[สัปดาห์นี้มีอะไรฟัง] ในสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมนี้ เรามีอัลบั้มออกใหม่ดีๆมาฝากเพื่อนถึง 4 อัลบั้มด้วยกันครับ ซึ่งก็มีทั้งอัลบั้มแรกของศิลปินหน้าใหม่ อัลบั้มใหม่ของศิลปินหน้าเก่า และอัลบั้มเก่ามาออกใหม่ของศิลปินรุ่นเก๋า จะมีอัลบั้มไหนของใครบ้างนั้นเราไปดูกันเลยครับ
BTTB (20th Anniversary Edition) – Ryuichi Sakamoto
BTTB คืออัลบั้มสุดคลาสสิคของ ริวอิจิ ซากาโมโต นักดนตรีและนักประพันธ์เพลงชื่อดัง ผู้บุกเบิกแนวดนตรีอิเล็คโทรป็อปร่วมกับสมาชิกวง Yellow Magic Orchestra มาตั้งแต่ยุค 70 และ เป็นผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมมากมาย และเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง The Last Emperor รวมไปถึงงานเพลงในแนวทดลองทั้ง Glass ที่ทำร่วมกับ Alva Noto หรือ async ผลงานอัลบั้มล่าสุดของซากาโมโต และหากใครประทับใจในบทเพลงอันอ่อนหวาน ละมุนเศร้าที่มีชื่อว่า “Merry Christmas Mr.Lawrence” ของผู้ชายคนนี้แล้วล่ะก็ อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
BTTB คืออัลบั้มเพลงในปี 1999 ของซากาโมโต โดย BTTB นั้นย่อมาจาก back to the basics ซึ่งเป็นวลีที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี มันเป็นงานเดี่ยวเปียโนของซากาโมโต ที่ผสมผสานกันไปทั้งความงดงามรุ่มรวย ความมินิมัล “น้อยแต่งามนัก” รวมไปถึงบทเพลงแนวทดลอง “แบบซากาโมโต” ก็มีให้ฟังในอัลบั้มนี้ด้วย และด้วยปีนี้เป็นปีครบรอบปีที่ 20 ของอัลบั้มนี้ทาง Milan Records ก็เลยออก 20th anniversary edition ออกมาเพื่อให้แฟนๆทั่วโลกได้รับฟังและจับจองกันเป็นเจ้าของ เพราะ original edition ในตอนนั้นแทบจะหาซื้อนอกประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เลย ซึ่งในเวอร์ชั่นปี 1999 นั้นมีทั้งหมด 14 เพลงแต่ใน edition นี้เหมือนเป็น director cut ที่ซากาโมโตบรรจงเลือกสรรเพลงมาใส่ไว้ในอัลบั้มจนเรียกได้ว่าสมบูรณ์สมดังตั้งใจหมาย รวมกันเป็น 18 เพลง ที่ลงตัวและกลมกล่อมพร้อมครบทุกรส ซึ่งมีทั้ง “Snake Eyes” เพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ บทเพลงในซาวด์แบบนิวเอจที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ดราม่า “Energy Flow” เพลงโซโล่เปียโนหวานเศร้าสุดสมูธที่มีท่วงทำนองชวนจดจำ รวมไปถึง งานทดลองซาวด์เสียงน้ำอย่าง”Uetax” ที่นำไปสู่บทเพลงที่สอดคล้องกันอันมีชื่อว่า”Aqua” งานดนตรีเศร้าเหงาลึกในท่วงทำนองแบบคลาสสิค เป็นต้น
ฟัง BTTB (20th Anniversary Edition) – Ryuichi Sakamoto
Sucker Punch-Sigrid
อัลบั้มเปิดตัวของศิลปินสาววัย 22 จากนอร์เวย์ ที่ครบเครื่องเรื่องเพลงป็อป ในอัลบั้มนี้คุณจะได้ฟังเพลงป็อปดีๆ ที่มีองค์ประกอบที่ชวนให้คิดถึง อเดล โคลด์เพลย์ แอนนี่ เลนนอกซ์ และดูอา ลิป้า แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เสียงสูง สดใส และดูบ้านๆ ติดดิน
Sucker Punch คืออัลบั้มเพลงป็อป ที่ผสานรสชาติของอิเล็คโทรป็อป และซินธ์ป็อป ในแนวทางของเพลงป็อปชั้นดีที่พร้อมไปไต่ทุกชาร์ท และ Sigrid เองก็มีความชัดเจนในแนวทางของตัวเองมาก การแสดงออก ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง การแต่งกาย การเขียนเพลง บ่งบอกความเป็นตัวตนอันเป็นธรรมชาติของเธออย่างชัดเจน เธอบอกว่าอัลบั้มนี้เธอรู้ดีว่ามันควรไปในทางไหน เพราะมันคงยากที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่เธอ เพราะฉะนั้นมันคงเป็นการง่ายกว่าที่จะทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง ในแบบที่เป็นตัวเอง เพื่อที่จะได้จดจำตัวเองในแบบที่เป็นจริงๆ
Sigrid เริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินตั้งแต่ปี 2016 เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างตั้งแต่ปล่อยซิงเกิ้ล “Don’t Kill My Vibe” ในปี 2017 จนวันนี้สองปีล่วงเลยก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิต โดยมีซิงเกิ้ลฮิตๆที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ทั้ง “Don’t Kill My Vibe“, “Strangers“, “Sucker Punch” และ “Don’t Feel Like Crying“ เพลงในสไตล์ยูโรป็อป กับทางเดินคอร์ดที่ชวนให้คิดถึงเพลงของโคลด์เพลย์ รวมไปถึงเพลงที่เราแนะนำอยากให้ฟังอย่าง ‘In Vain’ เพลงบัลลาด ช้าๆเพราะๆ ที่เธอร้องด้วยสำเนียงดิบๆส่งอารมณ์ท่ามกลางการบรรเลงจากกีตาร์ รายละเอียดไม่รกเรื้อ แถมเหลือเฟือไปด้วยอารมณ์
ฟัง Sucker Punch-Sigrid
This Land- Gary Clark jr
หลายคนอาจคิดว่า Gary Clark jr เป็นคนผิดยุค เขาน่าจะไปเกิดในยุค 60 70 ป่านนี้เขาคงกลายเป็นกีตาร์ฮีโร่แถวหน้าของวงการแน่ๆ เพราะชาวร็อคเลือดบลูส์จากเท็กซัสคนนี้ พร้อมที่จะขยี้ใจของคุณด้วยสำเนียงการโซโล่กีตาร์สุดร้อนแรงของเขา แต่เราว่าดีแล้วที่เขาเกิดในยุคนี้ เพราะมิเช่นนั้นแล้วอาจจะไม่มีเพลงแบบนี้ให้เราได้ฟัง ท่ามกลางอัลบั้มมากมายที่แทบจะหาสำเนียงกีตาร์แบบนี้ฟังไม่ได้แล้วในทุกวันนี้
Gary Clark jr มาด้วยแรงพลังและความมุ่งมั่นที่จะผลักดันแนวดนตรีโมเดิร์นบลูส์ให้มีที่ทางของมันและส่งเสียงออกไปไกลกว่าเดิม ซึ่ง “This Land” สตูดิโออัลบั้มลำดับที่สามของ Gary Clark jr ก็ได้ทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยวัย 35 ปีที่ผ่านโลกมาประมาณหนึ่งครึ่งคน และประสบการณ์ทางดนตรีที่มีอย่างโชกโชนตั้งแต่เริ่มเล่นดนตรีในวัยเยาว์ทำให้ คลาร์ค กลั่นเอาประสบการณ์และมุมมองของตนถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงเพื่อสะท้อนสังคม ความขัดแย้ง และปัญหาทั้งหลายประดามี โดยเลือกแนวทางแบบดิบ ตรง มากกว่าที่จะปรุงแต่งใดๆ ซึ่งสอดประสานไปด้วยกันได้ดีกับจิตวิญญาณอันลุ่มลึกของเพลงบลูส์ อันกังวาลส่งเสียงแห่งประวัติศาสตร์ และเรื่องราวทางสังคมอเมริกันได้อย่างลุ่มลึก
