คงไม่เกินไปนักหากจะบอกว่าบอดี้สแลมเป็นวงดนตรีวงแรกและวงเดียวในประเทศไทย ณ ขณะนี้ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ได้ด้วยการรวมเอาคนกว่า 100,000 คนในสองวันมารวมกันในสนามราชมังคลากีฬาสถานเพื่อสร้างประสบการณ์สุดประทับใจร่วมกันและสัมผัสรับพลังผ่านบทเพลงและร่วมร้องร่วมเต้นไปกับ 5 หนุ่ม Bodyslam ตูน , ปิ๊ด , ยอด , ชัช , โอม
จากการเดินทางกว่า 17 ปีและผลงานอีกเจ็ดอัลบั้ม Bodyslam ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพวกเขาคือวงดนตรีร็อคตัวจริงแห่งประเทศไทยที่ยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างภาคภูมิ และในคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่แฟนๆ รอคอยกว่าแปดปีหลังจากครั้งล่าสุด Bodyslamไลฟ์อินคราม ที่จัดขึ้น ณ สนามราชมังคลากีฬาสถานเช่นเดียวกัน ครั้งนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วยสิ่งที่เกินกว่าคำสัญญา แต่ว่าเป็นพลังใจและไฟฝันที่พร้อมจะส่งให้กับแฟนๆ ได้สนุกไปพร้อมกันและเก็บมันกลับบ้านไป เพื่อเป็นแรงพลังในการใช้ชีวิตต่อไป
และนี่คือหลากเรื่องราวความประทับใจที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ของ Bodyslam “M150 Presents BODYSLAM FEST วิชาตัวเบา LIVE IN ราชมังคลากีฬาสถาน”
1. เป็นการแสดงคอนเสิร์ตที่อาจกล่าวได้ว่ามีจำนวนผู้ชมมากที่สุดในประเทศไทย
หนึ่งวัน 60,000 กว่าคน รวมกันสองวันกว่าแสนคน ซึ่งบัตรถูกขาย Sold Out ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเริ่มจำหน่าย ซึ่งการที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมากอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการหาที่จอดรถ ปัญหารถติด และการจับจองที่นั่งอยู่บ้าง (เนื่องจากบัตรไม่มีการระบุที่นั่ง) แต่หากเทียบกับความสนุกที่ได้รับจากการมีเพื่อนร่วมชมพร้อมๆกันจำนวนมากขนาดนี้ ที่มาด้วยใจรักใน Bodyslam เหมือนกัน ร่วมเพลิดเพลิน ร่วมร้องร่วมเต้นไปกับบทเพลงของ Bodyslam ด้วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยแบ่งปันกันก็นับว่าคุ้มและน่าประทับใจเลยล่ะ
2. มีการคัดเลือกวงดนตรีให้ได้มาร่วมเล่นในโซน Festival
ก่อนงานเริ่ม หลายวง (เกือบทุกวงเลยก็ว่าได้) เป็นวงที่เราไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อนแต่พวกเขาก็ได้รับโอกาสที่จะได้แสดงในงานคอนเสิร์ตของ Bodyslam ซึ่งรวมไปถึงคุณครูน้อยขาร็อค กิตติชัย พันธมาศ คุณครูโรงเรียนวัดลาดประทุมคงคาราม ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักจากคลิปเล่นกีตาร์ไฟฟ้าในเพลงไม่มีเธอ ของวง Retrospect โดยมีนักเรียนโยกหัวเป็นสีสันอยู่ด้านหลัง ก็ได้ขึ้นเวทีมาร่วมร็อคไปกับวง Sweet Mullet ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ด้วย
3.ทุกคนจะได้รับของที่ระลึกเป็นปิ๊คกีตาร์ที่มีข้อความว่า Bodyslam Fest วิชาตัวเบา
หลังจากผ่านด่านตรวจและได้ผูกสายรัดข้อมือแล้วทุกคนจะได้รับของที่ระลึกเป็นปิ๊คกีตาร์ที่มีข้อความว่า Bodyslam Fest วิชาตัวเบา และเชื่อเลยว่าหลังจากนั้นคนส่วนใหญ่จะต้องทำในสิ่งนี้ คือถ่ายภาพปิ๊คโดยมีสนามกีฬาราชมังฯเป็นฉากหลังและโพสต์ลง facebook ของตัวเอง
4. ระหว่างรอเริ่มคอนเสิร์ตได้มีการเปิดคลิปที่ให้แฟนๆ ได้อัดไว้ในงาน
เพื่อเปิดเผยความในใจและความรู้สึกที่มีต่อวงบอดี้สแลม โดยฉายให้ได้รับชมในสนามก่อนงานเริ่มบางคลิปก็เรียกน้ำตา บางคลิปก็เรียกเสียงฮา นอกจากนี้ยังมีการใช้กล้องแอบส่องผู้ชมในงานที่มาเป็นคู่และฉายภาพขึ้นจอ พร้อมขึ้นกราฟิคท้าทายให้แสดงความรักด้วยการ “จูบเลย” บางคู่ก็แอบหลบกล้อง บ้างอายม้วนติ้ว บ้างก็กล้ารับคำท้าทาย บ้างก็ทำบ้าเอาฮาไปเลย ทำให้เรียกเสียงฮาและเสียงหัวเราะได้อย่างน่ารักอีกด้วย
5. การจัดเวทีถือว่าทำออกมาได้ดี
มีการใช้จอภาพที่ทำฉากขึ้นมาเป็นกรอบวงกลมวางไว้ตรงกลางแลดูคล้ายดวงตา ซึ่งในระหว่างที่เล่นคอนเสิร์ตภาพบางส่วนก็ได้ถูกฉายขึ้นมาเพื่อช่วยเล่าเรื่องของบทเพลงทั้งตอนก่อนและในระหว่างกำลังบรรเลงบทเพลงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการใช้โดรนถ่ายภาพมุมสูงและส่งตรงให้ดูบนจอด้านข้างทั้งสอง ทำให้เห็นมุมมองที่สวยงามจากด้านบน
6. เป็นคอนเสิร์ตที่คุ้มมากๆ
มีการเล่นอย่างต่อเนื่องกับบทเพลง 34 เพลง (วันแรกจะมากกว่าวันที่สองหนึ่งเพลงคือ เพลง “ความหมาย” ที่เล่นในช่วงท้ายส่งแฟนๆกลับบ้าน) ในเวลากว่า 4 ชั่วโมง แบบเต็มที่ไม่ต้องมีอังกอร์โดยแบ่งเพลงออกเป็นช่วงๆ ประมาณได้ว่ามี 3 ช่วง
ช่วงแรกเป็นเพลงที่บอกเล่ามุมมองและความเป็นตัวตนของพี่ตูนและ Bodyslam เช่น “แสงสวรรค์” “คราม” “เสี้ยววินาที” “ใคร คือ เรา” (มีนักแสดงขึ้นมาร่วมแสดงบนเวทีกว่า 60 ชีวิต)“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง”“ชีวิตเป็นของเรา”“เวลาเท่านั้น” (เป็นเพลงที่เพราะมากแต่ไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มใดเพราะทำให้กับรายการ Perspective), “ท่านผู้ชม” (ช่วงแรกของเพลงมีการเรียบเรียงใหม่ได้อารมณ์มาก), “เปราะบาง” และ “เตรียมตัวตาย” รวมไปถึงบทเพลงที่ร่วมแจมกับแขกรับเชิญสองคนคือ พี่โจ้ โจอี้บอย ในเพลง “ไม่แก่ตาย” และ “ความเชื่อ” แล้วคั่นด้วย “ความรักทำให้คนตาบอด”“ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ”“ความรัก” แล้วจึงต่อด้วยแขกรับเชิญคนที่สอง ปาล์มมี่ ในบทเพลง “นิรันดร์” และ “คิดฮอด” จากนั้นจึงต่อพาร์ทที่มีเครื่องสายจากวงออเคสตร้ามาแจมด้วย เพลงในช่วงนี้ก็มี “ครึ่งๆ กลางๆ”“ขอบฟ้า”“ความฝันกับจักรวาล” ที่อลังและได้อารมณ์แกรนด์มากๆ (ลุ้นตั้งแต่ฟังเวอร์ชั่น Grandslam แล้วว่าเพลงนี้ถ้าเล่นสดจะต้องสุดแน่นอน) ต่อด้วย “ชีวิตยังคงสวยงาม” ที่ถือว่าเป็นหนึ่งไฮไลท์ของงานด้วยการเล่นทะเลดาวและคลื่นแสงจากไฟแฟลชบนโทรศัพท์มือถือของพวกเรา บอกเลยว่าสวยมาก ไม่เคยเห็นคอนเสิร์ตไหนทำอะไรที่งดงามแบบนี้มาก่อน เชื่อเลยครับว่า “ชีวิตยังคงสวยงาม”จริงๆ
ช่วงที่สอง วงขยับมาเล่นตรงส่วนที่ยื่นออกมาจากเวทีหลัก ใกล้ชิดกับผู้ชมมากขึ้นและเพลงก็ touching มากขึ้น เป็นเพลงมีอารมณ์เศร้า เหงา เปราะบาง ละมุน สนุก อาทิเช่น “ทางกลับบ้าน” “ปลายทาง” “ไม่รู้เมื่อไหร่” “สักวันฉันจะดีพอ” และ“เสียดาย” ( เพลงของพี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ที่ทางวงนำมาคัฟเวอร์ในอัลบั้ม Play) เป็นต้น
ช่วงที่สาม กลับมาเล่นที่เวทีหลักอีกครั้งพร้อมเพลงอันเป็นหัวใจของสิ่งที่ Bodyslam อยากสื่อสารออกไปผ่านอัลบั้มนี้ “วิชาตัวเบา” ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของงานด้วยการที่พี่ตูนถือกล้องวีดิโอวิ่งลงไปเก็บภาพรอยยิ้มของผู้ชมและทีมงานที่ช่วยให้งานในครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
ตอนแรกคิดว่าจะจบคอนเสิร์ตด้วยเพลงนี้เสียอีก แต่ก็แอบคิดในใจว่ายังมีเพลงเด่นอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้เล่น แล้วก็จริงๆด้วยเมื่อเข้าสู่ช่วงกระหน่ำอารมณ์ส่งท้าย เริ่มด้วย “ผักบุ้งลอยฟ้า” ที่ได้ กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มาร่วมแจม ต่อด้วย “ดัม-มะ-ชา-ติ” ที่ต้องบอกว่าเวอร์ชั่นนี้ขนลุกมากจากการเกริ่นโหมโรงเข้าสู่บทเพลงโดยกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ รวมไปถึงการแร็ปอย่างดุดันในระหว่างเพลงอีกด้วย ต้องเรียกว่า เดือด! ปุดๆเลยล่ะเวอร์ชั่นนี้ จากนั้นจึงต่อด้วย “149.6” และ 3 เพลงฮิต “ยาพิษ”, “อกหัก” และแน่นอน “แสงสุดท้าย” เป็นการส่งท้ายคอนเสิร์ตอย่างงดงามสมเป็น Bodyslam จริงๆ ทั้งสนุกสุดมันและเปี่ยมไปด้วยความหวังและพลังใจ
