กลับมาพบกันอีกครั้งกับ [สัปดาห์นี้มีอะไรฟัง] ซึ่งสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สี่ของเดือนพฤษภาคมนี้นะครับ ในรอบสัปดาห์นี้เชื่อว่าหลายคนคงตื่นเต้นกับอัลบั้มใหม่ที่รอคอยของ The National “I’m Easy To Find” ซึ่งต้องบอกว่าออกมาดีคุ้มค่าสมกับการรอคอยมากๆเลย ส่วนใครเป็นคอเพลงป็อปสัปดาห์นี้ก็มีอัลบั้มดีๆของ Carly Rae Jepsen นักร้องสาวที่โด่งดังจากบทเพลง “Call Me Maybe”  นอกจากนี้ยังมีงานเพลงอินดี้ป็อปดีๆจากญี่ปุ่นของ “She Is Summer” และ EP ชุดใหม่จากทรีโอโพสต์พังค์จากนิวยอร์ค “Interpol”  ที่เพิ่งปล่อยอัลบั้มเต็มชุดใหม่ไปไม่ถึงปีนี่เอง

แต่ละอัลบั้มจะเป็นอย่างไร จะน่าฟังแค่ไหน เราไปดูกันครับ


Miracle Food – She Is Summer

สำหรับใครหลายคน  “She Is Summer” อาจจะยังเป็นชื่อที่ใหม่  แต่สำหรับคนสายเจ หรือสายอินดี้ทางฝั่งเอเชียอาจจะเคยผ่านหูผ่านตางานเพลงของเธอมาบ้าง   “Call me In Your Summer” น่าจะเป็นเพลงแรกที่ทำให้หลายคนได้รู้จักกับเธอ และก็เป็นเพลงที่เราแนะนำหากจะอยากลองทำความรู้จักกับศิลปินคนนี้

จริงๆแล้ว “She Is Summer” อยู่ในวงการดนตรีมาก่อนหน้านี้ ด้วยการเป็นสมาชิกวง อิเล็คทรอนิคส์ป็อปนาม “fenotas” ภายใต้ชื่อ MICO ส่วน “She Is Summer” คือโปรเจ็คเดี่ยวของ MICO นั่นเอง และเธอก็ออกผลงานมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว จนในตอนนี้ EP อัลบั้มล่าสุด “Miracle Food” คือ EP ชุดที่สามของเธอ

ใน “Miracle Food” เราจะได้พบกับบทเพลงทั้งหมด 6 บทเพลงอันเปรียบเสมือน อาหาร (หู) จานอร่อยสุดมหัศจรรย์ที่ผสมผสานกันไประหว่างรสชาติของดนตรีอินดี้ป็อปอันสดใส อันผสานไว้ด้วยท่วงทำนองแบบเรโทร ซึ่งทั้ง 6 เพลงนั้นมีแต่เพลงไพเราะ ชวนฟังทั้งนั้น หากใครเป็นแฟนเจป็อป อินดี้ป็อป และชอบซาวด์แบบเรโทรล่ะก็อัลบั้มนี้รับรองถูกใจแน่นอน เพราะจะมีตั้งแต่ซิตี้ป็อปยุค 80 (Darling Darling)  เพลงป็อปผสมฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี (Highway Records feat. 向井太一,Simon ) ป็อปหวานๆ (TRAVEL FOR LIFE ) เพลงป็อปเหงาๆ และใสๆในสไตล์ 90 ( 海岸2号線 และ 君をピカソの目でみたら) รวมถึงเพลง upbeat ชวนขยับที่ได้ SIRUP & Mori Zentaro มารีมิกซ์ให้มีความน่าสนใจเลยทีเดียว (とびきりのおしゃれして別れ話を SIRUP & Mori Zentaro Remix) ซาวด์ดนตรีก็มีตั้งแต่เสียงกีตาร์สดใส ซินธ์เปี่ยมสีสันไปยันเพลง upbeat เจือกลิ่นอายของฟังก์ สรุปแล้วนี่คือเช็ตอาหารจานอร่อยที่ไม่เพียงแต่ทำให้เราอิ่มท้องด้วยความสำราญใจ หากยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ซึ่งแทร็คแรกของอัลบั้ม “Darling Darling” ที่มาในแนว City Pop ชื่นใจก็ปล่อย MV สีสดใสออกมาให้ได้ชมกันแล้ว โดยเป็นการร่วมงานกันกับ “opnner” แบรนด์สติ๊กเกอร์รอยสักสุดมินิมอลของญี่ปุ่น จะน่ารักสดใสสมชื่อ “She Is Summer”  แค่ไหนลองไปชมกันดูนะครับ

 

Play video

 

ลองชิม เอ้ย ลองฟังดูแล้วจะอยากขอทานจานอื่นๆต่อ

 

ฟัง ‘Miracle Food’

Apple Music

Spotify  


“I’m Easy To Find” – The National

“I’m Easy To Find”  คือ สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 จากวงอเมริกันอินดี้ร็อคนาม “The National”  ซึ่งปล่อยออกมาตามหลังอัลบั้มก่อนหน้านี้ คือ Sleep Well Beast(2017) อยู่สองปี นอกจากจะเป็นอัลบั้มที่มีความยาวที่สุดอยู่ที่ 63 นาที แล้วยังอาจกล่าวได้ว่านี่คือเป็นอัลบั้มที่เยี่ยมที่สุด ณ ขณะนี้ของ The National ด้วย

ในอัลบั้มนี้ The National ได้ผู้กำกับมือดี ไมค์ มิลส์ (20th century women) มาร่วมโปรดิวซ์และเขียนเพลงด้วย อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในงานสร้างสรรค์ของอัลบั้มนี้ โดยมิลส์จะทำหนังสั้นความยาว 26 นาทีกว่า นำแสดงโดย อลิเซีย วิกันเดอร์ (The Danish Girl) เค้าคลอไปกับงานเพลงในอัลบั้ม ที่ไม่ใช่แค่เอาไว้ใช้ประกอบเพลง หรือเอาเพลงมาประกอบหนัง หากแต่ทั้งสองส่วนเสริมส่งและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

ความดีงามอย่างหนึ่งของอัลบั้มนี้อยู่ที่ การได้เสียงร้องจากศิลปินหญิงคุณภาพมากมายที่เลือกสรรมาอย่างดี เพื่อมาเข้าคู่กับเสียงทุ้มนุ่มบาร์ริโทน ของ Matt Berninger ฟรอนแมนท์ของวงที่ฟังดูราวกับเป็น เลโอนาร์ด โคเฮนเวอร์ชั่นอินดี้ร็อคยังไงยังงั้นเลย การที่ได้เสียงร้องของศิลปินหญิงมาทำให้เกิดความสมดุลในงานเพลงของอัลบั้ม ทำให้แต่เดิมจากเสียงทุ้มนุ่มและการร้องราวกับการเอื้อนเอ่ยถ้อยกวีของ Matt นั้นทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนฟังคนพูดคนเดียว แต่การที่ได้นักร้องสาวมาร่วมร้องด้วยนั้นทำให้มันกลายเป็น “บทสนทนา” โต้ตอบระหว่างชายหญิง ซึ่งนักร้องหญิงที่มาร่วมงานในครั้งนี้ก็มีทั้ง Lisa Hannigan (เธอคนนี้ล่ะที่เคยฝากเสียงเย็นสะกดใจไว้ในงานของ Damien Rice), Sharon Van Etten, Mina Tindle และ Kate Stables มีแต่เจ็บๆเจ๋งๆทั้งนั้น และที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ Gail Ann Dorsey ที่เคยร่วมงานกับ David Bowie ในฐานะมือเบสและร้องแบ็คอัพ ซึ่งเราจะได้ยินเสียงของเธอจากซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มที่ปล่อยออกมาคือ  “You Had Your Soul with You” อีกทั้งยังมี Brooklyn Youth Chorus กลุ่มนักร้องประสานเสียงเยาวชนจากบรู๊คลินที่ฝากความประทับใจไว้ในบทเพลง “Dust Swirls in Strange Light” อันเป็นไอเดียบรรเจิดจาก ไมค์ มิลส์เอง นอกจากนี้การที่ได้ Carin Besser ภรรยาของ Matt มาร่วมเขียนเนื้อเพลงด้วยยิ่งทำให้มุมมองของอัลบั้มนี้มีความรุ่มรวยอย่างยิ่ง

การรับฟังบทเพลงทั้ง 15 เพลงจากอัลบั้มนี้ (รวมไปถึงชมภาพยนตร์สั้น “I’m Easy To Find” ) ได้มอบประสบการณ์ที่มีค่า ให้เราได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่พาเราไปค้นพบค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ ในท่วงท่าและลีลาที่สงบล้ำ ลึกซึ้ง งดงาม บนความเรียบง่ายที่น่าประทับใจ เราคงไม่อาจกล่าวได้ว่านี่จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ The National ตลอดไปหรือไม่ แต่ที่แน่ๆในวันนี้มันคือ อัลบั้มที่ดีที่สุดจริงๆ

 

Play video

 

ฟัง “I’m Easy To Find”

Apple Music

Spotify


“A Fine Mess” – Interpol

Interpol กลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วพร้อม 5 บทเพลงใน EP ชุดใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “A Fine Mess” ซึ่งทิ้งห่างจากสตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุด “Marauder” ได้ไม่ถึงปีเลย

EP ชุดนี้จึงเป็นเสมือน “โปสการ์ดที่มีชีวิตและลมหายใจ” ที่ทางวงมอบให้กับแฟนๆระหว่างทัวร์รอบโลกตลอดทั้งปี 2019 นี้โดยมีการบันทึกเสียงที่นิวยอร์คโดยมีโปรดิวเซอร์คือ Dave Fridmann มิกซ์เสียง ทำซาวด์เอนจิเนียร์ ปรับนู่นแต่งนี่โดย  Kaines & Tom A.D. และ Claudius Mittendorfer

ส่วนอาร์ตเวิร์คของอัลบั้มนั้นเป็นส่วนหนึ่งของม้วนฟิล์มที่ระบุวันถ่ายไว้ว่าเป็นวันที่  “1-20-96”  ซึ่งถูกพบในห้องเก็บหลักฐานของสถานีตำรวจเมืองดีทรอยท์ที่ถูกทิ้งร้าง

หลายคนอาจมองว่างานใน “A Fine Mess”  ดูจะเป็นอะไรที่เดาทางได้ง่าย ทั้งเสียงร้องเท่ๆของ Paul Bank  ริฟฟ์กีตาร์โดนใจจาก Daniel Kessle  เสียงควบกลองที่หนักแน่นและแน่นอนจาก Sam Fogarino  และโครงสร้างเพลงที่คุ้นเคย จึงทำให้มันไม่มีอะไรที่แปลกใหม่

การที่ “A Fine Mess” อาจไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก  ไม่ใช่เพราะว่ามันด้อยกว่างานที่ผ่านๆมา หากแต่ว่ามันมีความเป็น Interpol จ๋าๆแบบไม่มีอะไรใหม่  ไม่มีความเสี่ยง ความบ้าใด ให้เราพูดถึง มันจึงเป็นบทเพลง 5 เพลงที่ให้เราได้ฟังตามแบบฉบับมาตรฐานของ Interpol  

แต่ถึงอย่างนั้นหากใครเป็นแฟน Interpol มันก็ยังเป็นอัลบั้มที่ไม่ควรมองข้ามไป แต่ให้เอาไว้ใช้ฟังเพลินๆ ไว้รออัลบั้มเต็มอัลบั้มต่อไป

Play video

 

ฟัง “A Fine Mess”

Apple Music

Spotify 


“Dedicated” – Carly Rae Jepsen

เหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันลืมว่า Carly Rae Jepsen เคยออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า “Tug of War” เป็นอัลบั้มแรกมาก่อนในปี 2008  เพราะทุกคนมักจะพูดถึงและรู้จักเธอจากเพลงที่ชื่อว่า “Call Me Maybe” ที่อยู่ในอัลบั้ม Kiss จากปี 2012 อันเป็นแทร็คเปลี่ยนชีวิต เป็นเพลงฮิตที่ทำให้เธอกลายเป็นป็อปสตาร์ แต่ถึงอย่างนั้น Jepsen ในวัย 26-27 กลับถูกโปรโมทให้เป็นราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา จนดูเหมือนว่านั่นยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ

Emotion (2015) คืออัลบั้มที่เธอได้เติบโตขึ้น และพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่เธอเป็นผ่านดนตรีซินธ์ป็อปแห่งยุค 80 ซึ่งทำให้เกิดกระแสต่างกัน หลายคนพยายามจะดึงเธอกลับไปที่ความสำเร็จใน “Call Me Maybe” หลายคนกลับรู้สึกว่าความไร้เดียงสาแต่เดิมกับส่วนผสมทางดนตรีที่ค่อนข้างลงตัวในอัลบั้มนี้กลับเป็นที่ถูกตาต้องใจ ทำให้เธอต้องกลายเป็นป็อปสตาร์แบบ“คัลท์ๆ” ไปโดยปริยาย

และในที่สุดก็เหมือนจะถึงคราวที่เธอจะได้แสดงออกถึงตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เมื่อตัวเธอเองก็เติบโตข้ามพ้นวัยรุ่นไปแล้ว และผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายหลากหลาย รวมทั้งชีวิตรักที่ในที่สุดต้องพบกับการเลิกรา มันควรถึงเวลาที่จะต้องยุติความไร้เดียงสาใดๆได้แล้ว และกลับมาหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ

ดังนั้นงานเพลงจากอัลบั้มชุดที่ 4 “Dedicated” จึงเป็นก้าวสำคัญของ Jepsen ที่เธอใส่มาเต็มที่ ก่อนนี้เธอเคยคุยไว้ว่าเธอแต่งเพลงเอาไว้มากกว่า 200 เพลง แต่ในที่สุดก็คัดมาเหลือ 15 เพลงใส่ไว้ในอัลบั้มนี้ เพื่อให้เธอได้ถ่ายทอดช่วงเวลาต่างๆของความสัมพันธ์ผ่านเพลงป็อปที่มีรสชาติทางดนตรีอันหลากหลาย ทั้งซินธ์ป็อป ฟังค์ อาร์แอนด์บี ดิสโก้ บูกี้ และอีกมากมาย  โดยเธอได้พูดถึงแรงบันดาลใจในงานชิ้นนี้ไว้ว่า

“ฉันได้อยู่กับช่วงเวลาของการแยกทางมาอย่างยาวนาน จนรู้สึกกับมันราวกับเป็นเพื่อนรัก และเป็นคู่หูผู้ช่วยในการสร้างสรรค์”  Jepsen กล่าว “จากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตโสดเป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตวัยผู้ใหญ่ของฉัน ในสถานที่ที่ฉันได้เดินทางไปและไม่มีใครให้ฉันส่งข้อความไปหาหลังจบโชว์ เพื่อที่จะบอกว่า “มันเยี่ยมมากเลย!”  มันช่างเป็นความโดดเดี่ยวที่แปลก และ ฉันอยากเขียนเพลงเพื่อสื่อสารความรู้สึกนี้ออกมาเพราะมันจะทำให้ฉันรู้สึกเหงาน้อยลงเมื่อได้แบ่งปันมันออกมา”

อ่านแล้วอาจคิดว่าเพลงของเธอจะออกมาเศร้า เหงา ดิ่ง แน่เลย แต่เปล่าเลย มันกลับเปี่ยมไปด้วยสีสันและรสชาติอันมีชีวิตชีวาของเพลงป็อปชั้นดีที่มีส่วมผสมทางดนตรีที่หลากหลายให้เราได้สัมผัสในแต่ละเพลง

Play video

อย่าเสียเวลาไปพิสูจน์กันเลยดีกว่าครับ

 

ฟัง “Dedicated”

Apple Music

Spotify