จิตใจของฆาตกรหรืออาชญากรเป็นอีกโลกหนึ่งที่หนังและซีรีส์ฮอลลีวูดชอบเข้าไปสำรวจ นัยหนึ่งเพราะเป็นโลกที่รังสรรค์ตัวละครคาแรกเตอร์โรคจิตสุดหลอน (ลองนึกถึงโจ๊กเกอร์หรือทูเฟซ มนุษย์สองหน้า ตัวละครจากคอมิก Batman) จากเหตุการณ์จริงที่ทำให้เรื่องราว-ตัวละครสมจริง ทั้งที่เกิดจากกจิตที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดเหตุฆาจกรรมของคนเหล่านี้ต่อเหยื่อมากมาย  และอีกนัยหนึ่งก็เป็นโลกที่ผู้ชมทั่วไปสงสัยใคร่รู้ว่า เหตุใดอาชญากรเหล่านั้นถึงได้ก่อคดีหฤโหดขึ้นมาได้ ที่มาที่ไปของพวกเขาก่อนจะมาเป็นอาชญากรนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด (อ่าน 10 ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดในประวัติศาสตร์ (ที่ไม่เคยได้รับการปล่อยตัว) ได้ที่นี่)

ผู้กำกับ David Fincher เบื้องหลังคนสำคัญของซีรีส์ Mindhunter

ผู้กำกับ David Fincher เบื้องหลังคนสำคัญของซีรีส์ Mindhunter

เรื่องราวดัดแปลงจากหนังสือ “Mind Hunter: Inside FBI’s Elite Serial Crime Unit” ของ John E. Douglas และ Mark Olshake ซึ่งในชีวิตจริงเคยเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมคนร้ายของ FBI ที่ช่วยจับฆาตกรและคนร้ายในคดีสำคัญมากมาย หนังมี Producer หรือผู้ควบคุมการสร้างระดับเจ้าพ่อหนังอาชญากรรมระทึกขวัญอย่าง David Fincher (Gone Girl, Zodiac, SE7EN) และนางเอกออสการ์ Charlize Theron (บทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์นำหญิงคือ บทอาชญากรหญิงที่มีตัวตนจริงอย่าง Aileen ในหนัง Monster (2003)) ผู้สร้างอย่าง Joe Penhall ผู้เขียนบทหนังโลกหลังวันล่มสลายชวนหดหู่อย่าง The Road (2009) และเหล่าผู้กำกับหนังและซีรีส์ชั้นนำที่ชวนเครียดและชวนลุ้นมากมายตามรายนามข้างต้น นี่คือหนังตามล่าเหล่าอาชญากรที่มีความคิดยากเกินหยั่งถึง ต้องใช้สมองมากกว่ากำลังไปตามจับ ถ้าเป็นคอหนังสืบสวนและหนังอาชญากรที่มีตัวละครอย่าง Hannibal Lector ในนิยายของ Thomas Harris เป็นตัวหลักของเรื่องแล้วละก็ ย่อมจะชื่นชอบซีรีส์นี้ได้ไม่ยาก

ตัวละครหลักของซีรีส์ Mindhunter

Holden Ford และ Bill Tench ตัวละครหลักของซีรีส์ Mindhunter

ทีมงานทั้งหมดที่เป็นระดับตัวท็อปของวงการร่วมกันผลิตซีรีส์ที่บอกเล่า เรื่องราวของหน่วย BAU (Behavioral Analysis Unit) หน่วยงานที่ถือกำเนิดคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” (Serial Killer) ขึ้นจริงในแวดวงสืบสวนสอบสวนของโลกใบนี้  หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรใน FBI (มีบทบาทโดยตรงในซีรีส์ Criminal Minds (2005-ปัจจุบัน) ของช่อง CBS, ซีรีส์ Hannibal (2013-2015) และหนัง Silence of the Lambs (1992)) เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นการเล่าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นการบุกเบิกหน่วยงานในยุค 70 เจ้าหน้าที่ Holden Ford (Jonathan Groff) อาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรงที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมของอาชญากรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย (ในขณะที่ FBI เวลานั้น มักจะให้ความสำคัญกับการไล่ล่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไปแล้ว มากกว่าป้องกันไม่ให้เกิด) ต้องมาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่่รุ่นเก๋า Bill Tench (Holt McCallany) ที่พอจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อยู่บ้าง และอาศัยโอกาสที่เขาต้องไปสอนหนังสือให้เจ้าหน้าที่ FBI ใตามสถานีตำรวจทั่วสหรัฐฯ ฟัง Bill จึงหนีบ Holden ไปเพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้ด้วย ส่วนในช่วงครึ่งหลัง ซีซันแรก ทีมก็ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยใน Boston Dr.Wendy Carr (Anna Tov) มาร่วมทีมด้วย 

เรื่องราวของหน่วย BAU (Behavioral Analysis Unit) หน่วยงานที่ถือกำเนินคำว่า "ฆาตกรต่อเนื่อง" 

เรื่องราวของหน่วย BAU (Behavioral Analysis Unit) หน่วยงานที่ถือกำเนินคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง”

ในซีซันแรกนั้น ซีรีส์นำเสนอเรื่องราวของ “ฆาตกรต่อเนื่อง” มากมาย ซึ่งเป็นตัวเอ้ของชาวอเมริกันที่ได้ติดตามบนหน้าหนังสือพิมพ์ในยุค 1960s-1970s เช่น “Co-ed Killer” Edmund Kemper (Cameron Britton) ผู้สังหารเหยื่อกว่า 10 รายรวมถึงย่าและแม่ของตัวเองก่อนจะมีเพศสัมพันธ์กับศพที่เขาฆ่า “The Lust Killer” Jerry Brudos (Happy Anderson) ฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกเลี้ยงดูมาจากแม่ที่อยากได้ลูกผู้หญิงและบ้ารองเท้าผู้หญิงเป็นชีวิตจิตใจ 

ฆาตกร "Co-ed Killer” Edmund Kemper

ฆาตกร “Co-ed Killer” Edmund Kemper

ฆาตกร “The Lust Killer” Jerry Brudos (Happy Anderson)

ฆาตกร “The Lust Killer” Jerry Brudos

ซีรีส์นำเสนอชีวิตของ Ford ออกมาในแง่มุมของการดำเนินชีวิตอย่างมั่นใจทั้งในการทำงาน (ที่ต้องเผชิญกับการสัมภาษณ์ฆาตกรตัวเอ้มากมาย ซึ่งก็ทำให้เขาเกิดภาวะทางจิตตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว) และกับความรัก ซึ่งก็ทำให้เขาหุนหันพลันแล่น ทะเยอทะยานและมั่นใจในตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ จนเลือกจะใช้วิธีที่เลวร้ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน Bill และ Dr.Vendy ไม่เห็นด้วย จนเกือบส่งผลให้หน่วยงาน BAU ต้องจบลง 

คนดูจะสัมผัสได้ถึงจังหวะการเล่าเรื่องไปจนถึงโทนสีที่หนังเลือกใช้ ซึ่งเป็นสไตล์ที่มีลายเซ็นที่โดดเด่นมากของ David Fincher ใกล้เคียงที่สุดที่หนัง Zodiac (2007) ที่บทสรุปของเรื่องก็เลือกจะเล่าตามความเป็นจริง ในกรณีที่ฆาตกรยังลอยนวลและทางการไม่อาจทำอะไรได้

ส่วนซีซันสอง เริ่มต้นด้วยการให้หน่วย BAU เข้าไปเกี่ยวข้องกับ BTK (Bind, Torture and Kill) Killer ที่ทิ้งเชื้อไว้ตั้งแต่ปีแรก (ด้วยการหยอดเรื่องราวที่มาและพฤติกรรมประหลาดของ BTK Killer หรือ Dennis Rader ซึ่งเมื่อมาถึงเหตุการณ์ตามท้องเรื่องในปี 1979-1980 นั้น เขาก็ได้สังหารไปแล้วถึง 7 ศพ (จากทั้งหมด 9 ศพจนถึงปี 1991 และถ้าไม่ถือเป็นการสปอยล์ซีซันหน้า ๆ เพราะ search เอาได้จาก Google อยู่แล้ว ฆาตกรรายนี้กว่าจะถูกจับก็ปี 2005 ถือเป็นการลอยนวลที่ยาวนานกว่า 4 ศตวรรษ ซึ่งก็น่าสนใจว่าซีรี่จะนำเสนอออกมายังไงให้เวลาตามท้องเรื่องกินระยะเวลายาวนานขนาดนั้น)

ฆาตกร BTK (Bind, Torture and Kill) Killer

ฆาตกร BTK (Bind, Torture and Kill) Killer (ตัวแสดง-ตัวจริง)

ฆาตกรต่อเนื่องประจำซีซันที่น่าสนใจได้แก่ Berkowitz ฆาตกรฉายา Son of Sam ที่สังหารไป 6 ศพ (ยอมรับสารภาพแค่ 3) โดยอ้างว่า ถูกปิศาจที่อยู่ในร่างของสุนัขข้างบ้านเป็นสิ่งควบคุมให้เขาก่อเหตุ William Pierce ฆาตกรที่ฆ่าข่มขืน 9 ศพ หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 13 ปี Elmer Wayne Henley Jr. รายนี้เคยตกเป็นเหยื่อถูกชายชื่อ Dean Corll ล่อลวง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ร่วมมือกับชายคนนั้นเสียเอง นำเด็กชายซึ่งเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนไปเป็นเหยื่อฆ่าข่มขืนไม่น้อยกว่า 28 ราย ก่อนที่เขาจะลงมือสังหาร Dean Corll เเองในท้ายที่สุด William Henry Hance สังหารโสเภณีทั้งผิวขาวและผิวดำไป 4 ศพ สิ่งที่น่าสนใจและซีรีส์นำเสนอออกมาได้ดี คือ คนทั่วไปมักตั้งคำถามว่า ทำไม เพราะอะไรฆาตกรจึงกระทำการเหนือสำนึกผิดชอบชั่วดีหรือศีลธรรมไปได้ขนาดนั้น ซึ่งซีรีส์ได้อธิบายให้เห็นว่า เราไม่อาจใช้มาตรฐานทางคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมเดียวกันได้กับพวกเขาได้เลย

ภาพเปรียบเทียบนักแสดงและฆาตกรตัวจริง Mindhunter ซีซัน 2

ภาพเปรียบเทียบนักแสดงและฆาตกรตัวจริง Mindhunter ซีซัน 2

ฆาตกรที่โดดเด่นที่สุดและถูกเอ่ยนามมาตั้งแต่ปีแรก ในเนื้อเรื่องที่ รอง ผอ. ของ FBI ถึงกับถาม Holden ว่าฆาตกรรายไหนที่คุณอยากสัมภาษณ์มากที่สุด? Holden ก็ตอบออกมาเลยว่า Charles Manson นี่คือ ฆาตกรที่ถูกจับทั้งที่ไม่ได้ลงมือฆ่าเหยื่อถึง 8 รายเอง แต่ได้ชักจูง (บวกกับให้เสพยาเสพติด) วัยรุ่นสมองดีการศึกษาดีถึง 5 รายให้ลงมือฆ่าแทนตัวเขา เขาหว่านล้อมด้วยความเชื่อทางลัทธิต่อต้านสังคม คดีอาชญากรรมช็อกโลกก็คือการให้วัยรุ่นบุกไปฆ่า Sharon Tate นักแสดงสาวชื่อดังขณะท้อง 8 เดือน ภรรยาของ Roman Polanski (ผู้กำกับ Chinatown (1974), The Pianist (2002)) ขณะที่เดินทางไปต่างประเทศ (เป็นเหตุการณ์ในหนัง Once Upon a Time in Hollywood (2019) ซึ่งก็ได้นักแสดง Damon Herriman มารับบทนี้เช่นเดียวกันกับในซีรีส์)

จนมาถึงครึ่งหลังของซีซัน 2 ซีรีส์มาเน้นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเยาวชนผิวสีของเมือง Atlanta รัฐ Georgia (Atlanta Child Murder Case) จำนวนไม่น้อยกว่า 28 ราย ในช่วงแรกที่ Holden พยายามเข้าไปช่วยโดยใช้หลักพฤติกรรมศาสตร์นั้น ยังมีผู้เสียชีวิตแค่ 6 ราย เทศมนตรีแสดงเจตนาชัดเจนไม่ให้ FBI เข้ามายุ่ง เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองที่กำลังจะเปิดตัวสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้นต้องด่างพร้อย แต่เมื่อนับวันจำนวนศพเด็กเริ่มเพิ่งสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสให้ Holden กลับมานำทีมสืบสวนอีกครั้ง เทศบาล ตำรวจของรัฐ รวมไปถึงเหล่าแม่ของผู้เสียหายปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของคนผิวขาวท่ามกลางกระแสเหยียดสีผิวในเวลานั้น เทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของคนผิวสีก็กลัวผลกระทบคะแนนเสียงหากผลออกมาว่าฆาตกรเป็นพวกเดียวกัน เมื่อพบผู้ต้องสงสัยผิวขาวจากเหตุที่ไม่น่าสงสัยต่าง ๆ Bill และตำรวจก็จะเสียเวลาไปกับการตามล่า แต่ Holden ยืนยันตั้งแต่ครั้งแรกๆ ว่าฆาตกรต่อเนื่องเป็นคนผิวสีด้วยกันจากหลายเหตุผลทางพฤติกรรมศาสตร์

คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเยาวชนผิวสี 28 ศพของเมือง Atlanta (Atlanta Child Murder Case)

คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเยาวชนผิวสี 28 ศพของเมือง Atlanta (Atlanta Child Murder Case)

สปอยล์ ! อย่าอ่าน ถ้ายังไม่ได้ดู
ท้ายที่สุดด้วยความพยายามเกือบปี จากหลักพฤติกรรมศาสตร์ที่ว่า ฆาตกรมักจะลงมือ ทิ้งศพ หรือกลับไปเยือนที่เกิดเหตุซ้ำ ๆ รวมถึงการเป็นพวกที่ชอบอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน Holden และ Bill ก็จับ Wayne Williams ได้สำเร็จหลังจากที่เอาศพมาทิ้งน้ำที่สะพานเดิมตอนเวลาตี 3 สุดท้ายแม้ว่าจะมีหลักฐานที่่น่าสงสัยแต่ก็ต้องปล่อยตัวไปเพราะไม่พบศพในคืนนั้น Wayne Williams จัดการทำลายหลักฐานอย่างรวดเร็ว แม้ Holden จะไปสอบสวนที่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไม่ทัน ซีรีส์ทำให้เห็นว่า อัยการเขตในเวลานั้นยังไม่ยอมรับ “หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์” แต่ท้ายที่สุด Wayne Williams ก็จนมุมเมื่อกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ มีคำสั่งตรงมาที่อัยการเขตให้ยอมรับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในการเอาผิดได้ เขาถูกตัดสินให้รับผิดแค่ 2 คดีสุดท้ายที่เป็นการฆาตกรรมวัยรุ่นที่เกือบเป็นผู้ใหญ่ จากการเอาศพที่เอาไปโยนทิ้งน้ำ แต่ศพเยาวชนอื่น ๆ อีก 26 ศพที่พบนั้นยังเป็นปริศนาว่าเป็นฝีมือของเขาหรือไม่ ในเดือนมีนาคม 2019 เมือง Atlanta ได้ประกาศว่า จะทำการรื้อฟื้นคดีของเยาวชนที่ถูกฆาตกรรม 26 ศพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลังเหตุการณ์ผ่านมา 38 ปี
Mind Hunter (2017-2019) และหวังว่าจะมีซีซันต่อ ๆ ไปตามออกมาอีก

Mind Hunter (2017-2019) และหวังว่าจะมีซีซันต่อ ๆ ไปตามออกมาอีก

Mindhunter ทั้ง 2 ซีซันคือ งานละเอียดของทุกคนที่มีส่วนร่วม โดยเฉพาะ David Fincher ที่ใส่ใจตั้งแต่ข้อมูลเบื้องหลังคดีต่าง ๆ ที่สะท้อนปมหลายอย่าง บทสนทนาต่าง ๆ ที่น่าฟัง (ระดับที่เคยถ่าย The Social Network (2010) ฉากเดียวเป็นร้อยเทคก็ทำมาแล้ว!) คอประวัติศาสตร์คดีฆาตกรรมดังในสหรัฐฯ ก็น่าจะชอบเช่นกัน และทำให้เห็นว่า วิธีการสอบสวนและเรียนรู้ฆาตกรของสหรัฐฯ ละเอียด ซับซ้อน เข้มข้น และลงลึก มากไปกว่าการหาตัวฆาตกรและจับมาลงโทษ (แล้วก็ปล่อยออกมาในที่สุดเหมือนในบางประเทศ) ซีรีส์คุมโทนบรรยากาศชวนหดหู่ไว้ได้ตลอดอย่างเอาอยู่ ชนิดที่ถ้าดูต่อเนื่องรวดเดียวก็อาจมีอาการจิตตกไปด้วยเหมือนกัน

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส