“amo” เป็นคำในภาษาโปรตุเกสแปลว่า “(ฉัน)รัก” และ มันคือชื่อสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ของวงร็อคจากเมืองเชฟฟีลด์ ที่ได้รับการยกย่องว่าทำเพลงได้ดุเดือดถึงใจ

กลับมาคราวนี้ พวกเขามีอะไรที่พลิกความความหมาย (และคาดหวัง) จากแฟนๆมากพอดูเลยทีเดียว ด้วยการเปลี่ยนทิศทางดนตรีของวง ให้มีส่วนผสมของดนตรีแนวอื่น ที่เราอาจมองว่ามัน “เบาลง” ไม่ว่าจะเป็น ป็อป อิเล็คทรอนิค แดนซ์ ทรานซ์ หรือ ฮิปฮอป ซึ่ง Jordan Fish มือคีย์อร์ดและหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ (อีกคนคือ Oliver Sykes นักร้องนำของวง) ได้กล่าวว่านี่มันเป็น “สิ่งที่โหดหิน” ที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมาในชีวิตนี้ กับความพยายามที่จะพาวงให้ออกไปไกลกว่ารากเดิมที่ถูกผูกไว้กับคำว่า “ร็อคเมทัล” ให้มีความเป็นอัลเทอร์เนทีฟ มีส่วนผสมทางดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น ไปสู่รสชาติใหม่ๆที่ต่างออกไปจากที่เคยทำมา

เหมือนชื่ออัลบั้มก็บอกอยู่แล้วว่า amo นั้นจะเป็นอัลบั้มที่ว่าด้วยเรื่องของความรัก ในช่วงเวลาหลังจากออกอัลบั้มที่ 5 “That’s The Spirit” ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตของ Oliver นั่นก็คือ การหย่าร้างกับภรรยาของเขา ที่ต่อมามันได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายบทเพลงในอัลบั้มนี้  ซึ่งเขาก็ได้กล่าวว่า มันเป็นเรื่องง่ายมากเลยที่จะทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มเพราะไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรสุดท้ายมันก็จะมาจบลงที่เรื่องความรักอยู่นั่นเอง

ดังนั้นงานเพลงในอัลบั้มนี้จึงเหมือนกับเป็นการสะท้อนภาพวัฏจักรของความรักในแง่มุมต่างๆให้ได้เห็น

สำหรับชีวิตจริงของ Oliver มันก็เป็นเช่นนั้น รัก-เลิก เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ดับสูญและก็เกิดขึ้นใหม่  หลังจากหย่ากับภรรยาคนก่อนและได้ออกทัวร์ในอเมริกาใต้ เขาได้พบกับหญิงสาวนางหนึ่งนาม Alissa Salls ที่บราซิล ได้เดทกับเธอและคบหากันในที่สุด ดูเหมือนว่าทั้งภาษาที่ใช้ในชื่ออัลบั้มและคอนเซ็ปต์ของมันคงจะมีที่มาจากรักครั้งนี้อย่างแน่นอน


“i apologise if you feel something”

Play video

คือ แทร็คแรกจากอัลบั้มนี้ ดูจากชื่อเพลงเหมือนประหนึ่งเป็นการออกตัวขอโทษล่วงหน้าว่าหากฟังเพลงนี้แล้ว และรู้สึกว่า “เฮ้ยนี่มันอะไรกันฟระ ความเดือดดุของ BMTH หายไปไหน !!!” ก็คงต้องขออภัยด้วย เพราะเปิดมาแทร็คแรกก็เจอซาวด์แบบอิเล็คทรอนิคฟุ้งมาเลย ใครไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนอาจเหวอได้

I saw you staring out of your own abyss again

Waiting for something you’re not sure even still exists

Don’t be afraid to wonder, don’t be afraid to be scared

It should never be a prison”

เนื้อหาของเพลงนี้เหมือนเป็นการพูดกับคนรักว่า หากความรักครั้งนี้มันไม่โอเคสำหรับคุณ มันก็เป็นสิทธิของคุณที่จะเอามันคืนกลับไป เพราะความรักนั้นไม่ใช่คุกจองจำ เป็นการบอกให้เราทำตามใจปรารถนา

ในตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะเขียนเพลงนี้ให้เหมือนเป็นอินโทรของอัลบั้มเฉยๆ แต่เขียนไปเขียนมารู้สึกชอบ มันก็เลยออกมาสั้นๆอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นอินโทรกับความเป็นเพลงแบบเต็มๆและมีแต่เพียงเสียงร้องและซาวด์อิเล็คทรอคนิคเท่านั้น เหมือนเป็นการเกริ่นนำไปสู่บทเพลงที่สองคือ “MANTRA”


“MANTRA”

Play video

Do you wanna start a cult with me?

แทร็คที่สองของอัลบั้มที่มีความเป็น BMTH อยู่ชัดเจนแต่แค่ซอฟต์ๆลงหน่อย ตัวเพลงเปรียบเปรยการมีความรักเหมือนกับการเข้าลัทธิ  มันคือการที่เราทุ่มเทกายใจให้กับบางสิ่ง ทั้งความเชื่อและศรัทธาที่มอบให้โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเรารึเปล่า

ในการทำเพลงนี้ Oliver บอกว่าพวกเขาอยากจะทำให้มันมีความหนักหน่วงแต่อยากให้มันเป็นความหนักในทางที่แตกต่างจากเดิม เพราะฉะนั้นมันเลยมีความยากในการเขียนเพลงนี้ ซึ่งเขามองว่ามันเป็นหนึ่งในเพลงที่เขียนอยากที่สุดเลย กับการพยายามหาบาลานซ์ระหว่างความหนักกับความใหม่ที่อยากให้มันเป็นไป

แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากสารคดีใน Netflix เรื่อง “Wild Wild Country” อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าลัทธินาม Bhagwan Shree RAjneesh และเหล่าบรรดาสาวกของเขา

นอกจากนี้มุมมองให้เรื่องความรักที่ Oliver มียังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับเพลงนี้ด้วย

“การเริ่มความสัมพันธ์ โดยเฉพาะการแต่งงานกัน คล้ายดั่งการตั้งลัทธิ เป็นลัทธิของชายหญิงคู่หนึ่ง เพราะว่าคุณจะต้องมอบกายถวาีวิตให้กับใครคนนั้นอย่างสุดจิตสุดใจ คุณต้องเชื่อ ต้องรัก อย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ว่าคุณจะเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์นี้ก็ตาม”


“nihilist blues (feat. Grimes)”

Play video

I’ve been climbing up the walls

To escape the sinking feeling

But I can’t hide from the nihilist at my door

บทเพลงฟีเจอริ่งเพลงแรกของอัลบั้ม ได้ “Grimes” นักร้องนักแต่งเพลงแนว art-pop สาวจากแคนาดามาร่วมฟีเจอริ่งด้วย เป็นบทเพลงที่พูดถึง nihilism หรือลัทธิสุญนิยม ซึ่งเป็นลัทธิที่ไม่เชื่อถือในอะไรทั้งสิ้น และมีแนวโน้มที่จะทำลายในทุกสิ่งที่คนยึดถือทั้งศาสนา กฏหมาย คติความเชื่อใดๆในสังคม โดยมุ่งเป้าที่ไปที่ความไร้แก่นสารของชีวิตและวิกฤติแห่งการดำรงอยู่ของตัวตน

Grimes

Oliver ได้เล่าถึงที่มาของเพลงนี้ที่เขาบอกว่าเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเขาว่า “เราได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Grimes ที่บอกว่าชอบวงของพวกเรา ซึ่งภรรยาของผมก็คลั่งไคล้เธอมากและเธอบอกว่า Grimes คงไม่มาทำเพลงกับพวกเราหรอก เธอไม่เคยร่วมงานกับใครเลย แต่จนแล้วจนรอดในที่สุดเธอก็ได้ฟังเพลงนี้ เธอฟังไปได้แค่เพียง 30 วินาทีเธอก็หยุดและบอกว่า ‘โอเค งั้นให้ฉันลุยมันต่อเลย’ การที่เธอตอบรับมันเป็นอะไรที่สุดๆจริงๆ”

ในด้านดนตรีนั้น “nihilist blues”  ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงดิสโก้ในอดีตและแนวดนตรี EDM  อย่างเช่นพวกเพลงยูโรแดนซ์ในยุค 90


In The Dark”

Play video

In the dark, in the dark

Ooh, I’ve done it again

Dug a little deep and it’s all caved in

Now, I free fall in a black hole

I know I’m getting warm ’cause I feel so cold

In The Dark คือเพลงที่ป็อปที่สุดเพลงหนึ่งจากอัลบั้มนี้ และเป็นเพลงป็อปๆที่มาเป็นแทร็คแรกของอัลบั้ม เนื้อหาของเพลงพูดถึงคนที่พบว่ากำลังถูกคนรักนอกใจอยู่ ซึ่ง Oliver ได้หยิบเอาเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองและภรรยาคนก่อน Hannah Snowdon ที่นอกใจเขาและไปมีความสัมพันธ์กับ Guy Le Tatooer ซึ่ง Hannah ก็ได้ออกมาบอกว่า Oliver เองก็เคยนอกใจเธอหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สัมพันธ์รักครั้งนี้จึงสิ้นสุดลงภายในหนึ่งปีหลังจากที่ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน

เพลงนี้เป็นการพยายามทำในสิ่งใหม่ๆของ BMTH ซึ่งพวกเขากำลังพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการทำในสิ่งที่อยากลองทำดูและในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการปฏิเสธฐานแฟนๆเดิมไปด้วย


“Wonderful Life” (feat. Dani Filth)

Play video

‘Lone, getting high on a Saturday night

I’m on the edge of a knife

Nobody cares if I’m dead or alive

Oh, what a wonderful life

ซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้มนี้ ที่มาพร้อมท่วงทำนองอันหนักหน่วงแบบเมทัลซึ่งน่าจะสะใจเหล่าสาวกของ BMTH เนื้อหาว่าด้วยเรื่องของคนที่มีความทุกข์ใจและรู้สึกว่าไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมองว่าโลกนี้มันมีความสวยงามอยู่ เป็นคนที่โอกอดความเศร้าไว้แต่ก็เพลินใจได้กับชีวิตประจำวันอันแสนมืดหม่น

เพลงนี้ได้ Dani Filth นักร้องนำจากวงแบล็คเมทัลสายโหด Cradle of Filth  มาร่วมฟีเจอริ่งด้วย 

Dani Filth

Oliver เขียนเนื้อเพลงนี้จบภายในวันเดียว โดยปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นความรู้สึกจากข้างใน ที่รู้สึกว่าในบางช่วงของชีวิตตัวเองก็เป็นคนที่น่าเบื่อและรู็สึกได้ถึงเสียงเรียกร้องอันบ้าคลั่งที่อยู่ข้างใน เขาบอกว่าหากทุกวันนี้ไม่ได้ออกทัวร์ เขาก็คงย้ายไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่การได้ทัวร์มันทำให้เขาได้เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศ ไปเจอเรื่องราวใหม่ๆ นั่นทำให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป


“Ouch”

Play video

I always knew this is gonna end in tears

Didn’t think your wrists would keep a souvenir

And I thought that I had heard it all

Till I heard your lover screaming down the phone

“ouch” คือ แทร็คที่เหมือนกับเป็น interlude เพื่อที่จะส่งต่อไปเพลงต่อไปคือ “medicine” ในเพลงนี้เนื้อหาก็ยังพูดถึงเรื่องการถูกนอกใจจากอดีตภรรยา Hannah Snowdon อยู่

ส่วนในด้านดนตรีเพลงนี้ก็มาเป็นอิเล็คทรอนิคแบบเต็มๆเลย


“medicine”

Play video

You need a taste of your own medicine

‘Cause I’m sick to death of swallowing

Watch me take the wheel like you, not feel like you

Act like nothing’s real like you

So I’m sorry for this, it might sting a bit

ตอนที่ปล่อยซิงเกิ้ลนี้ออกมาเล่นเอาแฟนๆเหวอกันไปเลย ด้วยความป็อปของมัน แต่อย่างไรก็ดีมันก็เป็นเพลงที่น่าสนใจทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหา

“medicine”  เป็นซิงเกิ้ลที่สามจากอัลบั้มนี้ และเหมือนจะเป็นอีกเพลงหนึ่งที่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์กับ Hannah Snowdon (นี่จะเอาให้หมดทุกเพลงเลยใช่มั้ย) โดยการเปรียบเปรยว่ารักร้ายๆก็เหมือนยาพิษ ที่กัดเซาะชีวิตเราไปทีละนิด เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราถอยออกมา และมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นนับจากนั้น

ส่วนในด้านดนตรีก็มาในแบบของอิเล็คทรอนิคป็อปฟังหวานหูอย่างเต็มที่ ช่างขยี้ใจชาวเมทัลจริงๆ (55)


“sugar honey ice & tea”

Play video

Sugar, honey, ice, and tea

Sugar, honey, ice, and tea

(Yeah, everybody’s full of)

Sugar, honey, ice, and tea

Sugar, honey, ice, and tea

แทร็คนี้ดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในแทร็คที่หนักหน่วงที่สุดของอัลบั้มนี้  ความเด็ดของมันคือส่วนผสมของกีตาร์ริฟฟ์และภาคดนตรีที่หนักแน่นกับการร้องเสียงหลบ (falsetto) ในท่อนฮุค ที่มาในส่วนผสมของดนตรีเฮฟวี่และกลิ่นอายของบริทป็อป แถมตัวเพลงยังเพิ่มความเดือดขึ้นเรื่อยๆ จน Oliver ร้องสำรอกออกมาในช่วงท้ายเพลง ช่างเท่จริงๆเพลงนี้

เพลงนี้น่าจะหลุดพ้นจากเรื่องรักๆเลิกๆแล้ว และหันมาพูดเรื่องของสังคมโลกบ้าง โดยเป็นเพลงที่สะท้อนมุมมองของคนที่ใจแคบและไม่เปิดกว้างยอมรับความคิดความคิดหรือความเชื่อของคนอื่นๆ

ส่วนที่มาของคำว่า “Sugar honey ice and tea” นั้นแท้จริงแล้วมันซ่อนความหมายอันสุดพีคเอาไว้อยู่ เพราะเมื่อเราเอาตัวอักษรขึ้นต้นของแต่ละคำมาเรียงกันมันจะได้คำว่า “shit” เหมือนจะสะท้อนมุมมองร้ายๆว่า คนเรานี้ในหัวก็มีแต่ “Shit!”  แต่เพื่อให้มันเป็นมิตรหน่อยก็เลยซ่อนเอาไว้ในประโยค  “Sugar honey ice and tea” ซึ่ง Oliver ได้เล่าว่า

“ท่อนคอรัสที่ร้องว่า  “Sugar honey ice and tea” นั้นจริงๆแล้วมันมาจากคำที่พ่อผมมักใช้แทนคำสบถเวลาหัวเสีย เพลงนี้มันพูดถึงสิ่งที่โลกเราเป็น สิ่งที่เราเป็น คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมหมายถึงอะไร? เราทุกคนต่างสู้เพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่อยากจะสนใจในความคิดหรือมุมมองของคนอื่น มันช่างน่าตลกจริงๆ”

ซึ่งคำว่า “Sugar honey ice and tea” นี่ก็ชวนให้คิดเหมือนกันว่ามี reference มาจาก Madagascar รึเปล่า เพราะมันเป็นประโยคที่เจ้าม้ามาร์ตี้พูดในฉากนี้ ซึ่งความหมายมันก็คือ “SHIT” เหมือนกันนี่ล่ะ แต่จะให้พูด SHIT ในการ์ตูนเด็กมันก็กระไรอยู่ 555

Play video


“why you gotta kick me when i’m down?”

Play video

But tell me, why you gotta kick me when I’m down?

นี่คือ BMTH ในรูปแบบของแร็ปเปอร์ การร้องแร็ป บีทฮิปฮอป และท่วงทำนองหน่วงแน่นจากดนตรีอิเล็คทรอนิค แถมยังมีเสียงร้องประสานจากกลุ่มนักร้องประสานเสียงเด็กๆอีกต่างหาก เพลงโหดที่มันมีเสียงเด็กประสานนี่มันช่างแนวจริงๆ Oliver เล่าถึงที่มาของเพลงนี้ไว้ว่า

“ผมเคยเล่นเพลงนี้ให้เพื่อนๆผมฟังครั้งหนึ่ง พวกเราในวงจะมีกลุ่มเพื่อนนอกวงที่เราเชื่อใจให้เป็นที่ปรึกษาในการทำเพลง และเมื่อผมเล่นเพลงนี้ให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาและบอกว่านี่มันโหดเฮฟวี่ที่สุดเท่าที่เคยฟังมาเลย มันไม่ใช่เพลงเฮฟวี่ด้วยกีตาร์ แต่มันเป็นเฮฟวี่แบบผู้ดี “urban heavy” ดูจากปฏิริยาของเพื่อนๆแล้วมันทำให้ผมต้องรีบกลับมาบอกกับเพื่อนในวงว่า เฮ้พวก ! เราต้องทำมันให้เสร็จแล้วว่ะ”

ส่วน Jordan Fish ก็เล่าถึงที่มาของเนื้อหาในเพลงว่า

“มันเป็นเพลงที่ Oli พูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าแฟนเพลง และความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อ Oli และชีวิตส่วนตัวของเขา  ส่วนเสียงร้องประสานก็มาจากเหล่าเด็กๆในละแวกบ้านของผม มันทำให้ผมคิดถึงเพลง  “It’s a hard knock life.”ของ Pink Floyd เลย

ซึ่งกลุ่มนักร้องประสานเสียงในเพลงนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Choir Noir และ Brightwalton Primary School Choir ในอังกฤษ


“fresh bruises”

Play video

Don’t you try to fuck with me

Don’t you hide your love

แทร็ค interlude ที่สามของอัลบั้ม  “fresh bruises” เป็นเพลงอิเล็คทรอนิคที่มาพร้อมเบสอันหนักหน่วง ตึ้บ ตึ้บ และมีการใช้แซมเปิ้ลอินโทรเพลง “Can You Feel My Heart” ในท่อน bridge ด้วย

ส่วนเนื้อเพลงก็เท่มาก ร้องวนไปเวียนมาอยู่แค่สองประโยคนี่ล่ะ และก็น่าจะเป็นเรื่องของ Oli ที่พูดถึงคนรักของเขานั่นล่ะ  ซึ่ง Oliver ได้เล่าถึงการทำเพลงเพลงนี้ว่า

“มันเป็นเพลงที่มาแบบธรรมชาติมากเลย แค่เรารู้สึกว่าอยากทำเพลงแบบนี้ เพลงที่ไม่มีโครงสร้างแบบท่อน verse chorus verse chorus และเต็มไปด้วยซาวด์อิเล็คทรอนิค ซึ่งเพลงแนวนี้่วนใหญ่ที่ผมฟังก็จะเป็นแบบนี้ มันจะวนๆไปมามีท่อน drop และ buildup  เพลงนี้ไม่ได้เป็นแบบ EDM แต่เป็น lo-fi อิเล็คทรอนิค อวองการ์ด ผมรู้สึกเท่มากเลยที่ได้ทำเพลงที่อิสระอะไรแบบนี้”


mother tongue”

Play video

So don’t say you love me; fala, “amo”

Just let your heart speak up, and I’ll know

แทร็คนี้น่าจะเป็นแทร็คที่ป็อปหวานหูที่สุดในอัลบั้มนี้แล้ว ก็จะไม่ให้หวานได้อย่างไรก็เพราะมันเป็นเพลงที่ Oliver แต่งให้กับภรรยาคนล่าสุดของเขา Alissa Salls แม่หญิงชาวบราซิลนั่นเอง

Mother Tongue แปลว่าภาษาแม่ ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของภาษาแต่มันสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความคิด สังคม วัฒนธรรมและตัวตนของคนคนนั้น ซึ่งคำว่า “amo” ที่ใช้เป็นชื่ออัลบั้มนั้นมาจากภาษาโปรตุเกสซึ่งเป็นภาษาแม่ของ Salls นั่นเอง ดังนั้น amo จึงเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่เกี่ยวข้องกับความรัก และ มันก็เกิดขึ้นได้จากความรักที่ Oliver มีต่อ Salls นั่นเอง หรือพูดง่ายๆก็คือ อัลบั้มนี้พี่ Oliver นั้นทำขึ้นเพื่ออุทิศให้กับภรรยาคนนี้นั่นเอง (มิน่าหล่ะพี่ถึงอยากจะป็อปกับอัลบั้มนี้เหลือเกิน)

Alissa Salls หวานใจนาย Oliver Sykes

ซึ่ง Oliver ได้เล่าถึงที่มาของเพลงนี้ไว้ว่า

เพลงนี้มันเป็นเพลงรักที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุดที่ผมเคยเขียนมาเลย มันเป็นเพลงที่เขียนได้ง่ายมากเพราะว่ามันเป็นเรื่องสวยงาม อารมณ์บวก และมันเกี่ยวข้องกับการพบกันครั้งแรกของผมกับภรรยาชาวบราซิล

ตอนนั้นเธอไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ และเธอก็พูดภาษาโปรตุเกสได้ดีกว่าผมมาก แต่ในตอนนั้นแรกที่เราพบกันผมรู้สึกว่าเรามีบางสิ่งที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างแรงกล้า มันเป็นช่วงเวลาที่บ้ามากเลย และเพลงนี้ก็พูดถึงช่วงเวลานั้นซึ่งมันติดอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ผมเขียนออกมาได้อย่างง่ายๆเลย”

หวานซะ

ภาพคู่หวานๆ


heavy metal (feat.Rahzel)”

Play video

And I keep picking petals

I’m afraid you don’t love me anymore

‘Cause a kid on the ‘gram in a Black Dahlia tank

Says it ain’t heavy metal

(And that’s alright, that’s alright)

“heavy metal” เป็นเพลงที่ Oliver ใช้สื่อสารไปถึงแฟนๆกลุ่ม “ฮิปสเตอร์ทั้งหลายที่บ่นอุบพอรู้ว่าวงจะเปลี่ยนแนวทางมาป็อปขึ้น โดยเขาอยากให้แฟนๆลองฟังเพลงนี้ดูก่อนตัดสิน หากฟังครั้งแรกแล้วมันไม่ใช่ก็ให้ฟังรอบต่อๆไป เชื่อว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องเซอร์ไพรซ์และรู้สึกได้ถึงความเป็น BMTH ที่ยังคงมีอยู่อย่างแน่นอน

เพลงนี้ได้ “Rahzel” ตัวจริงเรื่องบีทบ็อกซ์จากวง The Roots มาฟีเจอริ่งด้วย ซึ่งเพลงนี้ทางวงได้ทำเป็นเดโมมานานแล้ว ซึ่งบีทของเพลงให้ความรู็าึกเหมือนกับเป็นบีทบ็อกซ์จริงๆ ก็เลยคิดว่าถ้าได้คนทำบีทบ็อกซ์ตัวจริงมา มันก็คงเจ๋งเลย พอเห็นฝีไม้ลายมือการบีทบ็อกซ์ของ Rahzel จากวีดิโอคลิปทั้งหลายที่แชร์กันในโลกอินเทอร์เน็ตก็เลย ติดตามดูอยู่และชวนมาฟีเจอริ่งกันในที่สุด

Rahzel


i don’t know what to say”

Play video

นี่คือแทร็คที่ชอบมากที่สุดของอัลบั้มนี้เลย ทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหา ความเท่ของเพลงนี้คือการผสมกันระหว่าง ออเครสตร้าเครื่องสาย กีตาร์อะคูสติคและความเป็นเมทัล โดยมีแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนของ Oliver ที่ชื่อว่า  Aidan ซึ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โดย Oliver ได้จินตนาการถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่หากเขาได้อยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้ในวินาทีนั้น เขาจะพูดกับเพื่อนว่าอะไร

มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมาเพราะว่าในตอนนั้นผมไม่ได้ไปอยู่เคียงข้างเขาในช่วงเวลาสุดท้าย มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกันนะเวลาคิดถึงมันเพราะว่า เราจะพูดอย่างไรได้กับคนที่กำลังจะตาย ? คุณไม่สามารถไปบอกกับเขาได้หรอกว่าทุกอย่างจะโอเคทั้งๆที่มันไม่โอเคเลย เรื่องราวในเพลงนี้มันคือสิ่งที่บอกว่าเพื่อนผมคนนี้กล้าหาญแค่ไหน ลองคิดดูสิว่าคุณจะตื่นขึ้นและลุกออกจากเตียงทุกวันทั้งๆที่มีสิ่งหนาหนักกำลังรุมเร้าตัวคุณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้อย่างไร”

เพลงนี้มีความสมบูรณ์ทางอารมณ์มาก เสียงเครื่องสายปะทะด้วยซาวด์ดนตรีร็อคอันหนักแน่น ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ กล้าหาญ  มันคือความ epic ! อย่างแท้จริง

You said the world’s already full enough

Of defeated people and you would not be one

Always a choice to move yourself along

And find better and I hope that’s where you are

Yeah, I know that’s where you are

 

ที่มา

https://genius.com/albums/Bring-me-the-horizon/Amo

https://www.nme.com/music-interviews/bring-me-the-horizon-amo-new-album-watch-full-track-by-track-lyrics-meaning-2438430

https://www.nme.com/news/music/bring-me-the-horizon-on-their-emotional-new-album-amo-everything-boils-down-to-love-in-the-end-2370874

https://killyourstereo.com/reviews/1104777/bring-me-the-horizon-amo/

http://rawpowermanagement.com/bring-me-the-horizon/