บทเพลงทั้ง 15 เพลง (bonus track อีก 2) ในอัลบั้มนี้จะพาคุณไปพบกับบทเพลงดีๆ ทั้งเนื้อหาและทางดนตรี ที่มีรากเป็นบลูส์แต่ผสมไปด้วยกลิ่นอายทางดนตรีที่หลากหลายทั้ง ร็อค ฟังก์ อาร์แอนด์บี เร็กเก้ เมทัล ฮิปฮอป เป็นต้น หลากหลายแต่ลงตัวแบบนี้ฟังไม่มีเบื่อเลยล่ะ
ฟัง This Land- Gary Clark jr
Everything Not Saved Will Be Lost Part 1 – Foals
Everything Not Saved Will Be Lost – Part 1 เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ห้าของวงบริติชร็อคจากอ็อกซ์ฟอร์ด “Foals” โดยอัลบั้มนี้เป็นพาร์ทแรกของโปรเจ็คส์อัลบั้มคู่ โดยอีกอัลบั้มจะออกราวๆปลายปีและมีชื่อว่า Everything Not Saved Will Be Lost – Part 2
อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกที่ขาดสมาชิกคนสำคัญตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวงไป คือ มือเบส Walter Gervers ซึ่งแทนที่วงจะหาสมาชิกใหม่เข้ามาแทนในตำแหน่งนี้ พวกเขากลับเลือกที่จะพาวงไปในแนวทางใหม่ ด้วยการใช้ซินธิไซเซอร์มาเล่นเป็นไลน์เบสที่ขับเคลื่อนด้วยซาวด์ซินธ์แทน ทำให้ได้สีสันทางดนตรีแปลกใหม่ในทิศทางที่น่าสนใจ
งานในอัลบั้มนี้มีความคล้ายกับงานเดบิวต์ “ Antidotes” ที่มีกลิ่นของ match rock แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับงานไหนๆของวงเลย คิดดูว่าเวลาฟังเพลงในอัลบั้มนี้ศิลปินที่ชวนให้เราคิดถึงก็มีทั้ง Tom Tom Club , Tears for Fears ไปจนถึงศิลปินแนวทดลองอย่าง ฟิลลิป กลาส หรือริวอิจิ ซากาโมโต เลย
“Exits” คือซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้มนี้ ด้วยซาวด์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ทันสมัย ทรงพลัง ที่ทำให้แฟนๆได้รู้ว่าอัลบั้มนี้จะมาแนวไหน
ท่ามกลางปัญหาร่วมสมัยที่กำลังครุกรุ่น ทั้งภายนอกอย่างปัญหาโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเมืองที่ไม่มั่นคง และ ภายในอย่างปัญหาของจิตใจและความขัดแย้งในมิติต่างๆ เพลงของ Foals คือซาวด์แทร็คที่เหมาะสมสำหรับสิ่งเหล่านี้เหลือเกิน
ภาพปกของอัลบั้มสร้างสรรค์จากฝีมือของศิลปินชาวเอกวาดอร์นนาม Vicente Muñoz ถ่ายโดยใช้อินฟราเรดฟิล์ม เพื่อสะท้อนปัญหาระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ส่วนชื่ออัลบั้ม “Everything Not Saved Will Be Lost” นั้นได้มาจากนวนิยายชื่อ The End Games ของ T. Michael Martin ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก ข้อความในหน้า quit เกมของ Nintendo ที่บอกว่าถ้าไม่ได้เซฟได้ข้อมูลจะหายไป ซึ่งต่อมาข้อความ “Everything Not Saved Will Be Lost” ได้กลายเป็น meme ในวัฒนธรมป็อป ทั้งโผล่อยู่ในหน้าแรกของเว็บ Reddit ถูกใช้เป็นชื่อนิทรรศการศิลปะ หลายต่อหลายครั้ง และถูกแชร์ไปบนโลกโซเชียลอย่างแพร่หลาย
ฟัง Everything Not Saved Will Be Lost – Part 1