Stephen McBride จาก Forbes ได้รายงานว่า Disney+ ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิงของ Disney ที่จะมาแข่งขันกับ Netflix โดยตรงนั้น กำลังจะเปิดให้บริการในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2019 นี้ (สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเนเธอร์แลนด์) ซึ่งอาจส่งผลทำให้ Netflix สูญเสียลูกค้าที่สมัครรับบริการไปเกือบ 25% (ประมาณ 1 ใน 4 ของลูกค้าทั้งหมด)
ประเด็นสำคัญคือการเปิดให้บริการสตรีมมิงของสตูดิโอใหญ่นี้จะส่งผลทำให้ภาพยนตร์, ซีรีส์, รายการโทรทัศน์ และสารคดีต่าง ๆ จากสตูดิโอใหญ่ที่มีความน่าสนใจ จะถูกดึงกลับออกมาจาก Netflix เพื่อนำไปให้บริการบนสตรีมมิงของตนเอง
The Hollywood Reporter ได้รายงานว่า เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา ได้มีการดึงภาพยนตร์และรายการมากกว่า 45 ตัว ออกจาก Netflix โดยมีภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง The Imitation Game และ Despicable Me 3 ด้วย และได้เปิดเผยผลสำรวจว่าผู้ใช้บริการ Netflix ชาวอเมริกัน จำนวน 22% จะยกเลิกบริการของ Netflix ถ้าหาก Netflix ต้องเสียสิทธิ์ในการให้ชมภาพยนตร์ของ Marvel เช่น Black Panther และ Avengers: Infinity War ไป
ทาง Vox ได้รายงานว่า ท้ายที่สุดแล้ว Netflix อาจต้องสูญเสีย 1 ใน 5 ของเนื้อหาทั้งหมดที่เคยได้รับสิทธิ์ในให้บริการไปเลยทีเดียว
Stephen McBride ได้กล่าวถึงข้อได้เปรียบของ Disney คือ มีเนื้อหามากมายที่พร้อมให้บริการ เนื่องจาก Disney เป็นเจ้าของทั้ง Marvel และ Star Wars ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงยังเป็นเจ้าของ Pixar Animation Studios และสามารถให้บริการเนื้อหาของ The Simpson และ National Geographic ได้
เมื่อ Disney+ เริ่มให้บริการนั้น จะมีรายการโทรทัศน์มากถึง 7,500 รายการ และภาพยนตร์อีก 500 เรื่อง ซึ่งมากกว่าเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับของทาง Netflix ถึง 10 เท่า และยังมีค่าบริการรายเดือนที่ถูกกว่า Netflix อีกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง : forbes และ hollywoodreporter
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส