ทาง Sony ได้ออกอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา โดยมีทั้งหมด 19 เพลง และต่อไปนี้คือตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เราจะคัดสรรมาเป็นตัวอย่างครับ
Leo Dan, “Te He Prometido”
เพลงนี้ออกมาเป็นเพลงแรกหลังจากผ่าน title credit มา เป็นฉากที่เกลโอทำความสามารถห้องต่างๆในบ้าน
Leo Dan เป็นนักร้องเพลงป็อปคนดังของเม็กซิโก เรียกได้ว่าเป็นทอม โจนส์ของเม็กซิโกเลยก็ว่าได้
Rocío Dúrcal, “Más Bonita Que Ninguna”
เพลงนี้อยู่ในฉากที่เกลโออยู่ในห้องครัว อันเป็นหนึ่งในห้องที่เกลโอและแม่บ้านชาวเม็กซิโกใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนมันจะเป็นห้องที่มีเสียงเพลงจากวิทยุดังอยู่ตลอดเวลา และเพลงของ Rocío Dúrcal ก็มักจะดังอยู่ในห้องครัวของบ้านเรือนทั่วเม็กซิโก
Juan Gabriel, “No Tengo Dinero”
คงไม่อาจสรรหาคำใดๆมาบรรยายความดังของพ่อเทพบุตรสุดหล่อ ฮวน กาเบรียลคนนี้ได้ รู้แค่ว่าทุกคนที่โตมาในเม็กซิโกจะต้องเคยฟังเพลงของเขามาแล้วทั้งนั้น และเพลงนี้คือบทเพลงจากอัลบั้มแรกในปี 1971 ของเขา
Yvonne Elliman, “I Don’t Know How to Love Him”
หนึ่งในบทเพลงจาก Jesus Christ Superstar ที่โด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกในยุคนั้น เพลงนี้ถูกเล่นในฉากงานปาร์ตี้ แต่ในภาพยนตร์จะเป็นเวอร์ชั่นคัฟเวอร์โดยศิลปินเม็กซิโก
La Revolución de Emiliano Zapata, “Ciudad Perdida”
นี่คือสุดยอดวงร็อคแห่งยุค 70 ของเม็กซิโก “La Revolución de Emiliano Zapata” (ชื่อยาวมาก) เพลงนี้ถูกเล่นในรถตอนที่เกลโอกำลังเดินทางไปพบกับเฟรมินแฟนหนุ่มของเธอที่สนามฝึกซ้อมศิลปะป้องกันตัว
Acapulco Tropical, “Mar y Espuma”
เพลงนี้เป็นแนวดนตรีที่เรียกว่า “Tropical” อันเป็นแนวดนตรีที่นิยมเล่นกันในเม็กซิโกยุค 70 โดยมี Pasteles Verdes, Los Babys, และ Acapulco Tropical เป็นวงดังในแนวนี้ เพลงนี้ถูกเล่นในฉากร้านอาหารซีฟู้ดในช่วงท้ายของเรื่องผ่านวงดนตรีในร้าน
สามารถรับชมภาพยนตร์เรื่อง Roma ได้ในโรงภาพยนตร์และทาง NETFLIX ครับขอรับประกันความประทับใจ ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดนะครับ หากใครมีเวลาอยากแนะนำให้ไปชมในโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะได้สัมผัสบรรยากาศและอารมณ์อย่างเต็มอรรถรส นอกจากนี้ยังสามารถมาดูซ้ำต่อได้ใน NETFLIX อีกต่างหาก เยี่ยมไปเลย
ที่มา