Peanut Butter Falcon เพิ่งเข้าฉายในบ้านเราในชื่อ “คู่ซ่าบ้าท้าฝัน” เป็นหนังฟีลกู๊ดที่ให้ทั้งรอยยิ้มขณะรับชมและความอบอุ่นใจหลังเดินออกจากโรง เป็นหนังฟอร์มเล็กที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก แม้หนังจะได้รับคำชื่นชมมาอย่างท่วมท้นจากบรรดานักวิจารณ์ทั่วทุกสารทิศ จนหนังกวาดคะแนนจากเว็บไซต์ Rottentomatoes ไปอย่างบ้าบอถึง 95% และ IMDB ที่ 8.0
ตัวหนังพูดถึงแซค เด็กดาวน์ ซินโดรม ที่หนีจากศูนย์ดูแลคนชรา เพื่อไปตามหานักมวยปล้ำในตำนานเพราะเขามีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำมาตลอด แล้วก็ต้องจับพลัดจับผลูไปร่วมทางกับไทเลอร์ คนหาปลาไรถิ่นฐานที่ไปมีเรื่องกับแก๊งนักเลงเจ้าถิ่นจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนซี้กันในเวลาอันสั้น แล้วไทเลอร์ก็ยอมทุ่มเทเวลาเพื่อให้แซคได้ไปตามความฝันแม้ว่าเพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน
เรื่องราวของคนแปลกหน้าที่มีเจตนาดีให้กันและกันไม่ใช่มีเพียงแค่ในตัวหนังเรื่องนี้ แต่ความปรารถนาดีที่คนแปลกหน้ามีให้กันนั้นมันมีมาตั้งแต่เบื้องหลังอันเป็นจุดกำเนิดหนังเรื่องนี้แล้ว ที่พอได้รู้เรื่องราวจุดกำเนิดอันน่าอัศจรรย์นี้แล้วอดก็ไม่ได้ที่จะหยิบมาเล่าสู่กันฟัง เพราะมันล้วนป็นวีรกรรมที่น่ารักน่าสรรเสริญของคนฮอลลีวู้ดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่ในหนังเรื่องไหน แล้วก็ถ่ายทอดความรู้สึกสวยงามเหล่านั้นออกมาเป็นภาพบนหนัง Peanut Butter Falcon หนังดี เพียบพร้อมด้วยสาระ ที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับทุกคนที่ได้ชมเรื่องนี้
ขอเล่าแบบเป็นข้อ ๆ ตามลำดับเหตุการณ์ที่เป็นจุดกำเนิด Peanut Butter Falcon
1.เรื่องราวถือกำเนิดจากมนุษย์น่ารัก 2 คนนี้ ไมเคิล ชวาร์ต และ ไทเลอร์ นิลสัน ที่เป็นเพื่อนกันมากว่า 10 ปีแล้ว ไมเคิล เป็นนักตัดต่อภาพยนตร์ ส่วนไทเลอร์ เป็นนายแบบมือ แปลว่าได้โชว์เฉพาะมือแทนดาราหรือนายแบบตัวจริง เขาเคยเป็นมือให้แบรด พิตต์ มาแล้วด้วย แต่ว่าทั้ง 2 คนนี้ เรียกได้ว่าเป็นทีมงานระดับล่าง ๆ ในฮอลลีวู้ดเลยก็ว่าได้ และเขาทั้งคู่ก็ไม่ค่อยมีงานนัก จึงมีเวลาว่างพอสมควร
2.แต่ก็เป็นคนที่จิตใจเอื้อเฟื้อดีมาก เมื่อปี 2014 ทั้งคู่ได้อาสาทำตัวเป็นประโยชน์ด้วยการเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมเวิร์กช้อปที่ Zeno Mountain Farm ในแคลิฟอร์เนีย https://zenomountainfarm.org/
กิจกรรมที่คู่หูไปช่วยก็คือช่วยสอนการแสดงให้กับบุคคลทุพพลภาพ และในเวิร์กช้อปนี้ คู่หูไมเคิลและไทเลอร์ ก็เกิดความประทับใจในตัว แซค กอตซาเจน ชายผู้เป็นดาวน์ ซินโดรม วัย 29 ปีในวันนั้น ผู้มีพรสวรรค์ในการแสดง
3.แซค กอตซาเจน เป็นดาวน์ ซินโดรม แต่รักในการแสดงมาตั้งแต่เด็ก เขาเข้าเรียนการแสดงและมีผลการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา ความใฝ่ฝันของแซคคืออยากเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ดแบบจริงจัง แต่ในระหว่างนี้เขาก็ทำงานเป็นพนักงานเดินตั๋วในโรงหนัง
4.ด้วยความประทับใจในฝีมือการแสดงของแซค ที่เป็นดาวน์ ซินโดรม ไมเคิล และไทเลอร์ ได้ให้สัญญากับแซคว่าจะผลักดันความฝันของแซค ที่อยากเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ดให้เป็นจริงให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ไม่มีเส้นสายและไม่รู้จักใครที่มีอิทธิพลพอจะสนับสนุนเขาได้เลย แม้กระทั่งตัวไทเลอร์และไมเคิลเองก็ไม่มีทักษะใด ๆ ในการสร้างภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย
5.สิ่งแรกที่ทั้งคู่เริ่มทำคือเริ่มต้นจากบท ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐาน ทั้งคู่เลือกที่จะเดินเข้าห้องสมุดแล้วก็ศึกษาวิธีการเขียนบทด้วยตัวเอง เริ่มเขียนพลอตโดยใช้บุคลิกลักษณะของตัวแซค กอตซาเจน เองเป็นศูนย์กลาง ให้ตัวละครหลักเป็นดาวน์ซินโดรม มีความหลงใหลในกีฬามวยปล้ำ เช่นเดียวกับแซค
6.ระหว่างที่กำลังพัฒนาบทภาพยนตร์อยู่นั้น ทั้งคู่มีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากเพราะแต่ละคนก็ไม่ค่อยมีงานมากนัก ไทเลอร์จะลำบากกว่าตรงที่ว่าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าบ้าน โดนแบงก์ยึดจน ถึงขั้นต้องมากางเต็นท์นอน ไมเคิลเพื่อนรักก็แวะมาเยี่ยมเขาเป็นครั้งคราว ไทเลอร์เล่าความลำบากให้ฟังว่า “ผมประทังชีพด้วยการกินไก่ 1 ชิ้น มันหวานครึ่งหัว และเนย 1 ช้อน นี่คืออาหารใน 1 วันของผม ผมต้องเจียดค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใน 5 – 10 เหรียญต่อวันเท่านั้น”
7.เมื่อบทเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งคู่ก็เจอทางตันอีกเพราะไม่รู้อีกว่าจะเอาบทไปเสนอใคร แต่แล้วความเชื่อที่ว่า ฟ้าย่อมให้ทางสว่างแก่คนดีมีความมุมานะ ก็เริ่มมีผลให้เห็นเมื่อช่วงท้ายปี 2015 จอช โบรลิน นักแสดงเบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวู้ด โพสต์อินสตาแกรม โดยมีใจความว่า ในวาระสิ้นปี 2015 นี้ เขาอยากจะทำความดีในการช่วยเหลือผู้คนเพื่อเป็นการตอบแทนสังคมดูบ้าง ทั้งคู่เห็นโพสต์นี้คือใบเบิกทางครั้งสำคัญของพวกเขา แล้วทั้งคู่ก็เอาบทภาพยนตร์ส่งอีเมลไปถึงจอช โบรลิน เหมือนฟ้ามีตาจริง ๆ จอช โบรลิน อ่านแล้วตอบกลับมาภายใน 10 นาทีนั้นเลย “ผมยินดีที่จะช่วยพวกคุณ”
8.เมื่อได้นักแสดงระดับ จอช โบรลิน รับอาสาเป็นหัวเรือใหญ่ บทหนังก็เดินหน้าฉลุยสู่ความเป็นจริง จอชได้จัดหานายทุนที่เห็นชอบและอนุมัติสร้างหนังจากบทของทั้งคู่ แล้วยังให้ทั้งคู่เป็นผู้กำกับเองด้วย รวมถึงตัว จอช โบรลิน ก็อาสาร่วมแสดงในหนังด้วย แต่ภายหลังคิวถ่ายทำชนกับ Deadpool 2 เขาเลยจำต้องส่งต่อบทให้กับ โธมัส เฮเด็น เชิร์ช นักแสดงยอดฝีมืออีกคนของฮอลลีวู้ด
9.ส่วนบทนำของหนังนั้นก็ได้ เบ็น ฟอสเตอร์ นักแสดงระดับยอดฝีมือเช่นกัน แต่พอใกล้เปิดกล้องภรรยาของเบ็นเกิดตั้งครรภ์ เบ็นจำเป็นต้องอยู่ดูแลภรรยา เขาจึงโทรหาไชอา ลาบัฟด้วยตัวเอง เพื่อให้มารับบทนำแทนเขา ไชอา ได้อ่านบทแล้วก็ตกลงรับงาน แล้วนักแสดงที่เหลือก็ล้วนแต่สร้างความตื่นเต้นให้กับ 2 ผู้กำกับหน้าใหม่อย่างมาก เพราะได้มาทั้ง ดาโกตา จอห์นสัน นางเอกสุดสวยจากไตรภาค Fifty Shades และบรู๊ซ เดิร์น นักแสดงอาวุโสของฮอลลีวู้ด และจอห์น ฮอว์ค นักแสดงผู้เคยได้เข้าชิงออสการ์มาแล้ว
10.หนังถ่ายทำกันใน ซาวันนา รัฐจอร์เจีย ปี 2017 เป็นกองถ่ายเล็ก ๆ ที่นักแสดงได้อยู่ร่วมกันแบบเป็นครอบครัว ทานข้าวด้วยกัน โดยเฉพาะแซค กอตซาเจน และไชอา ลาบัฟ ที่อายุใกล้เคียงกัน ไชอา 33 ส่วนแซค 34 จะสนิทเข้าขากันได้ดีเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวหนัง ที่ความสนิทสนมของทั้งคู่ถ่ายทอดไปบนตัวละครของพวกเขาในหนังได้อย่างดี
11.ในขณะถ่ายทำ ไชอา ยังอยู่ในช่วงสับสนของชีวิต เขาไม่ค่อยมีงานแสดงและเริ่มติดแอลกอฮอลล์ แม้กระทั่งในช่วงถ่ายทำไชอาก็ยังขับรถไปดื่มแอลกอฮอล์ในเมือง แล้วก็โดนตำรวจจับ ด้วยความเมาทำให้เขาด่าตำรวจในโรงพัก ด้วยถ้อยคำที่ออกไปในเชิงเหยียดผิว กลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น
12.กลายเป็นว่าคนที่ให้กำลังใจและจุดสำนึกให้ไชอาตัดสินใจเลิกแอลกอฮอลล์ได้ก็คือ แซค กอตซาเจน เพื่อนดาวน์ซินโดรมคนนี้นี่เอง ไชอาเล่าให้ฟังว่า เขากับแซค นั่งเล่นหน้าบ้านพักด้วยกันเหมือนเช่นทุกวัน แซคจะนั่งกอดถังไอติมอย่างเช่นทุกวัน ส่วนไชอาก็มีแก้วจินอยู่ในมือ ไชอาหันไปมองแซคจ้วงไอติมอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกห่วงสุขภาพของแซคก็เลยทักท้วงไปว่า “นายน่าจะหยุดกินไอติมได้แล้วนะ” แซคเหลือบตามองไชอา มองแก้วในมือไชอาแล้วตอบกลับไปว่า “นายก็เหมือนกันแหละน่าจะหยุดดื่มจินได้แล้วนะ” แค่ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่จริงใจก็ทำให้ไชอาสะอึกและหยุดคิดขึ้นได้ ว่าเขามัวทำอะไรอยู่
13.เสร็จจากการถ่ายทำ แต่ความสัมพันธ์ของไชอา และแซค ยังคงเหนียวแน่น เมื่อทั้งคู่สัมผัสได้อย่างจริงจังว่าพวกเขาเข้าถึงความรู้สึกภายในกันได้อย่างจริงใจ ไชอาต้องเขารับการบำบัดอาการติดแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์เป็นข้อบังคับจากทางการหลังจากเขาโดนจับแล้วไปก่อเรื่องบนโรงพัก ในระหว่างที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังออกจากสถานบำบัด ไชอาก็รีบโทรแจ้งข่าวถึงแซคเพื่อนรักเป็นคนแรก
14.มาถึงตัวหนัง ด้วยความที่เป็นหนังฟอร์มเล็ก จึงไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ แต่หนังได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากจากเหล่านักวิจารณ์ กวาดรางวัลมาเพียบแทบทุกเวทีประกวด เป็นหนังที่ฉายแสงให้เห็นถึงความตั้งใจมุมานะของทุกคนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แซค กอตซาเจน โดดเด่นมากในบท “แซค” ที่แทบจะถ่ายทอดบุคลิกตัวเขาเองออกมา เขาไม่เพียงแค่แสดงได้ แต่แสดงได้ดี แล้วการแสดงที่เป็นธรรมชาติของเขาก็สามารถยืนเด่นได้แม้กระทั่งมีนักแสดงมืออาชีพอย่างไชอา ลาบัฟและดาโกตา จอห์นสัน ประกบอยู่ทั้ง 2 ข้าง
15.แซค ไม่เพียงแต่ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงที่เขาได้เป็นนักแสดงฮอลลีวู้ดตัวจริงแล้ว เขายังทำหน้าที่ตัวแทนผู้ป่วยดาวน์ ซินโดรม อีกมากที่อยากจะเป็นนักแสดงอย่างเขา เขาทำหน้าที่เป็นใบเบิกทางให้โลกเห็นว่า คนที่เป็นดาวน์ ซินโดรม ก็สามารถแสดงหนังได้ โดยไม่ต้องใช้นักแสดงฮอลลีวู้ดที่สภาพร่างกายและจิตใจปกติมารับบทแทน อย่างที่ผ่านมา
16.Peanut Butter Falcon เป็นหนังคุณภาพเรื่องเล็ก ๆ ที่ให้ทั้งความสุข เสียงหัวเราะ และข้อคิดเป็นอย่างดี แม้หน้าหนังที่ดูเป็นหนังสายรางวัล แต่รางวัลที่ได้นั้นมาจากคุณภาพที่มาในรูปแบบความบันเทิง หนังทำให้ดนดูได้หัวเราะและยิ้มไปตลอด 97 นาทีของหนัง ซึ่งรอยยิ้มส่วนใหญ่ล้วนมาจากแซค ที่ถ่ายทอดความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาให้เราสัมผัสได้ แม้กระทั่งนั่งเฉย ๆ ก็ยังทำให้คนดูยิ้มให้กับเขาได้ ผู้กำกับไทเลอร์และไมเคิลได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสองคนนี้รัก ผูกพันและรู้จักแซคอย่างแท้จริง จึงสามารถถ่ายทอดตัวตนของแซคออกมาบนจอหนังได้อย่างลึกซึ้งเพียงนี้
Peanut Butter Falcon ก่อเกิดได้จากมนุษย์เบื้องหลังที่มีเจตนาดีต่อกัน แม้จะไม่เคยรู้จักผูกพันกันมาก่อน ตั้งแต่ผู้กำกับไทเลอร์และไมเคิลที่อยากจะสานความฝันให้แซค ต่อด้วยจอช โบรลิน ที่อยากจะตอบแทนสังคมด้วยการสนับสนุนคนทำหนังหน้าใหม่ แล้วสุดท้ายหนังก็สานความฝันให้มนุษย์ดาวน์ซินโดรมคนหนึ่งได้เป็นนักแสดงตัวจริง แล้วแซคก็ยังได้เพื่อนซี้คนใหม่ที่รักกันมาก เขายังช่วยเพื่อนใหม่คนนี้ให้เลิกเหล้าได้สำเร็จอีกด้วย แล้วท้ายที่สุด 2 ผู้กำกับ-เขียนบทหน้าใหม่ จากคนที่ไม่เคยมีความรู้ทั้งเขียนบทและกำกับหนังมาก่อนในชีวิต ก็ได้สร้างหนังที่ดูสนุกและสวยงามได้อย่างไม่น่าเชื่อสมคุณค่ากับทุกรางวัลที่หนังคว้ามาได้ ซึ่งทำให้เขาก็ไม่ต้องนอนในเต็นท์อีกต่อไปแล้ว
เสียดายครับ Peanut Butter Falcon ก็จะกลายเป็นหนังคุณภาพอีกเรื่อง ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งเนื้อหา สาระ การแสดงจากนักแสดงคุณภาพ และความตั้งใจทุ่มเทของ 2 ผู้กำกับเขียนบทก็จะลาโรงไปอย่างเงียบ ๆ ในไม่กี่วันนี้