ภาพพจน์ของดาราฮอลลีวู้ดในสายตาผู้ชม คืออาชีพที่เพียบพร้อมไปด้วยชื่อเสียง เงินทอง และการเป็นที่รักใคร่สนใจจากแฟนหนังทั่วโลก ยิ่งถ้าประสบความสำเร็จในการแสดงได้ก้าวไปถึงนักแสดงระดับ Top 10 สิ่งที่ตามมาก็คือรายได้อย่างมหาศาลทั้งค่าเหนื่อยจากการแสดง ส่วนแบ่งกำไรจากภาพยนตร์ รายได้จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในฐานะผู้ชมเราได้รู้จักพวกเขาและเธอจากบทบาทในภาพยนตร์ ได้รู้จักชื่อเสียงหน้าตาของพวกเขาในวันที่พวกเขาประสบความสำเร็จ แต่หลาย ๆ คน เรื่องราวเบื้องหลังในชีวิตจริงก็น่าสนใจอยู่มาก ทั้งวีรกรรมที่เกิดหลังจอ หรือเส้นทางที่ผ่านความยากลำบากมาแสนเข็ญกว่าจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งสำนักพิมพ์หรือสำนักข่าวก็ไม่ได้หยิบมาเล่ากันในมุมกว้างนัก และนี่คือ 9 เรื่องราวของนักแสดง ที่สร้างวีรกรรมในชีวิตจริงได้อย่างน่าสรรเสริญ รวมไปถึงความมานะพยายามที่พาตัวเองมายังจุดสูงสุดในอาชีพได้สำเร็จ
1.เอมิเลีย คลาร์ก (emilia clarke) ก่อนมีชื่อเสียงจากทีวีซีรีส์ Game Of Thrones เธอต้องทำถึง 6 งานเพื่อเลี้ยงชีพ
แม้ว่าเธอจะเรียนทางด้านการแสดงมาโดยตรง แต่เมื่อเรียนจบแล้วเธอก็มีแค่บทสมทบเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่พอใช้ ทำให้เธอต้องทำงานเสริมต่าง ๆ นานาถึง 6 งานในแต่ละเดือน แล้ววันหนึ่งเอเยนต์ของเธอก็โทรมาชักชวนให้เธอไปออดิชันบท แดเนริส ทาร์แกเรียน หรือที่แฟน ๆ ซีรีส์รู้จักกันในนาม “แม่มังกร” และเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเธอให้กลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของฮอลลีวู้ด
ในวันที่เธอไปคัดตัวนักแสดง ผู้ที่มาทำหน้าที่คัดตัวนักแสดงก็คือ ดี.บี. ไวส์ และ เดวิด เบนิออฟ ผู้ให้กำเนิดซีรีส์เรื่องนี้เอง ทั้งคู่พึงพอใจกับผลงานของเอมิเลีย คลาร์ก แต่ประธาน HBO ยังไม่แฮปปี้ ซึ่งทั้งคู่ก็พยายามหว่านล้อมให้ท่านประธานเห็นคล้อยตาม ทำให้เอมิเลีย ได้โอกาสมาออดิชันครั้งที่ 2 ท่านประธานก็ยังไม่โอเคอยู่ดี ถึงจุดนี้เอมิเลีย ก็เลยขอคำแนะนำจาก เดวิด เบนิออฟ ว่าจะให้เธออะไรก็ได้นะ ถ้าทำแล้วท่านประธานจะพอใจ เดวิด ก็เลยถามว่า “งั้นเธอเต้นได้ไหมล่ะ” พอถึงรอบออดิชัน เอมิเลียก็ทำอย่างที่เธอสัญญาไว้จริงว่าจะให้เธอทำอะไรก็ได้ เอมิเลีย ก็เลยเต้นท่าหุ่นยนต์โชว์ซะเลย โดยไม่ต้องมีดนตรีประกอบ กลายเป็นผลสำเร็จประธาน HBO ยิ้มออก แล้วเราก็ได้เห็นเธอเป็น แดเนริส ทาร์แกเรียน
2.คิต ฮาริงทัน (kit harrington) ต่อยกับชายแปลกหน้าเพื่อปกป้องแฟน แล้วก็ไปออดิชันบทใน Game Of Thrones ด้วยตาเขียวช้ำ
คิต พาหญิงที่เขาคบหาอยู่ขณะนั้นไปทานอาหารในแมคโดนัลด์ เย็นวันนั้นลูกค้าแน่นร้าน คิตและแฟนสาวเลยต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ระหว่างทานอาหารก็บังเอิญมีปากเสียงกับผู้ร่วมโต๊ะ คิตเล่าว่าฝ่ายชายพูดจาหยาบคายใส่แฟนของเขา ทำให้คิดไม่พอใจ ผลลงเอยคือทั้งคู่ต้องออกไปชกต่อยกันนอกร้าน ปัญหาคือคู่ต่อสู้ตัวใหญ่กว่าแล้วคิตก็พลาดท่าโดนต่อยเข้าเบ้าตาจนปูด คิตไม่ได้เล่าว่าสุดท้ายแล้วเขาชนะหรือแพ้ในไฟต์นั้น เพราะที่น่ากังวลกว่าคือเช้าวันถัดมา คิดต้องมาออดิชันบท จอน สโนว์ ใน Game Of Thrones ก็ไม่รู้ว่าเพราะมาออดิชันด้วยตาปูดหรือเปล่า ที่ทำให้เขาได้รับเลือก
3.จิม แครีย์ (jim carrey) ก่อนมาเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ เขาต้องทำงานวันละ 8 ชั่วโมงในโรงงาน หลังเลิกเรียน
ถึงแม้วันนี้เขาจะห่างหายไปจากวงการแล้ว แต่เรื่องราวในอดีตของจิม ก็น่าชื่นชม ครอบครัวของเขาลำบากกันมาก หลังจากที่พ่อของจิมต้องตกงาน ครอบครัวต้องระเห็ดมาอาศัยอยู่ในรถตู้กัน จิมเองก็ต้องช่วยหาเลี้ยงครอบครัว เขายังเรียนหนังสือตามปกติ แต่พอเลิกเรียนเขาก็ต้องทำงานต่อในโรงงานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่จิม ก็ยังมีความใฝ่ฝันตลอดมาว่าอยากจะเป็นศิลปินตลก ในวัย 15 ปีเขาก็เลยทำตามความฝันด้วยการเริ่มต้นแสดงตลกในคลับ ที่รัฐโตรอนโต
4.โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (robert downey jr.) กับบทบาทฮีโรตัวจริงช่วยหญิงชราบาดเจ็บ
เหตุการณ์ในช่วงปี 90s โรเบิร์ตได้รับเชิญไปงานเลี้ยงในสวนแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย หญิงชราวัยกว่า 80 ปี พลาดท่าสะดุดทางลาดสำหรับรถวีลแชร์ โรเบิร์ต เห็นเหตุการณ์แล้วไม่รอช้า รีบเข้าไปประคองคุณยาย พบว่าเธอมีแผลที่คางรุนแรงเพราะคางกระแทกไปอย่างแรงกับขอบทางลาด โรเบิร์ตเข้าควบคุมเหตุการณ์ บอกให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เรียกรถพยาบาล ให้อีกคนไปเอาน้ำมาให้ยาย เขาพับแขนเสื้อขึ้น แล้วถอดเสื้อแจ็กเก็ตของเขามาปิดแผลคุณยาย ไม่พอแค่นั้นยังใช้จิตวิทยามาช่วยไม่ให้คุณยายตื่นตระหนกกับอาการบาดเจ็บมีเลือดไหลมากอีกด้วย เขาชื่นชมว่าคุณยายขาสวยจัง ตอนสาว ๆ ต้องสวยมากแน่เลย ปากหวานดีมาก! โรเบิร์ตอยู่ดูแลยายจนกระทั่งรถพยาบาลมาถึง ก่อนบ๊ายบายกัน เขายังให้เบอร์โทรศัพท์ยายไว้ นัดแนะกันไว้ยายหายแล้วไปกินข้าวกัน ไม่ได้มีการตามผลนะว่าตกลงยายได้ไปกินข้าวกับพระเอกอันดับหนึ่งคนนี้ไหม
5.เจสัน โมมัว (jason momoa) หลงรักภรรยาของเขามาตั้งแต่ 8 ขวบ
เรื่องราวของนักแสดงนำจาก Game Of Thrones อีกสักคน อันนี้อาจจะไม่ใช่วีรกรรมวีรบุรุษอะไรหรอกนะ แต่เป็นความแน่วแน่ในความรักเดียวใจเดียวของชายคนหนึ่งที่ตั้งปนิธานมาตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงจนได้แต่งงานกับเธอในอีก 20 ปีต่อมา ไลซา โบเนต์ (lisa bonet) เป็นนักแสดงสาวทีมีผลงานชุกในวงการทีวีซีรีส์ในยุค 80s – 90s เจสัน โมมัว ในวัย 8 ขวบ ได้เห็นไลซา โบเนต์ นักแสดงวัย 20 บนจอทีวี แล้วก็เกิดประทับใจในตัวเธอ ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กชาย ก็บอกแม่ว่า “ผมชอบเธอ ผมอยากได้คนนี้” จากจุดเริ่มต้นประทับใจของเด็กน้อย กลายเป็นความตั้งใจทีแรงกล้าขึ้นในวัยหนุ่ม เจสันมีปนิธานที่แรงกล้าขึ้น “ผมจะต้องสะกดรอยตามคุณไปตลอดชีวิต แล้วผมจะต้องเป็นเจ้าของคุณให้ได้” ในวันนั้นไลซา ก็แต่งงานมีครอบครัวแล้วกับ เลนนี คราวิตซ์ ร็อกเกอร์ชื่อดัง มีลูกสาวคือ โซอี คราวิตซ์ แต่แล้วทั้งคู่ก็แยกทางกันในปี 1993 เจสัน จึงได้มีโอกาสสานฝันให้เป็นจริง เจสัน ได้ไลซาเป็นเจ้าสาวของเขาในปี 2007 ในวันนั้นเจสัน อายุ 28 ปี เป็นนักแสดงที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้วแต่เขาก็ยังเลือกที่จะร่วมชีวิตกับนักแสดงหญิงรุ่นพี่ที่แก่กว่าเขาถึง 12 ปี วันนี้เจสัน กับ ไลซา มีบุตรด้วยกันแล้ว 2 คน
6.คอร์ตนีย์ คอกซ์ ให้เอ็ด ชีแรน มาอาศัยอยู่บ้านเธอในมาลิบู
ข่าวไม่ได้บอกว่า 2 คนนี้รู้จักกันได้อย่างไร คอร์ตนีย์ คอกซ์ (courtney cox) เป็นนักแสดงหญิงอเมริกันโด่งดังในยุค 90s จากซีรีส์ Friends และหนังฮิตอย่าง Scream ส่วนเอ็ด ชีแรน (ed sheeran) เป็นศิลปินพอปชาวอังกฤษ เอ็ด เริ่มมีชื่อเสียงจากอัลบั้มแรก + ในปี 2011 , ระหว่างที่เอ็ด กำลังเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่อยู่นั้น เขาก็ไปพักอยู่ในบ้านของคอร์ตนีย์ คอกซ์ ในมาลิบู ซึ่งเธอใจดีให้เอ็ด พักอยู่ด้วยฟรี ซึ่งเอ็ดก็ทำหน้าที่ผู้อาศัยที่ดีด้วยการจัดเตียง ทำความสะอาดบ้านให้ ชงชาให้เจ้าของบ้านดื่ม เอ็ดพักอยู่กับคอร์ตนีย์หลายเดือน ซึ่งเขาก็ให้สัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคอร์ตนีย์มาก แล้วภายหลังเขาก็ได้ตอบแทนเธอด้วยการแนะนำให้คอร์ตนีย์ รู้จักกับ จอห์นนี แมคเดด ศิลปินวง Snow Patrol ซึ่งทั้งคู่ก็คบหากันไปด้วยดี เอ็ด ปลาบปลื้มมากบอกว่าไม่เคยเห็นคู่นี้มีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลย
7.โรเบิร์ต เดอ นีโร (robert de niro) นักแสดงผู้ทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อบทบาทที่เขาแสดง
เรามักจะเห็นความทุ่มเทตั้งใจของนักแสดงฮอลลีวู้ดที่เพิ่มน้ำหนัก ลดน้ำหนัก แปลงโฉมจนจำไม่ได้เพื่อบทบาทในภาพยนตร์ หลายคนก็เปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าทึ่ง แต่ในเรื่องการทุ่มเทจริงจังอย่างที่สุดนี้ต้องยกให้ โรเบิร์ต เดอ นีโร นักแสดง 2 รางวัลออสการ์ ปี 1981 เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากหนัง Ragging Bull โรเบิร์ตรับบทเป็น แจ็ค ลามอตตา นักมวยระดับตำนานตัวจริง เพื่อบทนี้โรเบิร์ต ไปฝึกต่อยมวยกับแจ็ค ลามอตตา ตัวจริง โรเบิร์ตฝึกอย่างเอาจริงเอาจังมากเขาใช้เวลาไปกับการฝึกนับร้อยชั่วโมง แล้วยังเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นไปถึง 27 กิโลกรัม นอกจากได้ทักษะในการชกมวยมาใช้ในการแสดงได้อย่างสมจริงแล้ว โรเบิร์ต ยังได้ความรู้ความสามารถในการต่อยมวยในระดับนักมวยอาชีพเลยด้วย เขายังเคยขึ้นต่อยจริง 3 ยกกับนักมวยอาชีพ ผลคือโรเบิร์ตชนะไป 2 ไฟต์จาก 3 ไฟต์ แจ็ค ลามอตตา ยังชื่นชมว่าโรเบิร์ต เดอ นีโร นี่คือนักมวยอาชีพตัวจริงเลย
เรื่องการทุ่มเทเพื่อบทในแบบบ้าบอเกินจริงยังไม่หมดเท่านี้ ตอนที่รับบทนำใน Taxi Driver (1976) อีกหนึ่งหนังอมตะ ที่ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์อีกครั้ง เพื่อบทนี้ โรเบิร์ต ถึงขั้นไปขับแท็กซี่จริง ๆ เพื่อเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครที่เขาเล่น ยังมีบ้ากว่านี้อีกเขารับบทวายร้ายโรคจิตใน Cape Fear (1991) เพื่อให้ภาพลักษณ์ของ แมกซ์ เคดี ออกมาได้น่ากลัวที่สุด โรเบิร์ต ไปหาหมอฟันให้กรอฟันของเขาให้ดูแหลมคมเพื่อเพิ่มรังสีอำมหิตให้กับบท พอหนังถ่ายทำเสร็จ โรเบิร์ต ต้องจ่ายอีก 600,000 บาท ให้กับหมอฟัน เพื่อแก้ไขฟันเขาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม มีใครบ้ากว่านี้อีกไหม
8.มอร์แกน ฟรีแมน (morgan freeman) สละที่ดิน 313 ไร่ให้เป็นดินแดนของผึ้ง
เขาสละที่ดินส่วนตัวจำนวน 313 ไร่นี้ ปลูกดอกไม้เต็มไปหมด จุดประสงค์ก็เพื่อให้ฝูงผึ้งได้มาดูดน้ำหวานไปสร้างรัง และจะไม่มีการตัดรังผึ้งไปทำน้ำผึ้งแต่อย่างใด ทั้งหมดนี้เพราะมอร์แกน ฟรีแมน เล็งเห็นความสำคัญของผึ้งในธรรมชาติ การขยายพันธุ์พืชทั่วโลกด้วยการถ่ายละอองเรณูนั้น กว่า 80% มาจากกิจกรรมของผึ้งนั่นเอง เขาจึงตั้งใจเพิ่มประชากรผึ้งด้วยพื้นที่ของเขาเอง มอร์แกน เคยโชว์ว่าเขาเป็นเพื่อนกับเหล่าผึ้ง ด้วยการเข้าไปหาฝูงผึ้งโดยไม่สวมชุดป้องกัน เขายืนยันว่าถ้าเราไม่แสดงท่าทีว่าเป็นอันตรายต่อมัน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา เอ่อ! ผมไม่กล้าเสี่ยงคนนึงล่ะ
9.เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (jennifer lawrence) ไม่ผ่านออดิชันบท 2 ครั้งก็ยังไม่ละความพยายาม
แม้ว่าแฟนหนังจะรู้จักเธอจากบท “แคทนิส” ใน The Hunger Game แต่ในวงการแสดงนั้น บทที่ทำให้สตูดิโอและนักวิจารณ์หันมาให้ความสนใจเธอคือบทบาทจากหนัง Winter’s Bone (2010) เป็นหนังเรื่องแรกที่เธอได้รับบทนำ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่สุดคือ ออสการ์นักแสดงนำหญิง แม้จะพลาดไป แต่ก็นับเป็นความสำเร็จขั้นต้นในอาชีพนักแสดงของเธอ
แต่กว่าที่เธอจะได้รับทนี้ก็ไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ เธอต่อสู้และแสดงถึงความมานะพยายามอย่างที่สุด ว่าเธอต้องการบทนี้จริง ๆ เจนนิเฟอร์ ไปออดิชันบทมา 2 ครั้ง แล้วทั้ง 2 ครั้ง ผู้อำนวยการสร้าง และผู้คัดเลือกนักแสดงก็บอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับบทนี้ แต่ถึงขนาดนี้เจนนิเฟอร์ ก็ยังไม่ยอมรับคำปฏิเสธ เธอบินตามทีมงานไปนิวยอร์กในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อขอโอกาสอีกครั้ง จนทีมงานยอมแพ้ในความตั้งใจจริงของเธอ แล้วมอบบทให้เธอในที่สุด ซึ่งเธอก็แสดงให้ทีมงานเห็นชัดแล้วว่า เธอไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังจริง ๆ นอกเหนือจากความเป็นนักแสดงมืออาชีพแล้ว เจนนิเฟอร์ยังเป็นสาวจิตใจงาม เธอใช้เงินตัวเองตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส เพื่อสนับสนุนเด็ก ๆ ที่อยากเรียนแต่ขาดทุนทรัพย์ รูปงาม น้ำใจงาม ขอให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะจ๊ะ
ทั้ง 9 วีรกรรมน่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ท้อแท้ได้ฮึกเหิมมีแรงต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ นานาบ้างนะครับ พวกเขาและเธอคือตัวอย่างส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจจริง ไม่ยอมแพ้ ก็นำมาซึ่งความสำเร็จทั้งในเรื่องอาชีพการงานและเรื่องชีวิตส่วนตัว สู้ ๆ ครับ