[สัปดาห์นี้มีอะไรฟัง] ส่งท้ายเดือนด้วยงานเพลงคุณภาพทั้งจากศิลปินหน้าใหม่ กับอัลบั้มแรกคลอด และศิลปินรุ่นเก๋าที่ยังคงมีงานเพลงดีๆออกมาให้เราได้ฟังกัน ไปดูกันเลยดีกว่าครับว่า สัปดาห์นี้มีอะไรให้ฟังกันบ้าง
“แรก” The Parkinson
ชื่ออัลบั้มก็บอกอยู่แล้วว่า “แรก” เป็นอัลบั้มแรกจากวง The Parkinson ที่ทำเพลงออกมาได้โซลโดนใจมากๆ จนนาทีนี้ยากจะหาผู้ใดในยุทธจักรเพลงไทยมาเทียบเท่าได้แล้ว นอกจากจะใช้คำว่า “แรก” เป็นชื่ออัลบั้มแล้ว The Parkinson ยังตีความต่อมาเป็นอาร์ตเวิร์คสายฮา (ที่ก็แอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ) โดยหมายถึงการ “แรกเกิด” จึงออกมาเป็นภาพชุดครอบครัวตั้งแต่วันแรกเกิด ยันเติบใหญ่ ถ่ายภาพหมู่พ่อ แม่ ลูกกัน แต่มันจะไม่ชวนเหวอเลย ถ้าพ่อแม่ลูกที่ว่านั้น ไม่ใช่สามสมาชิกของวง กานต์ โต เบียร์ นั่นเอง ถือว่าควรค่าแก่การซื้อมาไว้ในครอบครองนะครับ เชื่อว่าวันหนึ่งจะต้องกลายเป็น rare item แน่นอน
อัลบั้มนี้มากันทั้งหมด 12 เพลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่ปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพอเปิดฟังทั้งอัลบั้มก็จะเจอเพลงที่คุ้นหูกันดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น “จะบอกเธอว่ารัก” “เพื่อนรัก” “คนชั่ว 2018” “ไปเถอะ” หรือซิงเกิ้ลล่าสุดที่เพิ่งปล่อย MV ออกมาอย่าง”แค่นี้…พอ” ที่ได้น้องโมบายล์ BNK48 มาเป็นนางเอก MV ด้วย นอกจากนี้ทางวงยังเพิ่งมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มของตัวเองไปหมาดๆซึ่งบัตรก็ Sold Out เสียด้วย บอกเลยว่าวงนี้ครบเครื่องครบครันจริงๆ ใครที่ชอบงานเพลงสไตล์โซล อย่างพวกวงยุคโมทาวน์ มาร์วิน เกย์ หรือ Earth Wind & Fire อะไรแบบนี้ จะต้องหลงรักงานของ The Parkinson แน่นอน เป็นงานที่ผสมผสานงานเพลงป็อป เพลงร็อคแบบไทยกับเพลงโซลในแบบสากลได้อย่างลงตัวที่สุด ด้วยการร้องในสไตล์โซลของกานต์ กับลีลากีตาร์ร็อคที่เผ็ดร้อนในท่อนโซโล่ของแต่ละเพลง ซึ่งผสมผสานกันได้อย่างสวยงามถูกหูคนฟังชาวไทยอย่างเราๆเป็นที่สุด
เชื่อว่าหลายคนติดตามฟังผลงานของ The Parkinson มานาน คราวนี้ได้ฤกษ์ออกมาเป็นอัลบั้มให้ฟังกันแบบจุใจเสียที เพราะฉะนั้นยอ่ารอช้าไปฟังกันเลยดีกว่านะครับ
ฟัง “แรก”
“ANIMA” Thom Yorke
“Anima” เป็นงานเดี่ยวชุดที่สามจาก Thom Yorke แห่งวง Radiohead คำว่า “Anima” มีที่มาจากแนวคิดของนักจิตวิทยานาม “คาร์ล ยุง” ที่กล่าวถึงตัวตนอันแท้จริงภายในของบุคคล ซึ่งเปิดเผยตัวตนของมันผ่านทาง “ความฝัน” ซึ่ง ธอม ได้นำมันมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานเพลงชิ้นนี้ ที่สะท้อนโลกภายในอันกอปรด้วยความกังวล สับสน หวาดกลัว กึ่งจริงกึ่งฝัน และนำเสนอออกมาในแนวคิดเหนือจินตนาการ
“Anima” เป็นงานเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยท่วงทำนองของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ อันสะท้อนภาพของโลกในอนาคตที่ฉายฉานเงาของมันมายังโลกในปัจจุบัน งานเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้อยู่ในระดับที่ฟังได้ดี มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ให้เราค่อยๆฟังไป แต่มีอยู่เพลงหนึ่งซึ่งน่าจะฟังกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นนักฟังสายแข็งหรือไม่ นั่นก็คือเพลง “Dawn Chorus” บทเพลงที่คละเคล้าไปด้วยอารมณ์ทั้งหลายที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมี ความโหยหา ความกังวล สับสน ความหลงใหลและความเศร้าสร้อย มันคือบทเพลงที่น่าจำจดที่สุดของอัลบั้มนี้ ที่จะทำให้วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปแล้วคนจะจดจำ “Anima” ได้ว่า อ๋อ มันคืออัลบั้มที่มีเพลง “Dawn Chorus” อยู่นั่นไง
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เมื่อฟังเพลงในอัลบั้มนี้แล้ว อย่าลืมดูหนังสั้นเรื่อง “Anima” ที่กำกับโดย พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ที่นำเอาเพลงสามเพลงจากอัลบั้มคือ “Not The News” , “Traffic” และแน่นอน “Dawn Chorus” ไปใช้ประกอบในหนัง ทั้งงานเพลงงานภาพ งานออกแบบท่าเต้น ทุกองค์ประกอบล้วนแล้วแต่พาให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก (สามารถอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ)
ฟัง “ANIMA”
“Version” Ghost Like Girlfriend
คราวนี้มาแนะนำอัลบั้มของทางฝั่งญี่ปุ่นกันบ้าง ในสัปดาห์นี้ก็มีงานของ “Ghost Like Girlfriend” ที่น่าสนใจและอยากแนะนำให้ฟังมากๆ ยิ่งใครชอบเพลงญี่ปุ่นแล้วล่ะก็อัลบั้มนี้ไม่ควรพลาด
“Ghost Like Girlfriend” เป็นชื่อที่ใช้ในโปรเจ็คฉายเดี่ยวของ นักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มนาม เคน โอคาบายาชิ (Ken Okabayashi) ซึ่งเริ่มออกผลงานในชื่อนี้มาตั้งแต่ปี 2017 จนบัดนี้มีอยู่ 3 EP ได้แก่ “WEAKNESS”(2017), “WITNESS”(2018)และ “WINDNESS” (2019) กับอีกหนี่งอัลบั้มที่เราจะมาแนะนำในวันนี้นั่นคือ “Version” (2019) ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของ “Ghost Like Girlfriend” เลย
สำหรับ “Version” นั้นโอคาบายาชิ ให้นิยามกับมันว่า เปรียบดั่งความบริสุทธิ์แรกเกิด ที่เค้าเลือกใช้คำนี้ก็เพราะเสียงของคำว่า “Version” มันคล้ายๆกับคำว่า “Virgin” ที่แปลว่า ความบริสุทธิ์ซึ่งเขาตั้งใจจะใช้ชื่อนี้ตั้งแต่ EP แรกแล้ว แต่ในตอนนั้นคำว่า Weakness ดูเหมือนจะเข้ากันมากกว่า เลยทดคำนี้ไว้ในใจ จนมาได้โอกาสดีที่จะออกอัลบั้มเต็มชุดแรกของตัวก็เลยนำมันมาใช้ซะเลย
“Ghost Like Girlfriend” เป็นงานที่ โอคาบายาชิ ทำเองหมดจบทุกกระบวนการ งานของเขาจะผสมผสานไว้ด้วยหลากหลายแนวดนตรี กับงานเพลงทั้งหมด 11 เพลงของอัลบั้มนี้ โอคาบายาชิ บอกว่ามันคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเขาในหลากแง่หลายมุม บางมุมก็อ่อนหวาน บางมุมก็เร่าร้อนรุนแรง แตกต่างกันไป อย่างในเพลง Shut It Up ที่เป็นซิงเกิ้ลใน EP Windness และก็อยู่ในอัลบั้ม Version ด้วยนั้น ก็เป็นเพลงที่ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยกับการเปิดมาด้วยคำสั้นๆ เป็นชุดและบีทกลอง ก่อนที่จะมาจัดซาวด์เต็มๆที่กลางเพลง เป็นเพลงร็อคที่ผสานด้วยซาวด์อิเล็คทรอนิกสุดมัน เนือ้หาพูดถึงการมุ่งมั่นข้ามผ่านขวากหนาม และคำครหา นินทา ว่าร้ายต่างๆนานาเพื่อก้าวไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจ อย่าไปสนใจแค่บอกให้ “Shut It Up” ไปซะ !
หรือจะเป็น “Last Haze” แทร็คเปิดอัลบั้ม ก็มาพร้อมทำนองที่เร้าใจไม่ใช่น้อย อารมณ์พุ่งๆ และซาวด์ซินธ์อินโทรที่ชวนให้เรานึกไปถึงเพลง “Teen Angst” ของ M83 เลย ซึ่งเพลงนี้มันได้อารมณ์เร้าใจแบบนั้นเลย
นอกจากนี้ก็ยังมีเพลงฮิตในท่วงทำนองหวานหูอย่าง “fallin’” ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2017 รวมอยู่ในอัลบั้มด้วย ส่วนเพลงอื่นๆในอัลบั้มก็ต้องบอกว่าฟังได้ดี ฟังเพลินเลยทีเดียว ถึงแม้จะฟังไม่ออก ไม่รู้ความหมายแต่รับประกันได้เลยว่าเข้มข้นเข้าถึงอารมณ์แน่นอน
ฟัง “Version”
“Case Study 01” Daniel Caesar
อยู่ดีๆก็เซอร์ไพรซ์ปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย กับ “Case Study 01” อัลบั้มที่ 2 จากนักร้อง R&B กับซาวด์ดนตรีละมุม “Daniel Caesar” ที่กำลังจะมาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเราเดือนหน้านี้
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้มหลามกับอัลบั้ม Freudian ที่มี “Best Part” บทเพลงรักโรแมนติคสุดกลมกล่อมในท่วงทำนองอาร์แอนด์บีที่ร้องคู่กับนักร้องสาว ‘HER” คราวนี้ในอัลบั้มใหม่ ซีซาร์ก็กลับมาพร้อมกับงานเพลงคู่ดูเอ็ตอีกครั้ง ในเพลง “Love Again” ที่ร้องคู่กับนักร้องสาวอาร์แอนด์บี “Brandy” ที่อาจทำให้เราคิดถึงงานเพลงคู่เก่าของเขาอย่าง “Best Part” , “Get You,” ที่ร้องคู่กับ Kali Uchis เป็นต้น นอกจากนี้ในอัลบั้มยังมีศิลปินรับเชิญมาร่วมงานด้วยอีกมากมายนอกจาก Brandy ก็ยังมี Sean Leon & Jacob Collier ในเพลง ‘Restote The Feeling’ , Pharrell Williams ในเพลง “Frontal Lobe Muzik” และ ทีเด็ดจาก John Mayer ในเพลง “Superposition” ที่เสียงร้องและท่วงทำนองอันอ่อนนุ่มผสานไปกับเสียงกีตาณบาดใจจากพี่จอห์น ก็เป็นอีกแทร็คที่ชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง
โดยรวม “Case Study 01” ก็ยังเป็นงานดีๆจาก แดเนียล ซีซาร์ ที่จะไม่ทำให้แฟนๆผิดหวังอย่างแน่นอน
ฟัง “Case Study 01”
“Let’s Rock” The Black Keys
หลังจากไปพักจิต พักใจและใช้ช่วงเวลากว่า 5 ปี ในการไตร่ตรองความเป็นมาเป็นไปและความหมายของชีวิต ในที่สุดสองคู่หูอเมริกันบลูส์ร็อค ก็ได้กลับมา “Let’s Rock” กันอีกครั้ง โดยอัลบั้มนี้เป็นชุดที่ 9 ของวง ซึ่งทั้งคู่ทำเอง โปรดิวซ์เอง เสร็จสรรพ และบันทึกเสียงกันสดๆที่สตูดิโอในแนชวิลล์ของ Dan Auerbach นักร้องและมือกีตาร์ของวง ส่วน Patrick Carney มือกลอง ก็บอกว่าตั้งใจให้อัลบั้มนี้เป็นการ “แสดงความคารวะต่อกีตาร์ไฟฟ้า” และมันก็ใช่เลย เพราะริฟฟ์เด็ดๆนั้นมาเต็มทั่วทั้งงานเพลงในอัลบั้ม แค่แทร็คแรก “Shine A Little Light” เปิดมาก็เท่แล้ว
โดยรวมแล้วงานเพลงของ The Black Keys มีความเป็นบลูส์ร็อคที่จัดจ้าน มีลูกเล่น ลีลาและริฟฟ์กีตาร์ที่จัดเจน ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้อย่าง “Lo-Hi”ก็ถือว่าเป็นเป็นหนึ่งไฮไลท์ของอัลบั้ม ที่ทำให้เราคิดถึงกีตาร์ของ วงร็อครุ่นเก๋าอย่าง ZZTop อยู่เหมือนกัน ส่วนเพลง “Walk Across the Water” ก็เป็นอีกแทร็คที่แนะนำ นอกจากจะมีความเท่แล้วยังมีความนุ่มนวล ไพเราะผสมอยู่ด้วย เป็นอีกหนึ่งเพลงเพราะๆจากอัลบั้มนี้เลย
ส่วนชื่ออัลบั้มและภาพปกนั้น ทั้งคู่ได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวของนักโทษประหารนาม Edmund Zagorski นักโทษประหารคนแรกในรอบ 16 ปีของแนชวิลล์ ที่ถูกประหารชีวิตในปี 2018 ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังทำอัลบั้มอยู่ ในวันประหารนั้น Edmund Zagorski ถูกถามว่ามีอะไรอยากจะพูดก่อนตายไหม ซึ่งคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากของนักโทษคนนี้ก่อนที่จะถูกช็อตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าก็คือ “Let’s Rock” นั่นเอง
ฟัง “Let’s Rock”
“I Don’t Want To Lose” Kate Bollinger
EP ชุดแรกที่รวม 5 เพลงชุดชิลและไพเราะจาก นักร้องนักแต่งเพลงสาวจาก Charlotteville นาม Kate Bollinger ปัจจุบันเธอยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 3 อยู่ที่ University of Virginia งานเพลงของเธอจึงเป็น Bedroom Pop ชั้นดีที่มีส่วนผสมของความเป็นเด็กวัยรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยอิสระและจินตนาการ กับ คนที่กำลังจะเติบโตและก้าวไปสู่โลกแห่งความจริง ลองเปิดฟังเพลงของเธอในวันสบายๆ และ ปล่อยใจให้ลื่นไหลไปกับ เสียงนุ่มๆและท่วงทำนองอันสดใส ที่จะย้ำเตือนให้คุณคิดถึงฟ้ากว้าง แสงแดดทออ่อน และรอยยิ้มของใครสักคนที่ทำให้คุณมีความสุขเสมอ
ฟัง “I Don’t Want To Lose”
“Keepsake” Hatchie
“Hatchie” เป็นชื่อที่ใช้ในการทำงานเพลงของนักร้อง นักแต่งเพลงสาวชาวออสเตรเลียนนาม “Harriette Pilbeam” และ “Keepsake” คืออัลบั้มเปิดตัวของเธอ ซึ่งเป็นการเปิดตัวที่งดงามผ่านท่วงทำนองของดนตรีดรีมป็อป อินดี้ป็อป ที่ทำให้เราคิดถึงงานของวงชูเกสซ์ ดรีมป็อปรุ่นบุกเบิกอย่าง My Bloody Valentines , Cocteau Twins รวมไปถึง The Sundays ซึ่งถึงแม้จะมีอิทธิพลจากศิลปินรุ่นก่อน แต่งานของ Hatchie ก็ไม่ใช่งานผลิตซ้ำ หากแต่มีรสชาติบางอย่างที่ทำให้เราสนใจในตัวเธอ
ท่ามกลางห้วงบรรยากาศของเสียงดนตรีที่ห่อหุ้มเราไว้ น้ำเสียงของเธอคือสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจ ที่ซึมแทรกผ่านออกมาให้เราได้สัมผัสน้ำเสียงอันอ่อนหวาน เป็นมิตร และผ่อนคลาย อันผสานไปกับท่วงทำนองอันไพเราะที่กอปรด้วยซาวด์กีตาร์ที่น่าจดจำและรายละเอียดของซาวด์ดนตรีที่ถักทอออกมาเป็นบรรยากาศทางเสียงได้อย่างลงตัว
“Keepsake” คือก้าวแรกของ Hatchie ที่ทำให้เรารู้ว่า เธอจะไม่มีทางหยุดเดินและยังมีก้าวเดินต่อไปที่น่าจดจำรอคอยอยู่อย่างแน่นอน
ฟัง “Keepsake”
“How Am I Not Myself?” French Vanilla
อัลบั้มที่สองจากวง “French Vanilla” ที่เราอาจนิยามงานเพลงของพวกเขาและเธอได้ว่า “อาร์ต-พังค์” ด้วยความดิบ แปลกแปร่ง แหวก มันส์ คือองค์ประกอบสำคัญในงานเพลงของวงนี้ ที่มี “แซ็กโซโฟน” เป็นองค์ประกอบที่น่าจดจำ เสียงที่เล็กแหลม รุกเร้า เสียดแทง ที่ซึมแทรกผสานมากลางท่วงทำนองของเพลง เป็นอะไรที่ทำให้เราลืมเสียงแซ็กเพราะๆจากเพลงแจ๊สไปเลย มันคือเสียงที่เรียกร้องให้เราหยุดและให้ความสนใจกับมัน ซึ่งมันคือเสน่ห์อันแปลกประหลาดที่ทำให้เราอยากแนะนำอัลบั้มนี้ให้ฟัง ลองฟังเพลง “Suddenly” ดูก่อนเป็นเพลงแรกได้เลยครับ แล้วจะรู้ว่ามันเป็นยังไง
ฟัง “How Am I Not Myself?”