งานนี้ถึงกับมีว้าวกับความสำเร็จอันล้มหลามของ “Shallow” บทเพลงรักประกอบภาพยนตร์เรื่อง “A Star Is Born” อันว่าด้วยเรื่องราวของความฝันและความสัมพันธ์ระหว่าง นักดนตรีมากประสบการณ์ แจ็คสัน (แบรดลีย์ คูเปอร์) ที่พยายามผลักดันให้แอลลี่ (เลดี้ กากา) ศิลปินสาวผู้ที่กำลังจะยอมล้มเลิกความฝัน ได้กลับมามีพลังในก้าวเดินอีกครั้ง  จากนั้นทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นพลังให้แก่กันและกัน  ซึ่งดารานำทั้งสองคนนี่เองที่เป็นผู้ขับร้องเพลงนี้ จนได้รับรางวัลอย่างท่วมท้นทั้ง Best Original Song จากเวทีลูกโลกทองคำ Best Pop Duo/Group Performance และ Best Song Written for Visual Media จากเวทีแกรมมี่อวอร์ด และล่าสุดหมาดๆกับรางวัลออสการ์สาขา Best Original Song

รางวัลที่ “Shallow” ได้รับตลอดฤดูกาลการมอบรางวัลทั้งหลายนี้ รวมทั้งสิ้น 32 รางวัล ทำให้เพลงนี้ทำลายสถิติเพลง “Formation” ของบียอนเช่ และกลายเป็นเพลงที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเพลง

เพลงนี้แต่งโดย เลดี้ กากา , มาร์ค รอนสัน (Mark Ronson), แอนโธนี่ รอสโซมานโด( Anthony Rossomando) และ แอนดรูว์ วายแอต (Andrew Wyatt) ซึ่งก่อนหน้านี้ กากากับรอนสันเคยร่วมงานกันมาแล้วในอัลบั้ม Joanne(2016) ของกากา

กากาบอกว่าเธอตั้งใจแต่งเพลงนี้เพื่อตัวละคร แอลลี่และแจ็ค เพื่อบอกเล่าความปรารถนาและแรงผลักดันของทั้งคู่ที่พยายามดิ่งลึกลงไปให้สุดทาง ข้ามผ่านผิวพื้นอันตื้นเขินของชีวิตและความฝัน

ส่วนในเรื่องการร้องนั้นกากาคงไม่มีปัญหาเป็นแน่ แต่คนที่ต้องกุมขมับหน่อยนึงก็คือ คูเปอร์เองที่ไม่ใช่นักร้องอาชีพแต่ต้องมารับบทเป็นศิลปินตัวจริงก็เลยต้องใช้เวลากว่าปีครึ่งในการฝึกซ้อมร้องเพลงเพื่อที่จะได้รับบทแจ็คสันและร้องเพลงนี้แบบสดๆ ซึ่งก็ต้องชื่นชมและบอกว่าคูเปอร์ทำได้ดีเลยทีเดียว

และเพื่อให้เข้าถึงบทเพลงนี้อย่างลึกซึ้ง ต่อไปนี้คือการทำความเข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้งในเนื้อหาของบทเพลงแบบประโยคต่อประโยค

[Verse 1: Bradley Cooper]

Tell me somethin’, girl

Are you happy in this modern world?

Or do you need more?

Is there somethin’ else you’re searchin’ for?

แจ็คนั้นรู้ว่าแอลลี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์และเธอเองก็อยากแสดงมันออกมา เขาจึงเป็นคนแรกที่เห็นค่าและพยายามนำพาให้เธอออกมาจาก comfort zone เพื่อที่จะไล่ล่าตามหาฝันของเธอ Tell me somethin’, girl / Are you happy in this modern world?  ถ้อยคำในท่อนนี้แสดงถึงการที่แจ็คถามแอลลี่ว่าทุกวันนี้เธอมีความสุขจริงๆรึเปล่าและพยายามโน้มน้าวให้แอลลี่ทำในสิ่งที่เธอปรารถนา Or do you need more? / Is there somethin’ else you’re searchin’ for?  เพราะเขาเชื่อว่ามีบางสิ่งที่เธอต้องการซุกซ่อนอยู่ภายใน

[Refrain: Bradley Cooper]

I’m fallin’

In all the good times

I find myself longing for change

And in the bad times, I fear myself

คำว่า fallin’ ในท่อนนี้อาจสื่อถึงปัญหาที่อยู่ภายในตัวของแจ็คสันนั่นก็คือการติดเหล้าและไลฟ์สไตล์แบบร็อคสตาร์ที่นำพามาแต่ปัญหา ซึ่งในการต่อมาเราจะเห็นว่าทั้งสองต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แจ็คสันช่วยให้แอลลี่ได้เดินตามฝัน ส่วนเธอก็ช่วยแจ็คสันให้ข้ามผ่านสงครามภายในตัวของเขา

[Verse 2: Lady Gaga]

Tell me something, boy

Aren’t you tired tryna fill that void?

Or do you need more?

Ain’t it hard keepin’ it so hardcore?

เนื้อเพลงท่อนนี้มีการล้อกับเนื้อเพลงท่อนแรกที่แจ็คสันร้อง เป็นในลักษณะการถามออกไปเช่นเดียวกัน

“fill that void” นั้นแปลว่า “เติมเต็มช่องว่าง” ในท่อนนี้แสดงให้เห็นว่าแอลลี่มองเห็นปัญหาที่มีในตัวของแจ็คสันทั้งภาวะติดเหล้าและปัญหากับครอบครัว เธอเลยถามเขาว่าเธอเหนื่อยไหมกับการพยายามไขว่คว้าเพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น Or do you need more? / Ain’t it hard keepin’ it so hardcore? ซึ่งนับวันมันมีแต่จะมากขึ้น มากขึ้น หนักหน่วงขึ้นทุกที แอลลี่ได้ถามคำถามเหล่านี้กับแจ็คสันตั้งแต่คืนแรกที่ทั้งคู่พบกันนั่นทำให้แจ็คสันหวั่นไหวเพราะแอลลี่เป็นคนเดียวที่เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเขา

[Refrain: Lady Gaga]

I’m fallin

In all the good times

I find myself longing for change

And, in the bad times, I fear myself

และแอลลี่ก็ร้องในท่อนเดียวกันกับแจ็คสัน เพื่อเชื่อมโยงเธอกับเขาเข้าด้วยกัน ว่าเธอนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน

[Chorus: Lady Gaga]

I’m off the deep end, watch as I dive in

I’ll never meet the ground

Crash through the surface where they can’t hurt us

We’re far from the shallow now

ในท่อนนี้แอลลี่พูดถึงการพยายามก้าวข้ามปัญหาหรือข้อจำกัดที่เคยทำให้เธอติดอยู่กับความตื้นเขิน (Shallow) และมิอาจพุ่งดิ่งลงไปสุดขั้วความลึกซึ่งหมายถึงไปให้สุดทางฝันนั่นเอง

ในคืนแรกที่แอลลี่พบกับแจ็คสัน เธอบอกเขาว่ารูปร่างหน้าตาของเธอโดยเฉพาะจมูกทำให้เธอไกลห่างจากความสำเร็จ เธอบอกว่าทุกคนชอบเสียงของเธอแต่ไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่แจ็คสันกลับตอบเธอกลับไปว่า “ผมคิดว่าคุณสวย”  แจ็คสันรักในตัวตนของเธอในสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ และนับแต่วินาทีนั้นทั้งคู่ก็กำลังก้าวไปสู่ความลึกซึ้งของชีวิตและความฝัน ห่างไกลจากความตื้นเขินเหล่านั้นWe’re far from the shallow now”

เหมือนดังในตอนหนึ่งที่ Rez ผู้จัดการของแอลลี่พยามโน้วน้าวให้เธอร้องเพลงป็อปทั่วๆไป แจ็คสันบอกว่ามันช่างไม่มีจิตวิญญาณและช่าง “shallow” เสียจริงๆ คำว่า “Shallow” ซึ่งเป็นชื่อของเพลงจึงถูกใช้ในความหมายของสิ่งอะไรก็ตามที่ไม่ลึกซึ้ง หรือ สิ่งที่กีดขวางเราจากความฝันนั่นเอง

แท้จริงหากมองผิวเผินเพลงนี้ก็อาจเป็นเพลงรัก ที่พูดถึงเรื่องรัก การ “fallin’” หรือตกหลุมรักใครสักคนและพยายามพาความสัมพันธ์ไปให้ไกลกว่านั้น  แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาเพื่อหนังเรื่องนี้ เป็นแกนกลางในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครนำทั้งคู่ มันจึงมีความหมายมากกว่านั้น  ซึ่งไอเดียแรกของเพลงนี้ไม่ใช่เพลงร้องคู่เสียด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นความสำคัญของมันในการเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารและบอกเล่าความสัมพันธ์ของแอลลี่และแจ็คสัน ความงดงามมันอยู่ตรงนี้นั่นเอง

ดังที่ เลดี้ กากาได้เคยพูดถึงเพลงนี้ไว้ว่า ความงดงามของเพลงนี้อยู่ที่ความเป็นบทสนทนาอย่างเปิดเผยระหว่างชายและหญิง

“บทสนทนาทำให้เพลงนี้มีความงดงามและประสบความสำเร็จ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ผู้คนร้องไห้เวลาได้ยินมัน…เพราะมันได้ทำให้เราเห็นถึงการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ได้เห็นว่าพวกเขาได้รับฟังซึ่งกันและกัน”

และนี่แหละคือความงดงามอัน “ลึกซึ้ง” ของบทเพลงที่มีชื่อว่า “Shallow”

Play video

“Shallow” จากบนเวทีออสการ์

Play video

ที่มา

Genius

Cosmopolitan

Goodhousekeeping

Vulture