ยืนหนึ่งในการเป็นค่ายหนังและจักรวาลของซูเปอร์ฮีโรที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล อย่างที่คงจะอีกหลายสิบปีกว่าจะมีใครมาโค่นลงได้ สำหรับ Marvel  Studios ที่จนถึงวันนี้ กับหนังที่ออกฉายแล้วกว่า 23 เรื่องในเเวลา 11 ปี ก็สามารถกวาดเงินจากกระเป๋าคนดูทั่วโลกไปแล้ว 22.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยความสำเร็จที่ว่า ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มักจะมีผู้คนในวงการออกมาโหนกระแส แสดงทัศนะเกี่ยวกับหนังของ Marvel อยู่เสมอ อย่างในกรณีล่าสุดของผู้กำกับรุ่นเก๋า Martin Scorsese หรือ Francis Ford Coppola ถึงอย่างนั้น แรงต้านต่าง ๆ ก็ไม่สามารถหยุดกระแสความแรงที่หนัง Marvel หัวหอกของตระกูลหนังซูเปอร์ฮีโรเดินหน้าต่อไป แต่ Marvel เอง หากไม่หนีจากความจริง ก็ต้องผจญกับกระแสการสร้างแต่หนังซ้ำซากและผูกขาดวงการหนังอยู่เรื่อย ๆ รายงานข่าวจาก Screenrant จะพาไปเจาะลึกประเด็นนี้กัน

หนัง Marvel จะ “ผูกขาด” หนังซูเปอร์ฮีโรในตลาดต่อไป

หากมองในอีกแง่หนึ่ง การที่หนัง Marvel แข็งแกร่งได้ถึงเบอร์นี้ ก็ส่งผลลัพธ์ในทางลบกับการครองส่วนแบ่งตลาดของหนังทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหนังประเภทไหน เช่น กับหนังที่ฉายทั่วไปและหนังที่ฉายแบบจำกัดโรง โดยเฉพาะหลังจาก Disney ได้ควบรวมค่ายหนังอย่าง 20th Century Fox ไปด้วยมูลค่า 71.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ความคาดหวังที่จะได้เห็นความหลากหลายของหนังซูปเปอร์ฮีโรก็จะยิ่งน้อยลง เมื่อ X-Men และ Fantastic Four เข้าไปอยู่ใต้ชายคา Disney เห็นตัวอย่างได้จาก X-Men: Dark Phoenix (2019) ที่ Disney และ Fox แทบจะไม่โปรโมต ปล่อยให้หนังล้มเหลวทางรายได้มากที่สุดในแฟรนไชส์หนัง X-Men เพื่อรอวันที่ Disney จะทำการรีบูตแฟรนไชส์นี้ใหม่ตามวิถีทางของ Marvel Studios หรือหนังอย่าง The New Mutants หนังมนุษย์กลายพันธุ์ในโทนหนังสยองขวัญ ที่ถูกดองมาหลายปี และมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้ฉายโรงใหญ่เพื่อไปลงในสตรีมมิงช่องใดช่องหนึ่งของ Disney เอง

X-Men: Dark Phoenix หนังมนุษย์กลายพันธุุ์ภาคที่ถูกตัดหางปล่อยวัดโดย Disney หลังควบกิจการ Fox

X-Men: Dark Phoenix หนังมนุษย์กลายพันธุ์ภาคที่ถูกตัดหางปล่อยวัดโดย Disney หลังควบกิจการ Fox

์New Mutants หนังสยองขวัญมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกดองขึ้นหิ้ง

The New Mutants หนังสยองขวัญมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกดองขึ้นหิ้ง

ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรกว่าแฟน ๆ จะได้ชมทั้ง X-Men และ Fantastic Four ในจักรวาล MCU อาจต้องรอถึงเฟส 5 หรือหลังจากนั้น เพราะตอนนี้แค่เฟส 4 ก็เต็มไปด้วยหนังและซีรีส์ทาง Disney+ มากมายให้ต้องจัดการ รายที่น่าจะไปได้สวยที่สุดของหนัง Marvel ที่ถูกโอนย้ายมาจาก Fox น่าจะเป็น Deadpool ของ Ryan Reynolds หลังจากที่เขาปล่อยรูปถ่ายหน้า Marvel Studio ซึ่งอาจจะสื่อเป็นนัยว่า โครงการหนัง Deadpool ได้เดินหน้าต่ออย่างที่จะไม่ถูกรีบูต เพราะยังคงสดใหม่และมีฐานแฟน ๆ รอชมอยู่เป็นจำนวนมาก

Ryan Reynolds ดอดเข้าพบทีมผู้สร้างของ Marvel Studios

Ryan Reynolds ดอดเข้าพบทีมผู้สร้างของ Marvel Studios

จริงหรือ? ที่หนัง Marvel ซ้ำซาก

นับวัน Keven Feige จะมีบทบาทควบคุมจักรวาล MCU มากขึ้น ๆ (ล่าสุดกับบทบาทที่จะได้ไปคุมจักรวาล Marvel ภาคโทรทัศน์ แทนทีม Marvel Television เดิม โดย Disney มุ่งหวังให้ซีรีส์ที่ออกฉายทางโทรทัศน์ “มีคุณภาพ” เท่าเทียมกับหนังต่าง ๆ ที่ Feige ดูแลอยู่) อย่างที่รู้ ๆ กันว่า เหล่าผู้กำกับหน้าใหม่หรือไม่ค่อยมีชื่อเสียงถูกคัดเลือกมากำกับ เพียงเพื่อเป็นร่างทรงทางวิสัยทัศน์ของ Feige เท่านั้น (Feige จะกำหนดทิศทางและความเป็นไปทั้งหมดของหนัง ผู้กำกับแค่ทำตามสั่ง!) ซึ่งหลังจากนี้ทุกปี คนดูก็จะได้เห็นหนัง Marvel ออกฉายมากกว่าที่ผ่านมาถึงปีละ 4 เรื่อง โดยแนวทางเดิม ๆ ของหนังในช่วงหลัง ที่จะเน้นการ crossover นำตัวละครจากเรื่องโน้นมาเจอกันในเรื่องนี้แล้วข้ามไปอีกเรื่องหนึ่ง (ก็พอเข้าใจได้ว่าตัวละครทุกตัวต่างเป็นที่รักของแฟน ๆ และมีจำนวนมากพอจะสลับไขว้ไปอยู่ในหนังหรือซีรีส์หลักของตัวละครอื่น)

และความซ้ำซาก ไม่หลากหลายของ Marvel ก็อาจจะแผ่อิทธิพลไปยังหลาย ๆ ซีรีส์ที่จะเกิดขึ้นในช่อง Disney+ เพียงเพราะ Disney และ Marvel อยากจะเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้างมากที่สุด ขณะที่ Marvel Television ในยุคก่อนหน้า ดูจะมีความหลากหลายมากกว่า ทั้งซีรีส์สำหรับกลุ่มคนดูผู้หญิงอย่าง Jessica Jones สำหรับกลุ่มคนดูผู้ชายอย่าง Daredevil สำหรับกลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่ยชาย (ตามวัยของตัวละครหลักในเรื่องที่เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน) อย่าง Iron Fist ยังไม่นับรวมว่ายังมีซีรีส์อย่าง Cloak & Dagger ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายของคนดูให้แตกต่าง โดยมี Agents of S.H.I.E.L.D. เป็นซีรีส์แมสเมนสตรีมไว้ดึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง ความหลากหลายทั้งหมดนี้จะหายไปในยุคการมาถึงของ Disney+ เมื่อตอนนี้ค่ายหนังเลือกจะใช้แต่แบรนด์ของ Marvel เป็นตัวดึงผู้ชม

ตัวละครในซีรีส์ของ Marvel Television ที่ถูกสร้างมาเพื่อกลุ่มผู้ชมที่หลากหลาย

ตัวละครในซีรีส์ของ Marvel Television ที่ถูกสร้างมาเพื่อกลุ่มผู้ชมที่หลากหลาย

Agents of S.H.I.E.L.D. ซีรีส์ที่เจาะกลุ่มผู้คนในวงกว้าง

Agents of S.H.I.E.L.D. ซีรีส์ที่เจาะกลุ่มผู้คนในวงกว้าง

ช่วงเวลาทองของค่ายคู่แข่ง Marvel และ Disney

ความสำเร็จของ Joker ที่กำลังจะกลายเป็นหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรที่ทะยานสู่ 1 พันล้านเหรียญฯ ทั่วโลก และเป็นหนังเรต R ที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล รวมถึงการเป็นหนังจากหนังสือการ์ตูนที่ทำกำไรจากทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลไปเป็นที่เรียบร้อย ต้นกำเนิดหรือเหตุผลของ Todd Phillips ก็คือความต้องการสร้างหนังตัวละครจากโลกซูเปอร์ฮีโรให้แตกต่างไปจากเดิม หนังจึงกลายเป็นเรต R ที่เต็มไปด้วยฉากที่มีความรุนแรงทางภาพและอารมณ์ ใกล้เคียงไปทางหนังของ Martin Scorsese นี่อาจเป็นแนวทางใหม่ของค่าย DC ที่จะฉีกแนวของหนังซูเปอร์ฮีโรให้แตกต่างจากที่เคยล้มเหลวไปกับ Justice League (2017) ที่ก็พูดตรง ๆ ว่าแทบจะเดินตาม Marvel เพียงแต่ทำให้โทนของหนังหม่นมืดกว่า นอกจากนี้ DC ก็จะหนัง The Batman (2021) ที่จะเข้าฉายในปี 2021 อย่างลดความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรลงและไปในโทนของหนังนักสืบ หนังสืบสวนสอบสวนแทน

Joker หนังที่มาเพื่อฉีกแนวทางของหนังจากหนังสือการ์ตูน

Joker หนังที่มาเพื่อฉีกแนวทางของหนังจากหนังสือการ์ตูน

ทางฟากฝั่งค่าย Sony ที่ยังถือลิขสิทธิ์ของหนัง Marvel เหลืออยู่อีกเพียงค่ายเดียวในตอนนี้ หลังจากสร้างข่าวดรามาคืน-ไม่คืน หนัง Spider-Man ให้ Marvel เหตุผลหนึ่งก็เพราะค่ายยังคงมั่นใจกับผลลัพธ์ที่เกิดจากฝีมือสร้างของตัวเอง อย่างหนัง Venom ภาคแรกที่ทำรายได้ไปถึง 850 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก และเดินหน้าสร้างภาค 2 ให้ได้ชมกันในปีหน้า รวมถึงแอนิเมชัน Spider-Man: Into the Spider-Verse ที่ได้ทั้งเงินทั้งรางวัลที่ดีจนมีภาค 2 เช่นกัน นอกจากนี้หนังยังมีหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องใหม่จากค่าย Valiant Comics ที่ชื่อ Bloodshot นำแสดงโดย Vin Diesel รอเข้าท่าอยู่อีกเรื่อง ทั้งหมดนี้อาจเป็นความหลากหลายที่ยังพอจะหลงเหลืออยู่บ้างจากหนังสือการ์ตูนของ Marvel

Venom หนังที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของหนัง Marvel ที่อยู่กับค่าย Sony

Venom หนังที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของหนัง Marvel ที่อยู่กับค่าย Sony

ส่วนคู่แข่งทางสตรีมมิ่งของ Disney+ ก็แสดงให้เห็นว่า ได้ดีโดยไม่ต้องถึงพึ่งสไตล์ของ Marvel ในการเข้าถึงกลุ่มคนดูของตัวเอง  Netflix ที่มีหนังซูเปอร์ฮีโรที่ประสบความสำเร็จอย่าง The Umbrella Academy ในซีซัน 1 หรือ  Amazon ที่มีซีรีส์สายดาร์กอย่าง The Boys ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซัน 2 แล้วในขณะนี้ ความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทั้งสองซีรีส์ที่แฟน ๆ ชื่นชอบคือ ความหนักแน่น ดุดัน เต็มเป็นด้วยความรุนแรงที่น่าหลงใหล การจั่วหัวเข้าเรื่องที่เต็มไปด้วยปมปริศนา และท้ายที่สุดที่กับความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรที่แปลก แหวกแนว ให้รสชาติแปลกใหม่มากพอที่คนดูควรค่าจะรับชม

ซีรีส์ The Umbrella Academy ของ Netflix

ซีรีส์ The Umbrella Academy ของ Netflix

ซีรีส์ The Boys ของ Amazon

ซีรีส์ The Boys ของ Amazon

ถึงแม้ว่าหนังจาก Marvel Studios จะเป็นหนังตระกูลซูเปอร์ฮีโรหรือหนังในตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้มากที่สุดในโลก แต่ถ้ายังคงดำเนินเรื่องในรูปแบบหรือสไตล์เดิม ๆ ที่ไม่แหวกแนวไป ก็เป็นไปได้ว่า กลุ่มคนดูที่โตขึ้นตามวัย หรือได้สัมผัสกับรสชาติหนังอื่น ๆ ที่แตกต่างมากขึ้น จะ “ปันใจตีจาก” หนัง Marvel ไปในวันหนึ่ง การแข่งขันด้วยเนื้อหาของหนังและซีรีส์ที่แตกต่างและหลากหลายมากพอ จึงเป็นโจทย์ที่ Disney และ Marvel Studio น่าจะต้องแก้ให้ได้ (ถ้าอยากจะแก้) เพื่อให้หนังและซีรีส์ของ Marvel พ้นจากความ “ซ้ำซาก” ในอนาคต

อ้างอิง SCREENRANT

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส