ก่อนเราจะได้ดูหนัง Doctor Sleep ลางนรก ที่กำลังจะเข้าฉายนี้ มีหลายอย่างที่ควรพูดถึงสำหรับคนที่สนใจอยากดูโดยไม่ว่าด้วยเหตุผลตั้งต้นคืออะไร อย่างไรก็ตามนี่คือหนังสยองขวัญที่น่าจับตามองอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง ในปีที่หนังของสตีเฟน คิง เข้าฉายพรวดเดียวถึง 4 เรื่องเลยเมื่อรวมเรื่องนี้แล้ว (Pet Semetary, It Chapter 2, และ In The Tall Grass) เราจึงขอเล่าที่มาและเรื่องราวก่อนหน้า เผื่อผู้ชมที่กำลังรอชมหนังเรื่องนี้กัน
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Doctor Sleep ลางนรก นี่คือหนังสยองขวัญดัดแปลงจากนิยายปี 2013 จากปลายปากกาของ สตีเฟน คิง (Stephen King) นักเขียนนิยายสยองขวัญแห่งยุค โดยเป็นเรื่องราวภาคต่อที่คิงใช้เวลาห่างจากเล่มแรกที่ชื่อ The Shining คืนนรก เมื่อปี 1977 ถึง 36 ปีทีเดียว ถ้าคุณรู้จักคิงอยู่บ้างคุณก็น่าจะพอทราบว่า นิยายของเขาถูกถ่ายทอดสู่สื่ออื่น ๆ ทั้งมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์ ตลอดจนหนังฮอลลีวูดหลายเรื่อง โดยเฉพาะ The Shining โรงแรมผีดุ หนังปี 1980 ซึ่งเป็นหนังภาคแรกนั้นก็ถูกดัดแปลงจากผู้กำกับระดับตำนานของวงการหนังอย่าง สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) และจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรรู้เรื่องราวหลากหลายเวอร์ชันที่สร้างจากนิยายเล่มแรกเสียก่อน
ต้นกำเนิดเรื่องราว ฉบับนิยายปี 1977
ในนิยาย The Shining คืนนรก คิงนำผู้อ่านไปรู้จักเรื่องราวของครอบครัว ทอร์แรนซ์ ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวคือ แจ๊ก ทอร์แรนซ์ ผู้เคยติดเหล้าอย่างหนักและมีประวัติทำร้าย แดนนี่ ลูกชายวัย 5 ขวบของเขาจนแขนหัก ทั้งยังมีปัญหาการควบคุมอารมณ์จนถูกไล่ออกจากการเป็นครูหลังทำร้ายนักเรียน เขาพยายามจะแก้ตัวด้วยการเลิกเหล้าและหางานที่เป็นหลักเป็นแหล่งทำอีกครั้ง ความหวังสุดท้ายของแจ๊กอยู่ที่ โรงแรมโอเวอร์ลุก บนเทือกเขาในโคโลราโด เขารับงานเป็นคนดูแลโรงแรมช่วงหน้าหนาว ตลอดช่วงเวลา 5 เดือนที่โรงแรมปิดตายเพราะมีหิมะสูงตระหง่านโอบล้อมจนไม่อาจรับแขกได้ เขามีหน้าที่เพียงเฝ้าดูความเรียบร้อยและคอยปรับหม้อต้มความดันที่จ่ายความร้อนให้โรงแรมทำงานได้ปกติ ซึ่งแจ๊กหวังว่าเวลาอันเงียบสงบและงานที่ไม่ยุ่งยากนี้จะทำให้เขาหันมาเขียนหนังสือได้อีกครั้งด้วย
แดนนี่ ลูกชายของแจ๊กมองเห็นนิมิตเป็นภาพสายดับเพลิงหน้าห้องพักหมายเลข 217 ที่มีฟันแหลมคมไล่กัดกินเขาทำให้เขาไม่ค่อยอยากจะไปด้วยนัก และเวนดี้แม่ของเขาก็เสนอให้สามีไปทำงานเพียงลำพัง แม้แดนนี่จะกลัวแต่ก็คิดว่าการที่พวกเขาไปอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า พ่อของเขาน่าจะมีความสุขกว่า สุดท้ายทั้งครอบครัวจึงเดินทางไปโรงแรมโอเวอร์ลุกด้วยกัน ที่นั่นแดนนี่ได้พบกับพ่อครัวชื่อ ดิ๊ก ฮัลโลแรน ผู้ซึ่งมีพลังพิเศษสัมผัสที่หกเช่นเดียวกับแดนนี่ และเรียกมันว่า ไชน์นิ่ง เขาได้เตือนแดนนี่หลายอย่างก่อนที่พนักงานโรงแรมทั้งหมดจะกลับบ้านไป ซึ่งแดนนี่ได้รู้ในภายหลังว่าพลังของเขาไปปลุกให้สิ่งเหนือธรรมชาติทรงพลังขึ้น มีตัวตน มีกายหยาบ พร้อมความมุ่งร้ายที่โจมตีใส่เหล่าคนเป็น เช่น พุ่มไม้ที่ตัดตกแต่งเป็นรูปสัตว์ในสวนหน้าโรงแรมก็กลับมามีชีวิตได้! (แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง)
ในช่วงแรกของการเข้าพักและทำงานของครอบครัวทอร์แรนซ์ เป็นห้วงเวลาแสนสุขดั่งทั้งหมดเป็นเจ้าของโรงแรม แต่ไม่นานนักจากการที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เวนดี้ ภรรยาของแจ๊กเริ่มรู้สึกว่าสามีของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนไปหลังจากหมกมุ่นกับเรื่องราวในอดีตของโรงแรมทั้งเรื่องราวของแขกที่ตายไป และโศกนาฎกรรมที่อดีตผู้ดูแลชื่อ เดลเบิร์ต เกรดี้ เกิดภาวะป่วยทางจิตจากความอุดอู้โดดเดี่ยว (Cabin Fever) จนกระทั่งลงมือสังหารครอบครัวของตัวเองทั้งหมดก่อนฆ่าตัวตายตามในโรงแรมนี้ เวนดี้นอกจากรู้สึกความเปลี่ยนแปลงของสามี เธอยังรู้สึกว่าในโรงแรมไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกอยู่เท่านั้น เมื่อเธอเห็นรอยช้ำบนคอของแดนนี่ที่เหมือนมีใครมาจับมันบีบแบบกะให้ถึงตาย ปริศนามากมายกระหน่ำสู่ครอบครัวทอร์แรนซ์ทั้งบางสิ่งที่อยู่ในห้อง 217 อันเป็นที่มาของรอยบีบคอแดนนี่ และเรื่องราวประหลาดอื่น ๆ ทำให้เธอเริ่มระหองระแหงกับสามี
วันหนึ่งหลังแจ๊กทะเลาะกับเวนดี้ เขาได้บังเอิญไปพบว่าบาร์ของโรงแรมที่ควรว่างเปล่ากลับมีเหล้ารสเลิศมากมาย เขาพบกับบาร์เทนเดอร์ที่ไม่น่ามีจริงนามว่า ลอยด์ เชิญชวนให้เขากลับมาลิ้มรสสุราอีกครั้ง แจ๊กเมามายและพบผู้คนที่เป็นอดีตแขกของโรงแรมจัดงานเลี้ยงกันสนุกสนาน ในตอนนั้นแจ๊กราวกับถูกวิญญาณของอดีตผู้ดูแลนามเกรดี้เข้าสิง เขาทำลายอุปกรณ์สื่อสารยังโลกภายนอกทั้งวิทยุและรถจนพัง เขาเริ่มเอาค้อนไล่ล่าครอบครัวของตัวเอง เวนดี้พยายามหนีเข้าไปในห้องน้ำแต่แจ๊กก็เอาค้อนทุบทำลายประตูหวังเข้าไป เวนดี้จึงเอาใบมีดโกนกรีดแจ๊กจนล่าถอยไป
ฮันโลแรนได้รับนิมิตทางไกลที่แดนนี่ขอความช่วยเหลือ จึงรีบบึ่งมายังโรงแรม เขาต้องเผชิญหน้ากับทั้งพุ่มไม้รูปสัตว์ที่โจมตี และต่อกรกับแจ๊กที่บ้าคลั่งจนบาดเจ็บสาหัส แจ๊กไล่ล่าแดนนี่จนจมมุม แต่ก่อนเขาจะฆ่าแดนนี่ สติของแจ๊กกลับคืนมาได้ชั่วคราวเขากำลังต่อสู้กับการครอบงำของวิญญาณร้าย แจ๊กบอกให้แดนนี่รีบหนีไปก่อนเมื่อเห็นว่าแดนนี่ปลอดภัย เขาก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของเหล่าวิญญาณร้ายอีกครั้ง รอบนี้ผีร้ายสั่งให้เขาเอาค้อนทุบหน้าและหัวตัวเองจนเละเพื่อให้สติสุดท้ายของแจ๊กหายไป แดนนี่เตือนโรงแรมให้รู้ว่าหม้อต้มความดันที่ฐานล่างของโรงแรมไม่มีใครดูแลและกำลังระเบิด เพื่อล่อให้เขากับแม่และฮัลโลแรนสามารถหนีจากแจ๊กและวิญญาณร้ายได้ แจ๊กที่ถูกวิญญาณผู้จัดการโรงแรมควบคุมรีบลงไปชั้นใต้ดินเพื่อปิดหม้อต้มความดันแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะมันระเบิดเสียก่อนจนโรงแรมและแจ๊กไหม้เป็นจุณ
จุดกำเนิดที่มาเป็น The Shining คืนนรก
ย้อนไปวันที่ 30 ตุลาคม ปี 1974 สตีเฟน คิงและ ทาบิทา คิง (Tabitha King) ภรรยาของเขาได้เข้าพักที่โรงแรมสแตนลีย์ในโคโลราโด พวกเขาพบว่าคืนนั้นโรงแรมได้เตรียมตัวปิดรับแขกช่วงฤดูหนาวเรียบร้อย ทำให้พวกเขา 2 คนเป็นแขกคู่เดียวในโรงแรมนี้ ท่ามกลางความอ้างว้างและไร้ผู้คน พวกเขาได้เข้าพักในห้องหมายเลข 217 ซึ่งมีเสียงร่ำลือว่ามีผีสิง ในคืนนั้นทำให้คิงระลึกย้อนไปถึงพลอตเกี่ยวกับเด็กชายผู้มีพลังจิตซึ่งเขาคิดจะเขียนแต่ไม่สำเร็จขึ้นมา และหลังจากมื้อค่ำอันโดดเดี่ยวกลางห้องโถงใหญ่คลอด้วยเพลงจากเครื่องเล่น เขาสัมผัสถึงบางอย่างที่ดลใจให้เขามาอยู่มาเห็นมาฟังห้วงเวลานี้ ตอนนั้นคิงก็เห็นภาพของนิยายเรื่องใหม่ของเขาทั้งเล่มเรียบร้อยแล้วขาดแต่รายละเอียดแต่งแต้ม หลังมื้อค่ำเขาแยกตัวกับทาบิทาเดินสำรวจบรรยากาศของโรงแรมจนไปเจอบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์นามเกรดี้ให้บริการ และในคืนนั้นเขาก็ฝันร้ายว่าลูกชายของเขากำลังวิ่งหนีจากสายดับเพลิงที่ไล่ล่าจนตกใจตื่น คิงบอกว่าตอนนั้นเขารู้แล้วว่าหนังสือเขาจะเป็นอย่างไร
สำหรับเรื่องนี้ คิง ตั้งใจที่จะเล่าถึงสายสัมพันธ์ของครอบครัว ความโมโหร้ายของพ่อแม่หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่อาจกระทบต่อลูก ๆ ของพวกเขา เช่นเดียวกับความกลัวในใจของคิงที่มีต่อลูก ๆ ของเขาเองเช่นกัน โดยคิงให้แจ๊กเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับการได้โอกาสครั้งที่สอง แต่ก็ยังกลับไปหลงผิดมัวเมาในอบายมุขทั้งเหล้าและอารมณ์ร้าย อันเป็นสาเหตุให้ตัวเองและครอบครัวต้องเผชิญอันตราย ส่วนชื่อเรื่องนั้นคิงได้แรงบันดาลใจจากบทเพลงของ จอห์น เลนนอน ที่ชื่อ Instant Karma! (We All Shine On) มาใช้เป็น The Shining และเสียงตอบรับที่ดี และถูกมองว่าได้รับอิทธิพลจากหนังสือเรื่องดังก่อนหน้าหลายเรื่องโดยเฉพาะ เรื่อง The Haunting of Hill House ปี 1959 ของ เชอร์ลีย์ แจ๊กสัน ในส่วนของวิญญาณผู้ที่เคยอยู่ในบ้านหลายยุคสมัยออกมาหลอกหลอนเจ้าของปัจจุบัน ตลอดจนการสิงร่างจนไล่ฆ่าครอบครัวตัวเองก็เช่นกัน ซึ่งหนังสือดังกล่าวก็เพิ่งถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ทางเน็ตฟลิกซ์ในชื่อ The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ ด้วยนั่นเอง ใครที่เคยอ่านหรือดูซีรีส์แล้วก็คงเห็นว่างานของ สตีเฟน คิง น่าจะได้รับอิทธิพลจากหนังสือต้นฉบับนั้นมาพอควร