เรียกได้ว่ามีการวางสคริปต์ที่ดี มีการไล่อารมณ์และคัดเลือกเพลงวางต่อกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ต้องชื่นชม พี่กบ Big Ass โชว์ไดเร็คเตอร์ และ พี่อ๊อฟ Big Ass มิวสิคไดเร็คเตอร์ของงานในครั้งนี้ด้วย
7. หนึ่งในไฮไลท์ที่น่าประทับใจคือ แขกรับเชิญที่มาร่วมแจมบนเวทีได้สร้างความประทับใจอย่างเต็มที่ทุกคน
เริ่มที่พี่โจ้ โจอี้บอยเป็นคนแรกกับเพลง “ไม่แก่ตาย” ผลงานจากอัลบั้ม “วิชาตัวเบา” ที่พี่โจอี้ บอยมา feat. กับ Bodyslam งานนี้ โจอี้ บอยแร็ปเปอร์ระดับตำนานของเมืองไทยปรากฏตัวบนเวทีในชุดคลุมเก๋ๆของเวอร์ซาเช่ พร้อมมาดเท่ๆ เป็นการประกาศศักดาของคนทีไม่ยอมแกตายอย่างแน่ๆ ซึ่งโจอี้ บอยก็แร็ปได้เท่และมันมากๆ จากนั้นก็ต่อด้วยเพลง “ความเชื่อ” ซึ่งความเชื่อเวอร์ชั่นนี้ได้ไปเกินจินตนาการเลย ไม่คิดว่าเพลงนี้พอใส่ท่อนแร็ปแล้วจะมันได้ใจขนาดนี้ น่าเอามาทำเป็นอีกเวอร์ชั่นแล้วปล่อยเป็นซิงเกิ้ลจริงๆ และก่อนจะลงจากเวทีพี่โจ้ก็ได้เข้าไปสวมกอดพี่ตูนแทนแฟนๆชาวไทยทั้งหลายปิดท้ายได้อย่างประทับใจ
แขกรับเชิญคนที่สองคือ ปาล์มมี่ที่มาในชุดสีขาวล้วน คู่กันกับชุดสีดำของพี่ตูนราวหยิน-หยาง และแน่นอนเป็นตามคาดกับการร้องเพลงร่วมกันในเพลง “นิรันดร์” แต่ที่เกินคาดคือ ปาล์มมี่ร้องหมอลำ !!! และร้องได้เพราะมากด้วยในเพลง “คิดฮอด” ผลงานสุดล้ำจากอัลบั้ม “คราม” ที่ผสมผสานร็อคกับหมอลำเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่คิดเลยว่าปาล์มมี่จะร้องหมอลำได้ดีขนาดนี้ เรียกว่าทำเอาเราม่วนอีหลีไปเลย
และแขกรับเชิญคนสุดท้ายก็คือ กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ที่เคยมาร่วมแจมบนเวทีกับบอดี้สแลมที่ราชมังฯ ใน live in คราม มาแล้ว แต่คราวนั้นมาพร้อมกับอุ๋ย บุดดาเบลส ส่วนคราวนี้ได้มาในฐานะผู้ feat. ในเพลง “ผักบุ้งลอยฟ้า” ซึ่งกอล์ฟยอมรับว่ากดดันมากๆ เพราะกลัวไปทำงานเสีย แต่ด้วยการเตรียมตัวมาอย่างดีและทุ่มเทอย่างเต็มที่ อีกทั้งได้แรงบันดาลใจจากท่อน “หนักก็เพราะยังเก็บ เจ็บก็เพราะยังคิด” ในเพลง “วิชาตัวเบา”ของพี่ตูนก็เลยบรรลุเคล็ดลับวิชาและแสดงออกมาอย่างเต็มที่ แฮปปี้ ไร้กังวล ส่วนผู้ชมอย่างเราก็ต้องบอกว่า กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ คือส่วนหนึ่งของงานนี้ที่ทำให้ความประทับใจเราอิ่มเต็ม ทั้งการแร็ปใน “ผักบุ้งลอยฟ้า” และ ใน “ดัม-มะ-ชา-ติ” ที่น่าขนลุกและตื่นใจ ยิ่งใหญ่มากๆ (อ่านบันทึกความในใจของ กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ได้ใน Nattawut Srimhok)
8. รวมช่วงไฮไลท์อื่นๆที่น่าประทับใจของงานในครั้งนี้
เริ่มจากเพลง “คราม” ที่พี่ตูนหยุดเล่นกลางคันแล้วขอให้ผู้ชมละสายตาจากโทรศัพท์และหันมาให้ความสำคัญกับวินาทีที่อยู่ตรงหน้า มากกว่าที่จะคอยยกกล้องถ่าย และมัวแต่แชร์ไปให้คนอื่น จนลืมความสนุกที่กำลังโอบล้อมตนเอง โดยพี่ตูนได้บอกว่า
“บางครั้งเราก็ต้องเห็นแก่ตัวบ้าง เห็นแก่ตัวเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขความสนุก ไม่ใช่ในมือถือแต่ในเมโมรี่ที่สำคัญที่สุด มันอยู่ในนี้ครับผม (ชี้ไปที่สมอง)”
ซึ่งแฟนๆ ก็ทำตามแต่โดยดี จากนั้นเสียงดนตรีก็กลับมาบรรเลงอีกครั้งอย่างสุดพลังคราวนี้เป็นแฟนเพลงร่วมร้องร่วมโดด ปลดปล่อยพลังออกไปอย่างเต็มที่แบบไม่มียั้งและไม่ให้เหลือแรงกลับบ้านกันไปเลย
ไฮไลท์ต่อมาเกิดขึ้นในรอบวันอาทิตย์ที่ 10 เมื่อพี่ตูน ให้แฟนๆ ส่งเสียงให้กำลังสมาชิกแต่ละคนในวง จนมาถึงพี่ชัช มือกลองผู้เปรียบดั่งกระดูกสันหลังของวง พี่ตูนได้เล่าว่าตลอดระยะเวลา 2 เดือนของการฝึกซ้อม พี่ชัช ซ้อมหนักมาก หนักขนาดที่ว่าเลือดออกที่มือทุกวัน ทำเอาพวกเราสาวก Bodyslam ปรบมือดังกึกก้องทั่วราชมังฯ และในขณะนั้นเองภาพก็จับไปที่พี่ชัชที่กำลังหลั่งน้ำตากลางเวที ซึ่งเป็นภาพที่พวกเราประทับใจกันมาก เป็นน้ำตาของลูกผู้ชายคนดนตรีที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อแฟนเพลงของ Bodyslam ทุกคน
“คลื่นทะเลดาว” คือไฮไลท์ต่อมาของงานนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเล่นเพลง “ชีวิตยังคงสวยงาม” ที่ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ของการเล่นคอนเสิร์ตในเมืองไทยด้วยการให้แฟนๆ ร่วมเล่นไฟแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ เริ่มจากการเล่นไฟติด ไฟดับ จากความมืดปรากฏเป็นทะเลดาวพราวแสงระยับงาม จากนั้นภาพที่สุดจินตนาการก็เกิดขึ้น ด้วยการเล่นเวฟด้วยไฟแฟลชจากโทรศัพท์มือถือเป็นคลื่นทะเลดาวอันเกิดจากผู้ชม 60,000 กว่าคน ที่พร้อมใจกันสร้างภาพแห่งความประทับใจในครั้งนี้ ที่งดงามราวหิ่งห้อยน้อยใหญ่ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางผืนคลื่นทะเลที่เคลื่อนคล้อยจากมุมหนึ่งไปสู่มุมหนึ่งก่อนที่จะย้อนกลับไปมาอย่างงดงาม เรียกได้ว่าเป็นระบบแสงสีเสียงของเวทีคอนเสิร์ตที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อเลยแม้แต่บาทเดียว แค่เพียงใช้ความสามัคคีและพลังความสนุกที่มีร่วมกันเท่านั้นเอง
ส่วนไฮไลท์อีกช่วงเกิดขึ้นในเพลง “วิชาตัวเบา” เมื่อพี่ตูน ถือกล้องวีดิโอวิ่งลงไปเก็บภาพรอยยิ้มของผู้ชมและทีมงานที่ช่วยให้งานในครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ทำให้เราได้เห็น คุณก้อย รัชวิน หวานใจตัวจริงของพี่ตูนที่คอยมาให้กำลังใจอยู่เสมอทั้งในคอนเสิร์ตทุกครั้งและวิ่งเคียงข้างกันไปในโครงการ ก้าวคนละก้าว รวมไปถึงหัวเรือสำคัญคือ พี่กบ Big Ass โชว์ไดเร็คเตอร์และ พี่อ๊อฟ Big Ass มิวสิคไดเร็คเตอร์ของงานผู้เปรียบเสมือนผู้กำกับของงานในครั้งนี้ที่ทั้งวางสคริปต์และเรียงร้อยเรื่องราวออกมาอย่างงดงามรวมทั้งรังสรรค์สุ้มเสียงอันไพเราะให้พวกเราได้เสพย์รับไปอย่างเต็มอรรถรส
9. ความประทับใจท้ายคอนเสิร์ต
ตอนจบคอนเสิร์ตของวันที่ 9 พี่ตูนส่งท้ายด้วยเพลง “ความหมาย” บทเพลงรักซึ้งความหมายดีๆปิดท้ายอัลบั้ม “วิชาตัวเบา” เป็นการส่งแฟนเพลงกลับบ้านไปอย่างประทับใจ ส่วนในวันที่ 10 หลังจากแสดงเสร็จและทั้งวงได้เดินมาขอบคุณแฟนๆที่กลางเวทีแล้ว พี่ตูนได้ลงไปแจกของที่ระลึกให้กับแฟนเพลงพร้อมของที่ระลึกสุดพิเศษคือรองเท้าไนกี้คู่เก่งที่ใช้เล่นบนเวทีคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ใครที่ได้รับไปคงไปนอนกอด นอนพริ้มยิ้มแก้มปริไปเลย
10. “ก็มาด้วยกัน” เรื่องราวของมิตรภาพบนเส้นทางแห่งความฝัน
หลังจากการแสดงได้จบลงในวันต่อมาก็ได้มีการแชร์เรื่องราวมิตรภาพระหว่างพี่ตูนและพี่เภาบนโลกโซเชี่ยล ที่ทำเอาเราน้ำตาคลอ โดยพี่เภา อดีตมือกีตาร์ Bodyslam และเพื่อนรักของพี่ตูน ได้โพสต์ภาพที่ทั้งคู่คุยไลน์ด้วยกัน โดยพี่เภาได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของพี่ตูนที่ในวันนี้ได้มาไกลเกินฝัน ส่วนพี่ตูนก็ตอบกลับมาอย่างซาบซึ้งว่า มาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะมาด้วยกัน ยังจำเรื่องราวในวันเหล่านั้นได้ดี
และนี่คือเรื่องราวความประทับใจที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ที่ถึงจะจบลงไปแล้วแต่เรายังรู้สึกว่าพลังที่ได้รับมามันยังอยู่ข้างในอยู่เลย ถึงแม้ต่อไปในเวลาที่เราใช้ชีวิต ในบางครั้งที่เราล้ม ท้อถอยหรือผิดหวัง พลังเหล่านั้นอาจจะลดน้อยถอยลงไปบ้างแต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้กลับมาฟังบทเพลงของ Bodyslam อีกครั้ง พลังเหล่านั้นก็จะกลับลุกโชนขึ้นมาเติมเต็มได้อีกและเราจะรอคอยต่อไปไม่ว่านานเท่าไหร่กับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งต่อไปที่จะมาถึง แล้วเราจะกลับมาส่งแรงพลังกันอีกครั้ง มาปลดปล่อยพลังใจไปด้วยกันกับบทเพลงของวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่และสุดประทับใจวงนี้ Bodyslam
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก