Oh my love… my darling

I’ve hungered for your touch

A long lonely time

And time goes by so slowly

And time can do so much

Are you still mine

เสียงชายหนุ่มเอ่ยถ้อยคำรักอันอ่อนหวานและอ่อนไหวผ่านท่วงทำนองอันแสนหวานและโรแมนติก

เราได้ยินบทเพลงที่มีชื่อว่า “Unchained Melody” เพลงนี้เป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง “Ghost” (1990) หรือในชื่อไทยว่า “วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก”  ในฉาก “ปั้นหม้อ” อันแสนโรแมนติกและอีโรติกในเวลาเดียวกัน ใครจะไปคิดว่าการปั้นหม้อนั้นจะสร้างอารมณ์หวามไหวได้มากถึงเพียงนี้  ภาพของแพทริค สเวย์ซี ที่โอบรัด เดมี่ มัวร์ จากด้านหลังก่อนจะเค้าคลึงมือคู่นั้นของเธอที่กำลังฉ่ำแฉะอยู่บนดินอันเหนียวเหนอะ ที่ทั้งคู่ช่วยกันขึ้นโครงมันให้เป็นลำขึ้นมา ท่ามกลางท่วงทำนองอันแสนโรแมนติกจากตู้เพลงที่กำลังบรรเลงบทเพลง “Unchained Melody” จากในปี 1965 ที่ขับร้องโดย The Righteous Brothers ไม่แปลกใจเลยที่ฉากนี้จะกลายเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับสองของอเมริกาในปีนั้น และกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์รักเรื่องเยี่ยมที่คอหนังต้องชมอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต

โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Ghost ฉบับญี่ปุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพลง “Unchained Melody” มีบทบาทสำคัญต่อฉาก “ปั้นหม้อ” รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก คลิปด้านล่างนี้ทำให้รู้เลยว่าพอเอาเพลงออกไปแล้วมันจะเป็นอย่างไร

Play video

 

ด้วยเหตุนี้ “Unchained Melody” เวอร์ชันที่มีคนเปิดฟังมากที่สุด หรือคิดถึงมากที่สุดก็เลยไม่พ้นเวอร์ชันของ The Righteous Brothers ที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วบทเพลงนี้มีประวัติความเป็นมาอันนานเนิ่นก่อนนี้ แถมยังมีศิลปินนำไปร้องไปคัฟเวอร์ในเวอร์ชันของตัวเองอีกมากมาย ซึ่งรวมไปถึงราชาร็อกแอนด์โรล “เอลวิส เพรสลีย์” ก็ด้วย

Play video

 

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1955  เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Unchained” ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายของ Kenyon Judson Scudder ในปี 1952  เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบปานกลางไม่เข้มมาก ก็เลยเกิดความคิดสับสนขึ้นมา ว่าควรจะเลือกทางไหนดีระหว่างทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมและใช้ชีวิตให้ครบกำหนดพ้นโทษซะ หรือวางแผนแหกคุกเพื่อไปพบกับภรรยาสาวที่เขารักอย่างสุดซึ้งและคิดถึงอย่างสุดใจ

 

Oh my love… my darling

I’ve hungered for your touch

A long lonely time

And time goes by so slowly

And time can do so much

Are you still mine

 

“โอ้ที่รักของผม…ยอดดวงใจของผม

ผมโหยหาสัมผัสจากคุณเหลือเกิน

เวลาที่ผันผ่านมันช่างนานแสนนาน เนิ่นนาน

เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

และเวลาที่ผ่านไป คงมีอะไรเกิดขึ้นได้มากมาย

ตอนนี้คุณยังเป็นของผมอยู่รึเปล่านะ ?

 

เพลงในเวอร์ชันที่ใช้กับหนังขับร้องโดย Todd Duncan ซึ่งเล่นบทรองในหนังเรื่องนี้ด้วย

Play video

“Unchained Melody” แต่งทำนองโดย Alex North ส่วนเนื้อเพลงนั้นเขียนโดย Hy Zaret (เป็นนามปากกา ของ William Stirrat) ซึ่งในตอนแรกเล่นตัวไม่ยอมมาเขียนเนื้อให้ โดยอ้างว่ากำลังติดพันกับการทาสีบ้านอยู่ (ข้ออ้างอะไรเนี่ย !)  แต่สุดท้ายเขาก็ตกลงเขียนเนื้อเพลงให้เพื่อนำเงินไปเรียนต่อและเพื่อเอาชนะใจ Bernice หญิงสาวที่เขาหลงรักซึ่งกลายมาเป็นภรรยาของเขาในที่สุด

แต่ที่จริงแล้วเนื้อเพลงที่อยู่ใน “Unchained Melody” นั้นมาจากเนื้อเพลงที่ Stirret เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อตอนอายุ 16 และแน่นอนมันไม่ได้เขียนถึง Bernice แน่ๆเพราะทั้งคู่ยังไม่ได้รู้จักกันในเวลานั้น หากแต่มันเป็นถ้อยคำรักที่เขาเขียนถึง Mary Louise “Cookie” Pierce สาวน้อยน่ารักที่อยู่ข้างบ้านของเขานั่นเอง ซึ่งเขานิยมเธอว่าเป็น “สาวที่น่ารักในสุดในหมู่เพื่อนบ้าน” แต่ด้วยความเขินอายจึงได้แต่แอบรักเขาข้างเดียวและไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้น ส่วนตัวเพลงก็ยังแต่งไม่เสร็จเสียที แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นถ้อยคำรักที่รอการเอื้อนเอ่ยและอยู่ในใจของเขาตลอดมา ท้ายที่สุดแล้วสาวเจ้าก็ไปแต่งงานกับหนุ่มหน้าตาดีมีฐานะ ส่วน Stirret ก็ต้องกินแห้วไป แต่ในเวลาต่อมาหลังจากเพลง “Unchained Melody”  ได้กลายเป็นเพลงที่โด่งดังและ Stirret ได้แต่งงานกับ Bernice และมีลูกด้วยกันแล้ว เขาก็พาภรรยาและลูกไปเยี่ยม Cookie แม่สาวรักแรกของเขา และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงคนทั้งคู่เข้าด้วยกันนั่นก็คือ “เสียงดนตรี” เพราะ Cookie เองก็เป็นคนที่รักดนตรีเช่นเดียวกันกับ Stirret

William Stirret และ Mary Louise “Cookie” Pierce เพื่อนบ้านที่สวยน่ารักที่สุดของเขา ผู้เป็นที่มาของคำหวานๆใน Unchained Melody

ผ่านมา 10 ปีจากวันที่เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นมาโดย Alex North และ Hy Zaret (William Stirrat) มันได้ถูกนำไปทำใหม่และคัฟเวอร์ใหม่โดยศิลปินมากมายหลายเวอร์ชัน จนกระทั่งถูกนำไปขับร้องและเรียบเรียงใหม่อีกครั้งโดยนักร้องคู่ดูโอ บิล เมดลีย์ (Bill Medley) และบ็อบบี แฮตฟิลด์ (Bobby Hatfield) ในนาม The Righteous Brothers (เดอะไรเชียสบราเธอส์) ที่ทำเพลงออกมาในแนวที่ถูกขนานนามว่า “บลู-อายด์โซล” ซึ่งหมายถึงแนวเพลงอาร์แอนด์บีหรือโซลที่เล่นโดยคนผิวขาวนั่นเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ไวต์โซล”  ทั้งคู่มีชื่อเสียงโด่งดังจากความสามารถทางด้านการร้องเพลงทั้งในเรื่องช่วงกว้างของเสียง การควบคุมเสียงและการถ่ายทอดอารมณ์ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ โดยเมดลีย์จะร้องในส่วนเสียงต่ำและลึก กับเสียงเบส-แบร์ริโทน ขณะที่แฮตฟิลด์จะมีเสียงร้องที่สูง กับเสียงเทเนอร์ที่สูง

The Righteous Brothers

แต่เดิมทั้งคู่ไม่ได้ใช้ชื่อวงว่า The Righteous Brothers และไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคน ย้อนกลับไปในปี 1962 ทั้งคู่และผองเพื่อนรวมกันทั้งหมด 5 คนได้เล่นดนตรีด้วยกันในนาม เดอะ พารามัวส์ (The Paramours) อยู่ที่ลอสแองเจลิสด้วยความที่เล่นดนตรีคนดำได้โดนใจ เลยมีนาวิกโยธินผิวดำคนหนึ่งในหมู่ผู้ฟังได้ตะโกนขึ้นมาบนเวทีว่า “That was righteous, brothers!” (โอ้วว มันใช่เลยว่ะ โบรส์ !!) พอทั้งคู่ออกมาเป็นดูโอก็เลยเอาชื่อนี้มาใช้

Play video

 

ในตอนแรกทั้งคู่ต่างแย่งกันว่าใครจะเป็นคนฉายเดี่ยวในเพลงนี้ สุดท้ายหวยก็ไปออกที่แฮตฟิลด์ซึ่งเป็นเทพในการร้องด้านเสียงสูง ซึ่งเขาก็ร้องสูงแบบซึ้งได้ใจมาก ๆ

“Unchained Melody” คือบทเพลงที่โด่งดังที่สุดของพวกเขา และมันได้ถูกบรรจุไว้ในอัลบั้ม “Just Once in My Life “ เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 4 ในสหรัฐอเมริกา และอันดับที่ 14 ในอังกฤษ และโด่งดังเรื่อยมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1990 เพลงนี้ถูกนำมาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Ghost (วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก) ในฉากปั้นหม้อในตำนานในที่สุด

เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ “Unchained Melody” เป็นเพลงที่ถูกนำมาทำใหม่หรือนำมาคัฟเวอร์อยู่เสมอ (เช่น George Benson (1979)  , Gareth Gates (2002) หรือวงร็อกรุ่นใหญ่อย่าง U2  ก็เคยคัฟเวอร์ไว้ใน B-Sideของซิงเกิล “All I Want Is You” ในปี 1989) จนทำให้มันกลายเป็นเพลงรักไร้พันธนาการ ที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจจองจำมันได้เช่นเดียวกัน

Source

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส