ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่ามีความคึกคักพอสมควร อัลบั้มที่ออกใหม่ มีความน่าสนใจมาก ทั้งอัลบั้มเปิดตัวของศิลปินอินดี้ที่น่าสนใจมากๆอย่าง Stella Donnelly และ SASAMI หรือมีทั้งศิลปินที่ออกผลงานมาหลายอัลบั้มและเรารู้จักกันดีอย่าง Dido หรือออกผลงานมาหลายอัลบั้มแต่แฟนเพลงบ้านเราอาจยังไม่ค่อยรู้จักนักอย่าง Helado Negro ที่ผลงานดีสุดๆ นอกจากนี้ยังมีการกลับมาอีกครั้งของ Epik High ! ที่บอกเลยว่าพีคมาก อีกทั้งยังมีอัลบั้มที่สองของ CHAI ที่ปีนี้น่าจะมีคอนเสิร์ตในบ้านเราด้วย เราไปดูรายละเอียดของแต่ละอัลบั้มและรีบไปฟังกันเลยดีกว่าครับ
Beware of the Dogs – Stella Donnelly
สเตลล่า ดอนเนลลี่ เป็นศิลปินจากเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ชื่อเสียงเรียงนามของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปล่อย EP Thrush Metal ออกมาในปี 2017 จนกระทั่งอัลบั้ม Beware of the Dogs มันก็ยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยเอกลักษณ์ในงานของเธอ คือ ดนตรีในสไตล์อินดี้ป็อปที่หวานแหวว เรียบง่าย ฟังสบาย แต่กลับมาพร้อมเนื้อเพลงแสบๆคันๆที่สะท้อนเรื่องราวร่วมสมัยในสังคมได้อย่างเจ็บแสบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ การใช้ความรุนแรงจากผู้ชาย กฏหมายการทำแท้ง และอีกมากมาย จึงทำให้อัลบั้ม Beware of the Dogs ของเธอเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าเราจะฟังแค่เอาเพลินทางดนตรี หรือ รับรู้ไปกับเรื่องเล่าสะท้อนสังคมของเธอ
ซึ่งบทเพลง “Boys Will Be Boys” คือบทเพลงแจ้งเกิดของเธอ ด้วยเนื้อหาที่ต่อต้านการกระทำรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิง ที่มาในช่วงเวลาที่กระแส #metoo กำลังครุกรุ่นพอดีด้วย บทเพลงของเธอจึงเป็นเหมือนกระบอกเสียงที่ดังฟังชัดของผู้หญิงที่ได้รับการกดขี่จากผู้ชายในมิติต่างๆ
My friend told me of a secret
Told me that she blames herself
You invaded her magnificence
Put your hand over her mouth
“Why was she all alone
Wearing her shirt that low?”
They said, “Boys will be boys”
Deaf to the word “no”
หรืออย่างเพลงเปิดของอัลบั้มนี้ “Old Man” ก็แสบใช่เล่น ท่วงทำนองของเพลงนี้มาในทีสนุกสนาน แถม MV ก็เป็นแบบนั้น แต่เนื้อหานี่กลับเป็นการประกาศกร้าวแทนผู้หญิงทั้งหลายที่ถูกอำนาจผู้ชายขมขี่ อำนาจที่ถือครองมานานถึงวันต้องสั่นคลอนแล้วคราวนี้ “ลุง” ทั้งหลายหากได้ฟัง คงหนาวๆร้อนๆกันบ้าง
Oh, are you scared of me, old man?
Or are you scared of what I’ll do?
You grabbed me with an open hand
The world is grabbin’ back at you
มาฟังเถิดจะเกิดความเพลิน อย่ารอช้าจัดเลยครับ
ฟัง Beware of the Dogs
Still on My Mind – Dido
สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ห้าของ Dido นักร้องสาวชาวอังกฤษเจ้าของเพลงฮิต “White Flag” หลังจากห่างหายไปนานราว 6 ปี ตั้งแต่อัลบั้มล่าสุด Girl Who Got Away ในปี 2013
โดยในอัลบั้มนี้เธอทำงานร่วมกับพี่ชายของเธอ Rollo Armstrong ด้วยเหตุผลว่า “อยากจะทำอีกสักอัลบั้มถ้าได้ทำกับพี่ชายก็เท่านั้นเอง” ซึ่งประสบการณ์ครั้งนี้ Dido บอกว่ามันเป็น “ประสบการณ์ต้องมนตร์โดยแท้จริง” เพราะว่าทุกอย่างทำออกมาอย่างเรียบง่ายบันทึกเสียงร้องบนโซฟา ส่วนเครื่องดนตรีอื่นๆก็บันทึกในห้องบันทึกของบ้านเธอ
งานเพลงโดยรวมของอัลบั้มนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอิเล็คโทรโฟล์ค เพราะมันมีรากเป็นดนตรีโฟล์คที่เรียบง่ายแต่มีส่วนผสมของซาวด์อิเล็คโทรนิคร่วมสมัยเข้ามาผสาน เพราะฉะนั้นมันจะมีทั้งองค์ประกอบของความเป็น อิเล็คโทรป็อป ซินธ์ป็อป ดิสโก้ ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งนิวเอจ
ส่วนการร้องของ Dido การแต่งและเรียบเรียงเพลงของเธอก็ยังสบายหายห่วง ฟังเพลิน ไพเราะ เพราะพริ้งเช่นเคยครับ
ลองฟังซิงเกิ้ลแรกและแทร็คแรกของอัลบั้ม ที่มีชื่อว่า “Hurricanes” ดูก่อนได้ครับ
ฟัง Still on My Mind
This is how you smile -Helado Negro
“This is how you smile” เป็นอัลบั้มชุดที่หกหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นชุดที่พีคที่สุดเลยขอ Helado Negro หรือ Roberto Carlos Lange ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายเอกวาดอร์ที่เพิ่มความลุ่มลึกลงไปทั้งในการเขียนเพลงและจักรวาลแห่งดนตรีซินธ์โฟล์คของเขา จนออกมาเป็นผลงานอันเหนือชั้นและสามารถใช้คำว่า“มาสเตอร์พีซ” กับมันได้เลย
ชื่ออัลบั้มนั้นมีที่มาจากเรื่องสั้นชื่อ “Girl” ของ Jamaica Kincaid นักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสาย Antiguan โดยมาจากช่วงหนึ่งของเรื่องสั้นที่ตัวละครแม่กำลังสอนลูกสาวถึงการเป็นผู้หญิงที่ “ดูแลตัวเองได้” เช่นว่า“นี่คือวิธีที่เราใช้กวาดบ้านทั้งหลัง นี่คือวิธีที่ลูกจะใช้ทำความสะอาดสนาม นี่คือวิธีที่ลูกจะยิ้มให้กับใครก็ตามที่ลูกไม่ชอบเอามากๆ และนี่คือวิธีที่ลูกจะยิ้มให้กับใครก็ตามที่ลูกไม่ชอบขี้หน้าเอาซะเลย” ซึ่งตัวผู้เขียนคือ Kincaid นั้นได้เคยกล่าวไว้ว่างานเขียนชิ้นนี้ด้านหนึ่งมันคือการเล่าความสัมพันธ์ของแม่ที่มีต่อลูกแต่ในขณะเดียวกันมันก็พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและที่ที่เขาจากมา” หรือนัยหนึ่งมันกำลังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความมีอำนาจและการไร้ซึ่งอำนาจนั่นเอง
Lange รู้สึกชอบใจในไอเดียนี้ เขารู้สึกว่างานแบบนี้สามารถถักทอออกมาเป็นอารมณ์เฉพาะตัวของมันได้ อันเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสรับรู้ได้จากตอนที่เขาเข้าถึงไอเดียที่ซ่อนไว้เบื้องหลังเรื่องราวนี้ เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งที่เขารู้สึกเชื่อมโยงได้จากประสบการณ์และสิ่งที่เขาเป็น ซึ่ง Lange คิดว่าดนตรีเป็นสิ่งอันควรค่าในการใช้ถ่ายทอดแนวคิดนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี
งานดนตรีใน “This is how you smile” เกิดจากส่วนผสมทางดนตรีที่หลากหลายทั้ง ทรอปิคอลป็อป ลาตินป็อป ฟังก์ และโซล ซึ่งในส่วนของเนื้อหาได้พาเราไปแตะต้องกับเรื่องราวส่วนตัวแบบลับเฉพาะทั้งในเรื่องอดีตของเขาและมรดกทางความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมที่สืบทอดต่อๆกันมา รวมไปถึงห้วงอารมณ์แห่งความสุขและความเบิกบานใจจากการผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก เช่นการที่เขาเติบโตมาท่ามกลางค่ายผู้อพยพ ยิ่งทำให้งานเพลงชิ้นนี้สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสิ่งที่กระตุ้นและเชื้อเชิญให้เราไปสัมผัสและเรียนรู้ยิ่งนัก
ความสัมพันธ์ระหว่างการมีอำนาจและการไร้อำนาจถูกคลี่คลายผ่านเรื่องราวและท่วงทำนองในบทเพลงทั้งหลายของอัลบั้มนี้อย่างสุภาพนุ่มนวล เป็นบทเพลงที่ไม่ว่าคนชนชาติไหนก็ควรฟัง เพราะในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ Helado Negro อยากจะบอกผ่านงานเพลงชิ้นนี้ก็คือ ในตัวของเราทุกคนนั้นมีพลังและศักยภาพซุกซ่อนอยู่เสมอ เป็นเสียงที่จะนำทางเราทั้งหลายไปสู่วันข้างหน้า ขอเพียงว่าให้เราทำจังหวะชีวิตให้เนิบช้าและตั้งใจฟังมันก็เท่านั้นเอง
ฟัง This is how you smile
SASAMI – SASAMI
หลังจากช่วงเวลาสองปีครึ่งในฐานะมือซินธ์จากวงร็อคนาม Cherry Glazerr , Sasami Ashworth ก็ได้เวลาประกาศศักดาออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว โดยมีอัลบั้มเปิดตัวอย่างสวยงามที่ใช้ชื่อ “SASAMI” เช่นเดียวกับชื่อของเธอ
ผลงานของ SASAMI เป็นดนตรีอินดี้ป็อป ที่มีบรรยากาศของดนตรีชูเกสซ์ปกคลุม อันมีกลิ่นของความหม่นและความหลอนเล็กๆ และมีเสน่ห์อย่างลึกลับซึ่งรุกเร้าเราด้วยน้ำเสียงและท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
อัลบั้ม “SASAMI” เปรียบเสมือนเป็นบันทึกหมายเลขหนึ่งของชีวิตเธอ การเดินทางผ่านเนื้อเพลงทั้งหลายในอัลบั้มนี้ทำให้เราเหมือนกับเป็นพวกถ้ำมอง หรือ stalker ที่กำลังตามติดชีวิตของคนคนหนึ่ง เธอคลี่คลายความทุกข์และความเศร้าที่ประสบพบเจอในชีวิต มาร่ายบนผืนผ้าใบและเฉดสีแห่งเสียงดนตรีของเธอได้อย่างงดงาม บนเนื้อความที่ร้อยเรียงราวบทกวี (และเธอมี เลโอนาร์ด โคเฮน เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อเพลง)
ขอเชิญสดับรับฟัง SASAMI ด้วยตัวเองเลยครับ
sleepless in______ – Epik High
การกลับมาครั้งสำคัญของวงดนตรีฮิปฮอปทรีโอจากเกาหลี “Epik High” ที่มีสมาชิกเป็นสามหนุ่ม Tablo, Mithra Jin และDJ Tukutz ที่เริ่มต้นการเป็นศิลปินจากวงการใต้ดินก่อนที่จะก้าวมาเป็นู้ที่มีอิทธิพลและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวงการฮิปฮอปของเกาหลี และจากนั้นพวกเขาก็ทำดนตรีตลอดมาเป็นระยะเวลากว่า 16 ปี
อาจกล่าวได้ว่า “sleepless in _____” เป็นงานเพลงที่ดีที่สุดของพวกเขา ณ ขณะนี้
เพราะมันได้ฉายฉานห้วงอารมณ์แลัความรู้สึกอันคละคลุ้งอยู่ในใจของมนุษย์เราออกมา ถ่ายทอดผ่านเสียงร้องและท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจ ผ่านการผสานกลิ่นอายทางดนตรีที่หลากหลายและแรงบันดาลใจอันหลากล้นจากกลุ่มศิลปินทุกคนที่มาร่วมแรงร่วมใจกันในอัลบั้มนี้ ซึ่งมีทั้ง SunWoo Jung-A นักร้อง นักแต่งเพลงชาวเกาหลี Crush และ ชูก้าวง BTS , ศิลปินฮิปฮอป Code Kunst และ Yuna นักร้องโซลป็อปสาวจากมาเลเซีย
แต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ก็ต่างมีเสน่ห์เป็นของตัวเองแตกต่างกันออกไป ทั้งสีสันของเรื่องราวและการร้อยเรียง และเสน่ห์จากศิลปินที่มาร่วมงาน อีกทั้งการเรียงเพลงในอัลบั้มนี้ยังมีเหตุและผล อันลงตัวของมันอีกด้วย มาลองสัมผัสห้วงอารมณ์และเสียงดนตรีที่เล่าขานเรื่องราวของการนอนไม่หลับ อกหัก ซึมเศร้าและเปลี่ยวเหงาผ่านงานเพลงในอัลบั้ม “sleepless in _____” ของ Epik High กันครับ
แถมท้ายด้วยสารคดีการทำงานเพลงในอัลบั้มนี้
PUNK -CHAI
พวกเธอคือผู้นิยามความน่ารักในแบบฉบับใหม่ ที่พวกเธอเรียกว่า NEO-KAWAII ผ่านงานดนตรีป็อป สดใส แปลกใหม่และเปี่ยมไปด้วยพลัง พลังแห่ง “ความเป็นตัวของตัวเอง” อันลุกโชน
ในขณะที่อุตสาหกรรมความบันเทิงของญี่ปุ่น (และทั่วโลก) ต่างมุ่งไปที่ความน่ารัก อันเป็นมาตราฐาน เป็นคาวาอี้ขยี้ใจ แต่ CHAI กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น สมาชิกทั้งสี่ คู่ฝาแฝด Mana (ร้องนำ/คีย์บอร์ด) และ Kana (กีตาร์), Yuki (เบส), และ Yuna (กลอง) กลับนิยามความน่ารักแบบใหม่ ที่เปล่งพลังความสดใสออกจากภายใน งานดนตรีของพวกเธอมี ความเป็นตัวของตัวเองแบบไม่ง้อใคร ในบางครั้งหลายคนอาจยี้ใส่ และเมินมันได้ง่ายๆ แต่หากลองหยุดสักนิดและคิดที่จะฟังเพลงของพวกเธอสักหน่อย เราอาจได้เห็นความงามจริงแท้ที่มันซ่อนอยู่ในนั้น เฉกเช่นเดียวกันกับตัวตนของพวกเธอ
“Punk” เป็นอัลบั้มที่สองต่อจาก “Pink” ชื่ออัลบั้มนั้นไม่ได้จะสื่อว่าพวกเธอทำเพลงแนวพังค์ แต่คำว่า “Punk” ของพวกเธอมันคือขบถ มันคือการแปลกแหวกแนว ไม่อยู่กับกรอบและความซ้ำซากจำเจ ในอัลบั้มนี้จะมีเพลงที่ฟังง่ายเป็นอินดี้ป็อปที่เก๋ไก๋ ไพเราะโดนใจอยู่สองเพลง คือ “It’s Me” กับ “Wintime” ที่ทำให้เรารู้ว่าพวกเธอก็ทำเพลงเข้าหู โดนใจแบบนี้ได้ แต่จนแล้วจนรอด พวกเธอก็ไม่ยอมอยู่กับกรอบใดๆ หากเราเดินทางผ่านบทเพลงของพวกเธอต่อไป จะพบกับความเซอร์ และความหลากหลายอีกมากมายที่รอเราอยู่
ไปพิสูจน์บทเพลงของ CHAI ได้เลยครับ