เป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าและช็อกของวงการดนตรี เมื่อ“คีธ ฟลินต์” นักร้องนำแห่งวงดนตรีแนวอีเล็คโทรนิค The Prodigy ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 49 ปี เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาโดยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ที่บ้านของ ฟลินต์ ในเอสเซ็กซ์ ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน
เลียม ฮาวเล็ตต์ มือกีตาร์และผู้ก่อตั้งวง The Prodigy ได้ยืนยันข่าวเศร้าครั้งนี้และแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเพื่อนรักว่า “ข่าวนี้เป็นความจริงครับ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคีธ พี่น้องของเราจะพรากชีวิตตัวเองไปในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมทั้งรู้สึกช็อก โกรธ สับสนและหัวใจสลายเลยครับ”
“คีธ ฟลินต์” คือนักร้องนำของวง The Prodigy ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้บุกเบิก, สร้างสรรค์ และเป็นตำนาน” ของวงการดนตรีอย่างแท้จริง เขามักปรากฏตัวบนเวทีด้วยรูปลักษณ์ของชาวพังค์ ไม่ว่าจะเป็นผมทรงโมฮ็อก หรือแยกเป็นกระจุกสองข้างย้อมสีแสบสัน เขียวบ้าง ส้มบ้าง รอยสักตามตัวที่มีทั่วไปหมด ทาขอบตาสีดำ และชอบแลบลิ้นยาวแฮ่ออกมา ซึ่งกลายเป็นภาพจำไปเลย
ก่อนหน้าที่ฟลินต์จะเข้ามาร่วมวง The Prodigy ได้ออกผลงานมาแล้ว 2 อัลบั้มโดยในช่วงนั้นทิศทางเพลงจะเป็นไปในแนวทางที่ฟังง่ายและมีซินธิไซเซอร์เป็นองค์ประกอบอยู่มาก แต่เมื่อฟลินต์เข้ามาในอัลบั้มที่สาม The Fat Of The Land ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อวงแต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปสู่วงการดนตรีโลกด้วย
ด้วยความเกรี้ยวกราด ความหลอน ล่องลอย ท่วงทำนองอันหนักหน่วงของดนตรี Break Beat (1) การผสมผสานกันระหว่างดนตรีแนวอีเล็คโทรนิค พังค์และเสียงร้องบวกลีลาของฟลินต์ ทำให้บทเพลงของ The Prodigy ก้าวไปสู่จุดสูงสุด อันมีเพลง “Firestarter” เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มที่สาม และเป็นซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาที่ไต่ขึ้นสู่อันดับที่หนึ่งของ UK Singles ชาร์ต ส่วนอัลบั้มนั้นไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 1 ของ UK Chart และBillboard และฮิตไปยังประเทศออสเตรเลีย แคนาดา และสวีเดน จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็ค่อยๆขจรกระจายไปทั่วโลก
The Prodigy เคยมาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศแถบอาเซียนและบ้านเรา เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2015 หลายคนที่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ยังคงไม่ลืมความประทับใจที่ได้รับจากคอนเสิร์ตในครั้งนั้น
“คีธ ฟลินต์” ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ถางทางและพาดนตรีอิเล็คทรอนิคแดนซ์ไปสู่พรมแดนใหม่ เป็น icon ของชาวเรฟ (2) โดยแท้จริง
การผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างดนตรีอินดัสเทรียล เรฟ เบรคบีท ฮาร์ดคอร์ ดีทรอยต์เทคโน และ ชิคาโก เฮ้าส์ ผสานเข้ากับเสียงร้องและพลังการสื่อสารอันล้นเหลือของฟลินต์ ทำให้บทเพลงของ The Prodigy พุ่งผ่านด้วยความพลุ่งพล่านสู่ใจของแฟนเพลงทั่วโลก
และต่อไปนี้คือ 10 บทเพลง ของพวกเขา The Prodigy ที่จะทำให้พวกเราจดจำไม่มีวันลืม
10 ‘Smack My Bitch Up’
เพลงนี้น่าจะเป็นที่คุ้นหูใครหลายๆคน มันเป็นหนึ่งในเพลงที่มีคนพูดถึงมากมาย ทั้งชื่นชอบชื่นชมและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางลบว่าส่งเสริมความรุนแรงที่มีต่อผู้หญิง รวมไปถึงตัว MV ที่ถูกแบนเพราะมีเรื่องของยาเสพย์ติดและความรุนแรง
ซึ่งเนื้อเพลงของเพลงนี้มีแค่สองประโยคเท่านั้นเอง คือ Change my pitch up / Smack my bitch up ซึ่งไอ้ท่อนหลังกับชื่อเพลงนีล่ะที่เป็นปัญหา เพราะถ้าให้แปลกันตรงๆแล้วก็แปลว่า “ซ้อมเมีย”นั่นล่ะ ซึ่งทางวงก็ได้ออกมาชี้แจงแถลงไขว่า ต้องการจะสื่อถึงการทำอะไรอย่างสุดๆเท่านั้น
สุดมากจนติดอันดับเพลงที่อื้อฉาวที่สุด อันดับ 1 ของ PRS for Music โพลเลย
9 ‘Run with the Wolves’
เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มที่ห้าของวง Invaders Must Die ซึ่งได้ เดฟ โกรล แห่ง Foo Fighters มาตีกลองให้ และมีการใช้แซมเปิ้ลจากเพลง “So Refined” ของ Senser เพลงนี้ถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Hall Pass”ในปี 2011 ที่เจ๋งสุดเลยคือมิวสิควีดิโอนั้นมาจากการประกวดของแฟนๆ ซึ่งเอ็มวีตัวที่ชนะก็ถูกนำไปเผยแพร่เป็น official mv เลย
8 ‘Wild Frontier’
เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม The Day Is My Enemy (2015) โปรดิวซ์โดย Chase & Status และ KillSonik เพลงนี้ได้แสดงเอกลักษณ์ของวงผ่านซาวด์ซินธ์สุดเท่ ไลน์เบสและบีทแน่น และแน่นอนเสียงร้องของฟลินต์
ส่วน MV สร้างสรรค์โดยนักแอนิเมเตอร์สายอนาล็อคชาวดัตช์ Mascha Halberstad
7 ‘No Good (Start the Dance)’
ถึงแม้ คีธ ฟลินต์ จะไม่ได้ร้องเพลงนี้ เพราะมันมาจากอัลบั้มที่สอง Music for the Jilted Generation แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นหนึ่งบทเพลงสำคัญของวง ด้วยดนตรีเบรกบีทและซาวด์แดนซ์ชวนโยก
6 ‘Omen’
ซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้มที่ห้า Invaders Must Die อันเป็นไฮไลท์ของอัลบั้มนี้เลย
5 ‘Ibiza (featuring Jason Williamson)’
อีกหนึ่งงานที่น่าจดจำกับการฟีเจอริ่งกับ Jason Williamson นักร้องนำจากวงอิเล็คทรอนิกพังค์จากอังกฤษ “Sleaford Mods” ที่ออกมาแล้วมันส์สุดๆ
4 ‘Charly’
บทเพลงจากอัลบั้มแรกของวง “Experience” ตอนนั้นซาวด์ยังไม่หนักหน่วงเท่ายุคที่ คลินต์เข้ามา สังเกตได้จากซาวด์จะมีความน่ารักๆอยู่ รวมไปถึงเสียงเด็กพูดและเสียงร้องเมี้ยวๆนั่นด้วยที่ยิ่งเพิ่มความน่ารักเข้าไปใหญ่
3 ‘Breathe’
อีกหนึ่งบทเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดของวงมาจากอัลบั้มที่สาม The Fat of the Land ที่ฟลินต์เข้ามาร่วมด้วยเป็นครั้งแรก
ส่วน MV นั้นก็เฮี้ยนสุดๆ มาทั้งจระเข้ และแมลงน่ากลัวๆยั้วเยี้ยไปหมด บรึ๋ยส์ !!!
2. ‘Out of Space’
สมกับชื่อเพลงเลย ฟังซาวด์แล้วก็เหมือนจะลอยออกไปยังอวกาศ แต่อยู่ดีๆก็ถูกดึงมาโจ๊ะด้วยท่วงทำนองแบบเร็กเก้ เออมันก็เพลินๆนัวๆดีนะ เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่น่าจดจำจากอัลบั้มแรก Experience
1.‘Firestarter’
ที่หนึ่งมันต้องเพลงนี้ นี่คือเพลงแจ้งเกิดของฟลินต์และของ The Prodigy เลย ไม่มีอะไรจะพีคไปกว่านี้แล้ว มันคือตัวแทนความเป็น The Prodigy อย่างแท้จริงและมันจะเป็นบทเพลงที่ทำให้เราระลึกถึง คีธ ฟลินต์ เสมอเมื่อได้ฟังมัน
R.I.P. KEITH FLINT (1969-2019)
(1) เบรกบีต ( Breakbeat) เป็นแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ ที่พัฒนาในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มักจะแสดงลักษณะพิเศษโดยการใช้จังหวะที่ไม่ตรงจังหวะกลองแบบแผน 4/4 (ที่ไม่ยอมรับจังหวะแน่นอนของดนตรีเฮาส์และแทรนซ์) จังหวะเหล่านี้อาจเป็นลักษณะพิเศษในการใช้การลัดจังหวะดนตรีและการเล่นจังหวะหลายรูปแบบซ้อนกัน
(2) เรฟ (Rave) เป็นงานสังสรรค์ใหญ่หรืองานเทศกาลที่เล่นโดยดีเจและบางครั้งก็มีผู้เล่น เปิดเพลงอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ แนวเพลงที่เล่นได้แก่ เฮาส์ แทรนซ์ เทคโน ดรัมแอนด์เบส ฮาร์ดคอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย มีการควบคุมด้วย การแสดงแสงเลเซอร์ เครื่องฉายภาพ สีแท่งเรืองแสง และเครื่องทำหมอก
วัฒนธรรมเรฟ ส่วนใหญ่เริ่มจากงานสังสรรค์ดนตรีแอซิดเฮาส์ ในช่วงกลางถึงปลายยุค 1980 ในเขตชิคาโกในสหรัฐอเมริกาหลังจากศิลปินชิคาโกเฮาส์เริ่มประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังสหราชอาณาจักร แผ่นดินใหญ่ยุโรป ออสเตรเลียและส่วนที่เหลือของประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มา
http://www.miximag.net/?p=922&fbclid=IwAR1-CbDQUB_uFQBek2jTzf9s4JKHcFK6ejgQrbcMaK69iYPD9CGmqpnwMY0
https://www.nme.com/list/the-prodigy-their-10-best-songs-1219
https://en.wikipedia.org/wiki/Breakbeat