โรงแรมผีดุ หนังของคูบริกปี 1980 ที่คิงเกลียด
ในปี 1980 เหมือนโชคชะตาเมื่อผู้กำกับดังอย่าง สแตนลีย์ คูบริก ได้ลงมือเขียนบทดัดแปลงและกำกับหนังเรื่อง The Shining และนำออกฉาย ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างหนังสยองขวัญที่หลอกหลอนความรู้สึกผู้ชมมากที่สุดในโลกขึ้นมา ที่เรียกว่าชะตากำหนดเพราะ สแตนลีย์ คือชื่อเดียวกับโรงแรมที่คิงเข้าพักจนกำเนิดนิยายเรื่อง คืนนรก ขึ้นนั่นเอง แม้เสียงตอบรับหลังหนังเข้าฉายจะดูก้ำกึ่งระหว่างชอบและไม่ชอบ (โดยค่อนไปทางไม่ชอบ) ของผู้ชมและนักวิจารณ์ โดยสาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากสองส่วนคือการกำกับศิลป์ที่โดดเด่นเกินหน้าหนังสยองขวัญ (หนังสยองขวัญที่ใช้ห้องสว่าง ๆ แทบทั้งเรื่องไม่ต้องใช้ความมืดจู่โจมผู้ชมเลย) และการแสดงของ เชลลีย์ ดูวัล (Shelley Duvall) ในบท เวนดี้ ที่เล่นมิติเดียวจนแข็งทื่อ ส่วนการแสดงของ แจ๊ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) ในบทแจ๊ก และเจ้าหนู แดนนี ลอยด์ (Danny Lloyd) นั้นกลับเป็นที่ชื่นชม โดยฉาก Here’s Johnny ที่นิโคลสันคิดบทพูดสดขึ้นนั้นเป็นที่จดจำอย่างมาก
น่าแปลกที่คูบริกเลือกใช้ดาราที่ชื่อเหมือนตัวละครทั้ง แจ๊ก และ แดนนี่ ราวกับเขากำลังสร้าง The Shining ขึ้นในโลกความจริง ความประหลาดยังมีมากมายในหนังเรื่องนี้ ทั้งดราม่าระหว่างการสร้างที่เหมือนคูบริกจงใจทำลายนักแสดงนำหญิงอย่างเชลลีย์ให้ย่อยยับ ทั้งการแยกเธออกจากทีมงานและนักแสดงคนอื่น ๆ และอย่างครั้งหนึ่งเขาให้เชลลีย์ถ่ายฉาก “Give me the bat” ซ้ำ ๆ ถึง 127 ครั้ง (น่าแปลกที่เลขคล้ายห้อง 217) จนหลังถ่ายทำเสร็จเธอมีอาการวิตกจริตและเลิกเล่นหนังไปเลยนับจากเรื่องนี้
นอกจากนั้นในวันที่ 30 มกราคม ปี 1979 ระหว่างกลางการถ่ายทำ ฉากการถ่ายทำภายในโรงแรมยังเกิดไหม้ขึ้นโดยหาสาเหตุไม่ได้ จนทำให้ฉากต่าง ๆ ไหม้เป็นเถ้าธุลี เรื่องตลกคือในหนังของคูบริกฉากจบได้เปลี่ยนไปจากหนังสือ กล่าวคือ แจ๊กตายในสวนกลางหิมะ และสองแม่ลูกเท่านั้นที่รอดไปได้โดยโรงแรมไม่ถูกเผาหายไป ภาพของคูบริกที่ยืนหน้าฉากมอดไหม้พลางหัวเราะคงเป็นเหมือนความรู้สึกตลกร้ายที่เขาไม่อาจหนีจากฉากจบตามนิยายได้ราวกับวิญญาณร้ายใน The Shining จะตามสิงสู่กองถ่ายนี้อยู่
เสียงตอบรับทางแย่ยิ่งกระหน่ำลงไปอีกเมื่อ สตีเฟน คิง ออกมาพูดว่าเขาเกลียดหนังฉบับนี้มาก เพราะทุกอย่างดัดแปลงจากความตั้งใจของนิยายของเขามากเกินไป สำหรับคิงมันเป็นเรื่องราวของพลังเหนือธรรมชาติอย่างแจ่มแจ้ง และพูดถึงประเด็นของครอบครัวอย่างหนัก ทว่าในฉบับของคูบริกผู้ตั้งใจจะสร้างหนังสยองขวัญที่สุดในความทรงจำของผู้ชม กลับตีความให้ก้ำกึ่งระหว่างโรคจิตประสาทหลอนไปเองและวิญญาณร้ายที่มีอยู่จริง ทั้งยังลดประเด็นเกี่ยวกับครอบครัวลง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกที่เบาบางลงมากในหนัง แล้วเพิ่มฉากสยดสยองอย่างเลือดที่ไหลบ่าท่วมโรงแรม แดนนี่ที่คุยกับนิ้วตัวเองที่ชื่อ โทบี้ ราวกับเด็กมีปัญหา ภาพของวิญญาณฝาแฝดที่มาแทนนิมิตสายดับเพลิงไล่กัด และเหล่าวิญญาณในล็อบบี้และบาร์โรงแรม ผีร้ายในห้องเบอร์ 237 ที่แสนน่ากลัว (หนังฉบับคูบริกเปลี่ยนเลขห้อง 217 เป็น 237 เพราะโรงแรมที่ใช้ถ่ายขอร้องให้ใช้เลขห้องที่โรงแรมไม่มีอยู่แทน ป้องกันแขกไม่ยอมเข้าพัก) เสียงละเมอของแดนนี่ที่ว่า Redrum ถูกทำให้สำคัญขึ้น การเปลี่ยนจากค้อนเป็นขวานเล่มใหญ่ที่ชวนขวัญผวากว่ามาก จนกระทั่งการพลิกตัวละครแจ๊กให้ดูพร้อมบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่เห็นมุมความรักความสำนึกผิดต่อลูกเมียของเขาเลย แต่กระนั้นหนังก็ได้รับการยกย่องเป็นหนังสยองขวัญทรงคุณค่ามากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกในเวลาหลายปีต่อมาหลังจากการออกฉายอันย่ำแย่
ชมฉบับปี 1980 ผ่านทางเน็ตฟลิกซ์ได้ที่นี่ https://www.netflix.com/watch/959008
ฉบับมินิซีรีส์ปี 1997 ที่คิงตั้งใจแก้ไขทุกอย่าง
ปี 1997 ผู้กำกับ มิก การ์ริส (Mick Garris) ได้ทำมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์จำนวน 3 ตอนจบ ความยาวรวม 273 นาที โดยเกิดจากที่สถานีโทรทัศน์ ABC อยากสานต่อความสำเร็จจากการทำมินิซีรีส์จากนิยายของคิงออกมาโด่งดังหลายเรื่องติดอันดับตั้งแต่ It (1990), The Tommyknockers (1993) และ The Stand (1994) และเพราะรู้ว่าคิงเองก็อยากแก้ไขเรื่องราวที่คูบริกทำไว้ยับเยินในปี 1980 เสียใหม่ ครั้งนี้สถานีเชิญคิงมาควบคุมทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งการถ่ายทำที่ยึดบทนิยายของเขาเองแบบเป๊ะทุกส่วน ทั้งการกลับมาใช้เลขห้อง 217 แจ๊กกับค้อน ฉากจบที่โรงแรมถูกเผา เป็นต้น (และใช่ ยังรวมถึงพุ่มไม้รูปสัตว์กินคน และสายดับเพลิงงับ ๆ ด้วย) นอกจากนี้คิงยังเลือกถ่ายทำที่โรงแรมสแตนลีย์ในโคโลราโดที่เป็นแรงบันดาลใจจริงของคิงด้วย
ผลตอบรับออกมาดีมากหนังทำยอดผู้ชมตอนออกอากาศหลัก 18-19 ล้านจอต่อตอน ทั้งยังได้รับคะแนนวิจารณ์ระดับ 10/10 รวมถึงเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy ของฝั่งโทรทัศน์ด้วย แม้จะพลาดท่ากับรางวัลมินิซีรีส์ยอดเยี่ยม ทว่าก็ค้วารางวัลด้านแต่งหน้าและเสียงมาได้ 2 รางวัล และเป็นเรื่องน่าขันที่เหมือนกลับกันกับหนังของคูบริก มินิซีรีส์เรื่องนี้เมื่อเวลาผ่านไปกับถูกประเมินค่าต่ำต้อยกลายเป็นมินิซีรีส์ที่แย่สุดของคิงอันดับต้น ๆ ไปเสียฉิบโดยเหตุผลส่วนใหญ่คือนักวิจารณ์ยุคหลังนำไปเทียบคุณค่าทางศิลปะกับหนังคูบริกที่กลายเป็นอมตะแล้วนั่นเอง
ชมภาพเปรียบเทียบรายละเอียดระหว่างฉบับปี 1980 และ 1997 ได้ที่ด้านล่างนี้
ปี 2013 กำเนิดนิยายภาคต่อ เรื่อง Doctor Sleep ลางนรก
ปี 2013 คิงกลับมาเขียนเรื่องราวภาคต่อจาก The Shining หลังจากทานเสียงของแฟน ๆ ที่อยากเห็นภาคต่อของหนังสือเรื่องนี้มากที่สุด โดยย้อนกลับไป 4 ปีก่อน คิงได้เปิดโหวตว่าแฟน ๆ อยากให้เขาเขียน Doctor Sleep หรือ Dark Tower ภาคใหม่ (The Wind Through the Keyhole) มากกว่ากัน ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นโพรเจกต์ที่มีความเป็นไปได้มากสุดที่จะพิมพ์ออกมา โพลนี้เริ่มระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคม ปี 2009 และก็เป็นภาคต่อของคืนนรกที่เอาชนะไปได้ 5,861 ต่อ 5,812 โหวตอย่างฉิวเฉียด คิงตั้งใจกับงานชิ้นนี้มากโดยว่าจ้าง ร๊อกกี วู้ด (Rocky Wood) นักวิจัยด้านหนังสือสยองขวัญของคิง มาช่วยทำวิจัยเพื่อหาข้อมูลความต่อเนื่องจาก The Shining มาสู่ Doctor Sleep โดยจะว่าถึงเรื่องราวของแดน ลูกชายของแจ๊กในวัยกลางคนที่ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติอีกครั้ง
โดยเรื่องตั้งต้นที่พลอตว่า หลายสิบปีผ่านไป แดนนี่ ได้โตมาและประสบปัญหาเช่นเดียวกับพ่อของเขาคือติดเหล้าและอารมณ์ร้าย เขาใช้ชื่อว่าแดนร่อนเร่ไปทั่วอเมริกาหลังจากได้รับการสอนเพื่อใช้พลัง ไชน์นิ่ง จากดิ๊ก ฮัลโลแรน ที่ให้สร้างกล่องขึ้นมาในใจเพื่อเก็บผีร้ายไว้ เขาจบการเดินทางยาวไกลในวัย 40 ปี ณ เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งโดยตัดสินใจเลิกเหล้าอย่างเด็ดขาด และหันมาทำอาชีพบุรุษพยาบาลดูแลคนชรา เขาพบแมวชื่อแอซซี่ที่จะได้กลิ่นความตายทำให้เขารู้ว่าคนใดกำลังจะตายลง และเขาจะใช้พลังของเขาเยียวยาผู้ชราเหล่านั้นให้จากไปอย่างสงบ จนได้ฉายาว่า Doctor Sleep นั่นเอง (แมวแอซซี่มาจากข่าวเรื่องแมวชื่อออสการ์ที่คิงไปเห็นเข้า ว่ามีญาณวิเศษรู้ว่าใครใกล้ตาย เขาจึงเอาข่าวนี้มาผูกกับเรื่องราว)
ไกลออกไปมีเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ แอบบรา เธอเกิดในปี 2001 มาพร้อมพลังไชน์นิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าแดนถึงพันเท่า เธอทำนายการเกิดเหตุการณ์ 9/11 ที่เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดได้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังเล็ก เธอเติบโตขึ้นพร้อมสื่อสารทางจิตกับแดนได้ วันหนึ่งในวัย 12 ขวบ เธอเห็นนิมิตถึงพิธีกรรมชั่วช้าที่จับเด็กชายมาทรมานเพื่อดึงพลังของเขาไปสร้างความอมตะให้ตนเองของกลุ่มทรูน็อต ที่มีเจ้าลัทธินามว่า โรสเดอะแฮต แอบบราถูกจับถึงตัวตนได้ทันทีและกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มทรูน็อตที่จะมาลักพาตัวเอามาสูบพลัง แอบบราร้องขอความช่วยเหลือไปยังแดนผ่านทางโทรจิตทำให้แดนต้องออกมาช่วยเด็กสาว และในการนี้เขาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพาอำนาจเร้นลับจากโรงแรมโอเวอร์ลุกที่เขาหนีมาตลอดชีวิตอีกครั้ง (ขอเล่าถึงเท่านี้แล้วกันเพราะจะมีสปอยล์สำคัญช่วงกลางเรื่องจนท้ายเรื่องเยอะเชียว)
ปี 2019 หนัง Doctor Sleep ลางนรก กำลังกลับมาสานต่อ
คำถามสำคัญคงเป็นว่า สานต่อ จากอะไร? จากนิยายและมินิซีรีส์ของคิง หรือสานต่อจากฉบับหนังปี 1980 ของคูบริก กันแน่ จากเรื่องย่อและตัวอย่างที่ออกมาเราพอจะทราบได้ว่าโครงเรื่องยังยึดโยงกับตัวนิยาย ลางนรก ของคิงอยู่มาก แต่ทว่าจากทางผู้สร้างก็ได้บอกว่านี่จะเป็นหนังที่อยู่ในจักรวาลเดียวกับฉบับปี 1980 ของคูบริกด้วย เราจึงเห็นห้องเบอร์ 237 ในตัวอย่าง ไม่ใช่ห้อง 217 ตามตัวนิยายเดิม และคงได้เห็นโรงแรมโอเวอร์ลุกที่ยังไม่มอดไหม้ตั้งตระหง่านอีกครั้ง
และความน่าสนใจอีกประการ คือความโลกกลมหรือคำสาปที่สิงสู่วนเวียนอยู่ก็ไม่ทราบ ผู้กำกับที่จะมาแต่งแต้มเรื่องราวครั้งนี้คือ ไมก์ ฟลานาแกน (Mike Flanagan) ที่สร้างซีรีส์เรื่อง The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ ทางเน็ตฟลิกซ์ ที่ถ้าจำได้เราเคยบอกแล้วว่านำมาจากหนังสือเรื่อง The Haunting of Hill House ปี 1959 ของ เชอร์ลีย์ แจ๊กสัน ที่เป็นอิทธิพลสำคัญในงาน The Shining คืนนรก ของคิงด้วยนั่นเอง ราวกับมีด้ายแห่งโชคชะตาบางอย่างชักใยอยู่รอบ ๆ งานสร้างสรรค์เรื่องนี้ทีเดียว
หนังจะได้ ยวน แมกเกรเกอร์ (Ewan McGregor) มารับบทแดนในวัยกลางคน และได้ รีเบกกา เฟอร์กูสัน (Rebecca Ferguson) จากหนัง Mission: Impossible 2 ภาคหลังสุด มารับบทโรสเดอะแฮตเจ้าลัทธิทรูน็อต ส่วนบทสำคัญหนูน้อย แอบบรา สโตน จะได้ ไคลีห์ เคอร์แรน (Kyliegh Curran) มารับบทนำ ทั้งนี้ยังมีชื่อ 2 ตัวละครที่จะกลับมาด้วยทั้ง เวนดี้แม่ของแดนนี่ ที่ได้ อเล็กซ์ เอสโซ (Alex Essoe) และ ดิ๊ก ฮัลโลแรน ที่จะได้ คาร์ล ลัมบลี (Carl Lumbly) มารับบทแทนเจ้าของบทเดิมในปี 1980
โดยหนังจะเข้าฉายวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้แล้วด้วย แฟน ๆ ต้องรอชมเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส