เมื่อเดือนที่แล้วหลายคนคงได้ชมโฆษณาออนไลน์ตัวหนึ่งที่อยู่ดี ๆ ก็เป็นกระแสในระยะเวลาอันรวดเร็ว โฆษณานั้นเป็นโฆษณาสายการบินที่หยิบเอาเรื่องของแอร์โฮสเตสสาว ที่มีพี่ชายที่รักและผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่แล้วพี่ชายก็ต้องมาจากไป แต่ไม่ได้แค่จากไปเฉย ๆ แต่เขาเลือกที่จะบริจาคอวัยวะด้วย
โฆษณาชิ้นนี้แม้จะปล่อยออกมาแบบเงียบ ๆ แต่แล้วก็กลับมีกระแสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องราวที่ซาบซึ้ง เพลงประกอบที่ Cover จากเพลง “แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร” ของวงเขียนไขและวานิช การสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ดูอยากลุกไปบริจาคอวัยวะ และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนักแสดงผู้รับบทเป็นแอร์โฮสเตสคนนั้นนั่นแหละ
หลายคนเริ่มสนใจในตัวเธอมากขึ้นจากบทบาทแอร์โฮสเตส ซึ่งหลายคนก็อาจไม่รู้ว่า ออม นรวรรณ เศรษฐรัตนพงศ์ นักแสดงเจ้าของบทบาทแอร์โฮสเตสคนนั้น เธอน่าสนใจกว่านั้นมาก ๆ เพราะเธอไม่ใช่แค่นักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งทำงานในวงการบันเทิงได้ไม่นานแต่เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทราบก็คือ เธอเป็นลูกไม้ใต้ต้นแท้ ๆ ของนักแสดงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี อย่างแม่ก้อย นฤมล พงษ์สุภาพ และที่น่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ ณ ตอนนั้น แม่ก้อยเข้าสู่วงการบันเทิงในวัย 17 ปี
และลูกสาวอย่างออม ก็เข้าสู่วงการครั้งแรกด้วยการออดิชั่นเพื่อรับบทในซีรีส์ “Hotel Stars สูตรรักนักการโรงแรม” ตอนที่เธออายุ 17 ปีเช่นกัน!
แม้ว่ากระแสโฆษณาจะห่างไปแล้วสักพัก แต่สิ่งที่เราสนใจคือเรื่องราวของเด็กสาวอายุ 17 ปีที่มีชื่อชั้นเป็นถึงลูกสาวดารา ในฐานะลูกไม้ใต้ต้นที่เพิ่งจะหยั่งรากลงดิน เธอเห็นแม่ในฐานะดาราเป็นอย่างไร ตัวออมในวัย 17 ปี เหมือนหรือต่างจากคุณแม่ในวัย 17 ปีแค่ไหนอย่างไรบ้าง คุณแม่ในฐานะนักแสดงเป็นอย่างไรในสายตาของเธอ คุณแม่มีส่วนช่วยสนับสนุนการเป็นลูกไม้ใต้ต้นให้เติบโตอย่างไรบ้าง
และลูกไม้ใต้ต้นอย่างเธอ จะเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้แบบไหนกันแน่
นี่คือสิ่งที่ผมสนใจ-อยากรู้ และอยากเฝ้าดูเธอต่อไปเรื่อยๆ
คลิกที่นี่ อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับโฆษณา Thai Smile โดย What The Fact
ในฐานะที่แสดงเป็นแอร์โฮสเตสในโฆษณา Thai Smile ที่กระแสค่อนข้างดี และบทบาทของออมเองก็เป็นที่พูดถึง ก็เลยอยากให้ออมพูดถึงกระแสของโฆษณา Thai Smile หน่อยว่ามีฟีดแบ็กเป็นอย่างไร และมีคนพูดถึงตัวของออมอย่างไรบ้าง
ฟีดแบ็กเหรอคะ จริงๆ ตอนที่โฆษณาออก หนูก็ได้ติดตามอยู่ตลอด เท่าที่หนูอ่านคอมเมนต์ เขาก็จะบอกว่าซึ้งกัน แบบว่าพี่ชาย…อะไรแบบนี้ ดูแล้วร้องไห้ แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่เขาสนใจอยากจะบริจาคอวัยวะเหมือนในโฆษณาบ้างค่ะ
มีคนจำได้บ้างหรือยัง
(ยิ้ม) ปกติหนูจะเดินกับคุณแม่ค่ะ ก็จะมีแบบว่า พอคนเขารู้จักคุณแม่ เขาก็จะเข้ามาบอกว่า เฮ้ย เห็นลูกเล่นโฆษณานี้อยู่นะ แต่ว่าถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ค่อยมีใครมาทักค่ะ (หัวเราะ)
พอรู้ว่าจะได้รับบทแอร์โฮสเตส ต้องมีการเตรียมตัวอะไรอย่างไรบ้างไหม
ตอนนั้นคือ พอหนูได้สคริปต์มาแล้วใช่มั้ยคะ ก็ต้องมาลองฝึกพูดให้ดูเป็นผู้ใหญ่ เพราะว่าตัวหนูเองอายุ 17 แต่แอร์โฮสเตสในบทคือเป็นคนที่เรียนจบและทำงานแล้ว ก็เลยต้องมาฝึกกับคุณแม่ว่าต้องพูดโทนเสียงอย่างไร
ขอย้อนถามไปถึงวัยเด็กบ้าง ตอนเด็กๆ ออมมีความกล้าแสดงออกหรือว่ามีแววว่าจะมีความอยากเป็นนักแสดงบ้างไหม
ตอนเด็กๆ หนูเป็นคนไม่กล้าแสดงออกเลยค่ะ เป็นคนขี้กลัว เป็นความกลัวแบบว่า…กลัวสายตาคน เช่นแบบว่าเวลาจะไปสั่งอาหารเองก็ไม่กล้า อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ขี้กลัวจริง ๆ หนูก็เลยจะอยู่กับแม่ตลอดเลยค่ะ
ตอนแรกหนูไม่ได้คิดว่าจะเข้าสู่วงการนี้เหมือนกับคุณแม่เลยค่ะ แต่ว่าพอมีโอกาสแล้ว เราก็ลองทำดู เพราะว่าตอนนี้ที่หนูเข้าวงการมา หนูเองก็โตประมาณหนึ่ง คือประมาณ ม.5 – ม. 6 แล้ว ซึ่งหนูก็ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แล้วด้วยความที่มีคำแนะนำจากคุณแม่ด้วย ก็เลยทำให้หนูมีความมั่นใจขึ้นมาค่ะ
ถ้าไม่ได้อยากเป็นนักแสดง แล้วตอนเด็กๆ ออมอยากเป็นอะไร
อยากเป็นสัตวแพทย์ค่ะ เพราะว่าหนูเป็นคนชอบสัตว์มาก ชอบสัตว์มาก ๆ ทุกชนิดเลย หน้าตาน่ากลัวขนาดไหนหนูก็เล่นได้หมดเลย หนูก็เลยเป็นคนรักสัตว์ค่ะ แต่พอโตขึ้นมา หนูได้เรียนสายภาษา หนูก็รู้สึกชอบเหมือนกัน
ออมเป็นคนขี้กลัวแต่ทำไมอยากเป็นสัตวแพทย์
หนูเป็นคนที่กลัวคนมากกว่า ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเล่นกับสัตว์ หนูว่ามันไม่ค่อยมีอะไรให้ต้องเขินสักเท่าไหร่ (ยิ้ม)
แปลว่าชอบงานสายวิชาการใช่ไหม
ใช่ค่ะ
แต่ว่าด้วยอาชีพการแสดงมันก็คงต้องการเวลาค่อนข้างมาก ออมรู้สึกว่ามันหนัก หรือรู้สึกว่ามันมีความตรงกันข้ามกับทางด้านวิชาการบ้างไหม แล้วตัวของออมเองต้องปรับตัวอะไรบ้าง
ถ้าถามว่ามันตรงกันข้ามไหม มันตรงกันข้ามค่ะ แล้วช่วงนี้ ด้วยความที่ว่าหนูอยู่ ม.6 ซึ่งก็ต้องขึ้นไปในระดับมหาวิทยาลัย ต้องมีการสอบโน่นสอบนี่เยอะมาก มีสอบไฟนอลของโรงเรียนอีก แถมยังมีโพรเจกต์จบอีกต่างหาก แล้วก็ยังต้องเรียนพิเศษอีก ก็เลยจะเยอะๆ หน่อย หนูก็เลยให้คุณแม่กับพี่อุ๊ (ผู้จัดการ) ช่วยหนูแบ่งเวลา จัดการเวลา คอยบอกหนูว่า โอเค วันนี้ต้องไปเรียนนะ วันนี้ไปทำงานนะ กลับมาอ่านหนังสือสองชั่วโมงนะ คุณแม่ก็จะคอยบอกไว้ แล้วหนูก็จะทำตามสิ่งที่คุณแม่บอก เพราะว่าคำแนะนำของคุณแม่เป็นสิ่งที่จะจัดการชีวิตของหนูได้ดีที่สุดแล้ว แล้วก็ทำให้สามารถอยู่กับวิถีชีวิตแบบนี้ได้เป็นปกติค่ะ เวลาทำงานก็ทำงาน เวลาเล่นก็เล่น
การทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยทั้งสองฝั่งแบบนี้ถือว่าหนักไหมสำหรับออม
สำหรับการทำงาน ตามความรู้สึกของหนู หนูคิดว่าทำให้มันเต็มที่ที่สุดก็โอเคแล้ว แต่ว่าเรื่องการเรียนเนี่ย หนูว่าหนักกว่าการทำงานอีก การทำงานเองมันก็ยังมีความชิล ความสบายๆ แต่ว่าการเรียนมันก็คือการต้องไปแข่งขันกับคนเยอะ ๆ หนูก็เลยต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิม ต้องเตรียมตัวมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะเตรียมตัวเข้าสู่การแข่งขัน อะไรแบบนี้ค่ะ (หัวเราะ)
ไม่ค่อยชอบการแข่งขันใช่ไหม
(หัวเราะ) มีส่วนค่ะ จริง ๆ คือหนูเป็นคนชิล ๆ ติดชิลมากจนคุณแม่ดุเลย ซึ่งก็ต้องขอบคุณคุณแม่มาก ๆ เพราะว่าการที่หนูติดชิลเกินไปบางครั้งมันก็ไม่ดี ถึงแม้ว่าไม่ชอบการแข่งขัน แต่ว่าคณะที่เราเล็ง ๆ ไว้ หรือมหาวิทยาลัยแถว ๆ บ้านที่เราอยากได้ เราก็ต้องแข่งขัน
พอจะบอกได้ไหมว่าสนใจคณะอะไรเป็นพิเศษ
จริง ๆ พวกตัวเลขหนูก็ชอบนะคะ หรือว่าวิชาสังสังคมหนูก็ชอบ ก็ดู ๆ ไว้อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าคุณพ่อของหนูชอบเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจอยู่แล้ว แล้วธุรกิจของคุณพ่อก็จะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หมดเลย คิดว่าต่อไปถ้าหนูเรียนด้านตัวเลข ด้านบัญชี หนูก็สามารถเอาความรู้พวกนี้มาช่วยงานคุณพ่อ รวมถึงเรื่องของภาษาด้วย เพราะว่าต้องติดต่อกับต่างประเทศ ซึ่งหนูเองเรียนทางด้านภาษาอังกฤษอาเซียนน่ะค่ะ เอกที่หนูเลือกเรียนเป็นภาษาพม่า หนูว่าตรงนี้ก็น่าจะเอาไป
ต่อยอดช่วยธุรกิจของที่บ้านได้
ทีนี้คุยเรื่องของคุณแม่บ้าง ด้วยความที่คุณแม่เป็นนักแสดง มีคนมาทักทายหรือจำออมได้ในฐานะที่เป็นลูกสาวของแม่ก้อยบ้างไหม
ส่วนมากที่จะจำได้คือจำคุณแม่ได้ค่ะ อย่างเช่นเพื่อน ๆ คุณแม่ก็จะมาทักว่า เฮ้ย นี่ลูกชายเหรอ นี่ลูกสาวเหรอ โตขนาดนี้แล้วเหรอ คือหนูอาจจะยังเพิ่งจะเริ่มต้นด้วยค่ะ ก็เลยยังไม่ได้มีคนเข้ามาทักมากเท่าไหร่ แต่ว่าคุณแม่อยู่วงการมา 20-30 ปีแล้ว ก็จะมีคนรู้จักมากกว่าค่ะ
เคยได้เห็นผลงานการแสดงของคุณแม่บ้างไหม
เคยค่ะ (หัวเราะ)
เป็นไงบ้าง
หนูรู้สึกว่าอยากทำให้ได้เหมือนคุณแม่ พูดจริง ๆ นะ หนูไม่ได้ชมหรือว่าจะอวยคุณแม่นะ แต่หนูรู้สึกว่าคุณแม่เล่นได้เป็นธรรมชาติมาก บางครั้งหนูก็จะถามคุณแม่ว่า แม่ อันนี้ต้องพูดยังไง แม่ทำได้ยังไง เพราะว่าคุณแม่แสดงได้เป็นธรรมชาติมาก ๆ เลยค่ะ เหมือนอย่างที่คุณแม่พูดแบบปกติเลย เพราะว่าปกติถ้าเราพยายามแสดงออกมาให้มันเป็นธรรมชาติมันจะไม่เป็นธรรมชาติ มันจะดูเหมือนประดิษฐ์ ทุกวันนี้เวลาหนูแสดง หนูก็เลยเลียนแบบคุณแม่ (หัวเราะ)
แล้วการที่ออมเห็นคุณแม่แสดง มันจุดประกายให้เราอยากเป็นนักแสดงแบบคุณแม่บ้างไหม
คือตอนเด็ก ๆ อย่างที่หนูบอกก็คือว่า หนูก็มีความฝันแบบเด็กน้อย ๆ ของหนูอยู่ค่ะ (ยิ้ม) แต่ว่าพอหนูได้รับโอกาส แล้วพอดีว่าคุณแม่ก็เป็นนักแสดงอยู่แล้วด้วย ก็เลยปรึกษากับคุณแม่ มีอะไรก็ถามคุณแม่เลยก็แล้วกัน
คุณแม่ได้แนะนำอะไรเกี่ยวกับการแสดงบ้าง
คุณแม่จะบอกว่าให้เราเชื่อในสิ่งที่เราเล่นค่ะ เชื่อว่าการที่เราได้รับบทนี้ ตัวเราจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง คือต้องเชื่อในบทบาท เชื่อในตัวละครที่เราเล่น ว่ามันต้องเป็นอย่างไร เราถึงจะสามารถแสดงมันออกมาได้ ไม่ใช่การประดิษฐ์หน้า ประดิษฐ์ท่าทางขึ้นมา มันก็จะทำให้คนดูออก คุณแม่ก็เลยจะสอนให้เชื่อในตัวละครก่อนค่ะ
แล้วคุณแม่ได้สอนอะไรที่นอกเหนือจากนี้บ้างไหม
นอกจากเรื่องแอ็กติ้ง คุณแม่จะสอนเรื่องวินัยค่ะ แล้วก็ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา สัมมาคารวะ อะไรแบบนี้ค่ะ คุณแม่จะย้ำเรื่องนี้มาก ว่าวินัยกับการตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญนะ รวมถึงเรื่องบุคลิกและนิสัยด้วยว่า ถ้าในสถานการณ์แบบนี้จะต้องทำอย่างไร
มันน่าเหลือเชื่อเหมือนกันว่า ออมเข้าวงการมาตอนอายุ 17 ซึ่งคุณแม่เองก็เข้าวงการมาตอนอายุ 17 เหมือนกัน คุณแม่ได้เล่าให้ออมฟังไหมว่าตอนที่คุณแม่เข้าวงการมา ณ ตอนนั้น กับตอนที่ออมเข้าวงการมา ณ ตอนนี้มันมีอะไรที่เหมือนหรือต่างกัน หรือคุณแม่ได้บอกไหมว่า ถ้าเข้ามาในวงการบันเทิงแล้ว อาจจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ก็มีนะคะ คือด้วยความที่หนูอาจจะอยู่ติดกับคุณแม่ตลอดเวลาด้วยค่ะ คุณแม่ก็จะแนะนำหนูตลอดว่า ตอนนี้ต้องทำแบบนี้นะ ซึ่งคุณแม่เคยเล่าว่าตอนที่คุณแม่อายุ 17 ด้วยความที่เมื่อก่อนก็จะไม่มีโซเชียลมีเดีย คนส่วนมากก็จะนั่งคุยกันซะมากกว่า อาชีพนักแสดงสมัยก่อนก็จะมานั่งอ่านบท ต่อบทกัน นี่คือสิ่งที่คุณแม่เคยเล่าให้หนูฟังว่าอาชีพนักแสดงเมื่อก่อนเป็นแบบนั้น ซึ่งพอมาถึงตอนนี้คุณแม่ก็จะสอนหนูว่า น้องออมเวลาอ่านบทให้อ่านให้ติดปากนะ อ่านให้คล่อง อย่ามัวแต่เล่นมือถือหรือโซเชียลมีเดียมากจนเกินไป
ในแง่ของแม่กับลูก คุณแม่เป็นไอดอลหรือมีอิทธิพลกับออมมากน้อยแค่ไหน
น่าจะมีอิทธิพลเรื่องการใช้ชีวิตค่ะ ถือว่าครอบคลุมทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงานหรือการใช้ชีวิต และการอยู่ในครอบครัวด้วย คุณแม่และคุณพ่อก็จะสอนทุกอย่าง หนูก็เลย เออ งั้นทำตามคุณแม่ทุกอย่างเลยแล้วกัน เพราะหนูรู้สึกว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนก็โอเค มีความสมเหตุสมผลทุกอย่าง หนูก็เลยทำตามที่พ่อแม่สอนทุกอย่างเลยดีกว่า
ทีนี้มาถามเรื่องการแสดงบ้าง ทำไมออมถึงตัดสินใจที่จะออดิชั่นเพื่อแสดงละคร “Hotel Stars สูตรรักนักการโรงแรม” เป็นเรื่องแรก
คือตอนนั้นมีการเปิดออดิชั่นค่ะ แล้วทางเพื่อนของคุณแม่ส่งโปสเตอร์แล้วก็บอกว่า ให้ออมลองมาแคสติ้งสิ เพราะว่าซีรีส์เรื่องนี้เปิดรับนักแสดงผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 2 คน หนูก็เลย อ่ะ ลองดูก็ได้ พออ่านบทแล้วก็รู้สึกว่า คาแรกเตอร์ก็ไม่ได้ห่างไกลจากตัวเราเท่าไหร่ หนูก็เลย โอเค งั้นลองไปค่ะแม่ แล้วก็ให้พี่อุ๊ไปเป็นเพื่อนหนู โดยที่คุณแม่ไม่ได้เปิดเผยตัวเลย คุณแม่แค่มีหน้าที่ส่งตัวหนูไป (หัวเราะ) พอลองแคสติ้งดูก็ปรากฏว่าติดค่ะ
คุณแม่ได้แนะนำอะไรก่อนจะมาออดิชั่นซีรีส์เรื่องนี้ไหม
ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ก็มีเรียนการแสดงมาบ้าง คุณแม่ส่งตัวหนูไป แล้วก็ได้บทวันนั้นเลย คุณแม่แค่บอกว่าทำให้ดีที่สุดนะ แค่นั้นเลยค่ะ แล้วบทก็ไปได้หน้างานเลย หนูก็ต้องมานั่งซ้อม ซึ่งมันก็ค่อนข้างเร็วเหมือนกัน
พอผ่านออดิชั่นจนได้เข้ามาเป็นนักแสดงในซีรีส์เรื่องนี้แล้ว ตอนนั้นเป็นอย่างไร ยากง่ายอย่างไรแค่ไหนบ้าง
ตอนนั้นหนูไม่ตื่นเต้นเลยค่ะ ตอนนั้นหนูไปแคสต์ คือหนูก็ตั้งใจทำนะ แต่ว่าตอนไปแคสต์วันนั้นหนูก็งง ๆ นิดหน่อย เขามีบทให้เลือก เป็นบทร้าย ๆ กับบทหวาน ๆ แต่ว่าตอนนั้นบทยังไม่ได้เปิดเผยอะไรมาก หนูก็แค่เลือกบทที่มันดูเข้าปากหนูที่สุด ซึ่งมันก็มีความตื่นเต้นว่าหนูจำบทไม่ได้ เพราะว่าบทมันยาวมาก แล้วหนูก็มีเวลาซ้อมน้อย เพราะว่ามีคิวถ่ายตอนเช้าเป็นคิวแรก ๆ มันเร็วมาก แล้วหนูก็มีเวลาแค่แป๊บเดียว หนูเลยตื่นเต้นว่ากลัวว่าจะจำบทไม่ได้มากกว่าจะแคสติ้งติดหรือไม่ติด เพราะหนูก็อยากทำออกมาให้มันดีที่สุด
แล้วพอผ่านมันไปได้ รู้สึกอย่างไร
รู้สึกงงค่ะ (หัวเราะ) ตัวหนูเองตอนนั้นรู้สึกว่าทำได้ไม่ค่อยดีค่ะ แต่ก็คิดว่าหนูก็ตั้งใจทำที่สุดแล้วนะ ผลจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่ด้วยความที่ว่าตอนนั้นหนูรู้สึกว่ายังทำได้อีก คือด้วยความที่ว่ามีการแคสติ้งสองรอบ แล้วพอผ่านทั้งสองรอบ มันก็เลยเป็นความโชคดีที่สามารถผ่านไปได้ทั้งสองรอบ
หนูว่าซีรีส์เรื่องนี้ (Hotel Stars สูตรรักนักการโรงแรม) มันเป็นซีรีส์ที่ใคร ๆ ก็อยากเล่น คนที่มาแคสติ้งก็เยอะ แล้วซีรีส์เรื่องนี้ก็เป็นซีรีส์น่ารักใส ๆ ดูได้เรื่อย ๆ เป็นเรื่องของความเป็นเพื่อน ไม่ค่อยมีเรื่องของแฟนเข้ามาเกี่ยวข้องเท่าไหร่ รวมทั้งมีพี่ ๆ SBFIVE และเพื่อน ๆ ที่แคสติ้งเข้าไปด้วย สังคมในนั้นถือว่าเป็นสังคมที่ดี ทุกคนผูกพันกัน ทุก ๆ คนน่ารักกับเรา ก็เลยถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างโชคดี
เท่าที่สังเกตนะ รู้สึกว่าตั้งแต่ออมเข้ามาในวงการบันเทิง ออมมักจะได้รับบทที่เกินจากอายุจริงทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นบทแอร์โฮสเตสในโฆษณา Thai Smile หรือบท”นุ๊ก” ที่เป็นนักศึกษาฝีกงานการโรงแรมใน Hotel Stars และบทอื่น ๆ ที่ออมเคยและกำลังจะรับบท ตรงนี้ออมรู้สึกยังไง
คุณแม่ – หน้าเขาได้ (หัวเราะ)
ออม – (หัวเราะ) จริง ๆ หนูรับได้หมดนะ ถ้าได้รับบทมา หนูก็ต้องมาทำการบ้าน จริงๆ มันก็ไม่ได้เกินอายุขนาดนั้น อาจจะแค่ประมาณ 4-5-6 ปี ประมาณนั้น ไม่ได้อายุเยอะจนเกินไป เราก็ต้องกลับมาทำการบ้านว่าควรจะพูดยังไง ทำความเข้าใจกับตัวละคร ดูว่าแบ็กกราวนด์ของตัวละครตัวนี้ว่าเป็นอย่างไร แล้วก็คิดว่าเขามีคาแรกเตอร์แบบไหน และควรจะพูดออกมาแบบไหน เป็นแบบนั้นมากกว่า
ตอนนี้ก็คือเป็นนักการโรงแรมแล้วนะคะ เป็นแอร์โฮสเตส เป็นทหาร เป็นพยาบาล แล้วก็กำลังจะเป็นนักฆ่าด้วยค่ะ (หัวเราะทั้งวง) คือด้วยความที่หนูเป็นเด็กตัวสูง ตัวใหญ่ด้วยแหละ หนูเลยดูมีความเป็นผู้ใหญ่
คุณแม่ได้สอนบ้างไหมว่าการแสดงอะไรแบบนี้ต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
สอนเรื่องบุคลิกภาพค่ะ เวลาเดินคุณแม่ก็จะบอกว่า อย่าหลังค่อม! คุณแม่ก็จะแนะนำว่า ควรจะทำแบบนี้ๆๆ นะ ทั้งวิธีการพูด วิธีการเดิน คุณแม่ก็จะคอยสอนอยู่ตลอดค่ะ
แล้วตอนนี้ที่ผ่านงานการแสดงมาประมาณหนึ่ง รู้สึกชอบอาชีพนักแสดงมากขึ้นบ้างไหม
หนูคิดว่าชอบมากขึ้นค่ะ เพราะว่าเพราะเราได้ทำแล้วรู้สึกสนุก แต่ว่าตอนที่ได้ทำหนูก็จริงจังนะ การที่เราจะสนุกกับอะไร เราก็ต้องจริงจังกับมันด้วย ไม่ใช่แค่ว่าทำเล่น ๆ ทุกวันนี้หนูก็ต้องตั้งใจทำการบ้านในการแสดงเหมือนเดิม แล้วก็สนุกในแง่ที่ว่าเราจะได้เจอกับอะไรใหม่ ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเรียน ได้รับบทบาทใหม่ ๆ ที่มีความแตกต่างกันไป ซึ่งมันก็ท้าทายดี สนุกดีค่ะ
มีบทบาทหรือคาแรกเตอร์แบบไหนที่ยังไม่ได้ลองแต่อยากลองแสดงบ้างไหม
ตอนนี้ก็อย่างที่บอกคือเป็นหลายอาชีพเลยค่ะ (หัวเราะ) ณ ตอนนี้ที่ยังไม่เปิดกล้องแต่เวิร์กช็อปไปแล้วก็คือบททหารค่ะ
ที่เคยแสดงมา มีบทบาทในดวงใจบ้างไหม
คือด้วยความที่มีบางบทบาทที่ยังไม่ได้เปิดกล้องน่ะค่ะ หนูคิดว่าน่าจะชอบกันคนละแบบมากกว่า แต่ถ้าจะให้เลือกว่าชอบที่สุดคือน่าจะเป็น Hotel Stars ที่รับบทเป็นนุ้กนี่แหละค่ะ เพราะว่าบทนุ้กเหมือนหนูเลย หนูไม่ได้รู้สึกไปเองนะ แต่หนูรู้สึกว่านุ้กกับออมมีความเหมือนกันเลย เหมือนกันมาก ๆ เวลาจริงจังก็จริงจัง แล้วก็ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจ เป็นคนหวาน ๆ น่ะค่ะ (ยิ้ม) แล้วก็มีความไม่มั่นใจ แล้วเวลาที่เล่น มันก็สามารถเล่นเป็นตัวออมได้เลยค่ะ ก็เลยรู้สึกสนุกกับบทนี้
ด้วยความที่เป็นเรื่องแรกด้วย มันก็เลยไม่มีภาพจำจากเรื่องอื่น ๆ ติดมา เวลาเราเล่นก็เลยรู้สึกว่าตัวละครนี้เป็นออมมากๆ เลย
เคยคิดจะข้ามไปเล่นคาแรกเตอร์อื่น ๆ บ้างไหม เช่นบทร้าย ๆ
หนูว่าหนูได้หมดเลยค่ะ ถ้าเกิดว่าเราได้รับหน้าที่มา หนูก็พร้อมที่จะเล่นค่ะ ถ้าได้รับมอบหมายมาแล้วหนูก็อยากเล่นค่ะ
แต่ถ้าออมบอกว่าตัวเองเป็นคนหวาน ๆ แล้วถ้าจะไปเล่นบทร้าย ๆ จะรู้สึกฝืน ๆ หรือเปล่า
หนูว่าไม่ฝืนนะคะ เพราะว่าอย่างในละครของทางช่อง 3 เรื่อง “พราวมุก” หนูได้รับบทเป็น “ตรีนุช” ค่ะ แล้วด้วยความที่ตรีนุชมีความร้าย คือโดนแย่งคนรักไป ก็เลยจะมีความเขม่นกับอีกคน ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายมาก จะเป็นร้ายแบบนิด ๆ แต่ว่าก็จะมีฉากอาละวาดด้วย มันเหมือนเป็นอารมณ์แย่งคนรักกันน่ะค่ะ แบบว่ามันควรจะเป็นหนู แต่ทำไมไม่เป็นหนู ก็เลยอาละวาด เหมือนว่ามีคนมากระทำเหมือนกัน เป็นการร้ายที่มีเหตุผล ซึ่งหนูก็ไม่ได้รู้สึกฝืนค่ะ รู้สึกว่าสนุกดี ก็ต้องติดตามกันต่อนะคะว่าหนูโดนอะไรมาบ้าง (หัวเราะ)
พอเป็นนักแสดงมาประมาณหนึ่ง เริ่มมีแฟนคลับ หรือมีคนจำออมได้บ้างหรือยัง
มีบ้างค่ะ ก็จะมีแบบว่าเป็นเพจไอจี ทวิตเตอร์ แล้วก็ Line Square แล้วก็จะมีแฟนคลับของพี่ ๆ SBFIVE ที่เล่น Hotel Stars ด้วยกัน ก็จะรู้จักนุ้กไปด้วย เขาก็จะมาทัก มาเรียกว่า น้องออม… อะไรแบบนี้ ซึ่งก็น่ารักดีค่ะ
ได้เข้าไปส่องบ้างไหมว่าแฟนคลับเขาพูดถึงออมยังไงบ้าง
หนูส่องตลอดเลยค่ะ (ยิ้ม) หนูอยากจะบอกว่าอย่างในทวิตเตอร์ก็จะมีแอคเคาท์ที่เป็นแฟนคลับหนูใช่มั้ยคะ แล้วหนูก็จะเข้าไปส่องตลอด ก็รู้สึกว่าดีใจ แล้วก็จะได้เห็นรูปถ่ายที่เขาถ่ายหนู หนูเห็นแล้วก็จะแบบว่า เฮ้ย เขาถ่ายรูปเราด้วยเหรอ ไม่คิดว่าจะมีคนถ่ายเราด้วย หนูก็จะเอาไปอวดแม่ว่า “นี่รูปหนูนะ…” เวลาหนูเจอรูป ก็จะเอาไปอวดแม่ตลอด ก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ค่ะ
เท่าที่เคยเห็น แฟนคลับเขาพูดถึงออมยังไง
ตอนที่ Hotel Stars ออนแอร์ จะมีอยู่อีพีหนึ่งที่หนูแกล้งพี่พงศ์ คนที่รับบทก็คือพี่คอปเตอร์ (ภานุวัฒน์ เกิดทองทวี สมาชิกวง SBFIVE)
แล้วในฉากก็คือเหมือนหนูต้องไปแกล้งเขา แล้วก็ไม่ฟังกันหรืออะไรสักอย่าง ทำให้หนูโดนหักคะแนน แฟนคลับที่ดูเขาก็จะพูดกันว่า “นุ๊กทำไมถึงทำแบบนี้!” ซึ่งก็ขำ ๆ ดีค่ะ เอาจริง ๆ ก็มีที่คนพูดถึงในแง่ลบบ้าง เพราะว่าหมั่นไส้นุ๊ก มีแบบว่า “สระอี” มาบ้าง (หัวเราะ) ส่วนกระแสอีกอันที่หนูเจอเยอะ ๆ ก็ตอนโฆษณา Thai Smile ค่ะ ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นกระแสที่ดีมาก ๆ ทุกคนให้กำลังใจหนูมาก ๆ แล้วก็จุดประกายอยากให้คนไปบริจาคร่างกายบ้าง ทำให้หนูรู้สึกดีมาก ๆ
แล้วก็มีการเปิดวาร์ปน้องออมเยอะขึ้นด้วยค่ะ (หัวเราะ)
https://www.instagram.com/p/B6IW7MzgQoE/
ไม่ต้องตามหาวาร์ปให้ยาก เพราะเราวาร์ปมาให้แล้ว ไปตาม Instragram น้องออมได้ที่ @ormmormm
การทำอาชีพนักแสดงมาถึงตอนนี้ ออมรู้สึกภูมิใจในงานด้านการแสดงขึ้นบ้างไหม
ถ้าเป็นความภูมิใจ หนูว่าหนูภูมิใจที่ได้เป็นเหมือนอย่างคุณแม่ค่ะ คือตอนแรกหนูก็ไม่ได้คิดเลยว่าหนูจะต้องเป็นเหมือนคุณแม่ แต่พอเราได้รับโอกาสปุ๊บ แล้วเราทำได้ ฟีดแบ็กก็ออกมาดี หนูก็เลยรู้สึกมีกำลังใจที่จะทำต่อ มันเป็นความภูมิใจที่เราสามารถทำได้
และที่สำคัญคือสำหรับหนู อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพค่ะ ซึ่งมันเป็นอาชีพที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เป็น มันเป็นอาชีพที่หนูสามารถหาเงินได้ แล้วก็ภูมิใจกับมันได้ แม้ว่าหนูอายุไม่เยอะแต่ก็สามารถหาเงินได้ ก็เลยรู้สึกภูมิใจที่เราสามารถทำได้
ชื่นชอบอะไรในอาชีพการแสดงมากที่สุด
หนูคิดว่าเป็นความหลากหลายของการได้รับบทบาทต่าง ๆ ค่ะ แต่ละบทมันก็มีความท้าทายที่แตกต่าง ๆ กัน ถ้าต้องรับบททหารก็ต้องเข้มแข็งมาก ๆ พอมารับบทแอร์โฮสเตสก็ต้องมีความบอบบาง ซึ่งมันต่างกันเยอะมาก ซึ่งก็มีความท้าทายว่าเราจะทำได้ไหม เราจะดูแข็งแรงไหม สมบทบาทไหม ซึ่งเราก็จะต้องทำการบ้าน ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่มีความท้าทายและมีความสนุกค่ะ
มีเป้าหมายหรือจุดสูงสุดในการเป็นอาชีพนักแสดงบ้างไหม
ด้วยความที่ว่าตอนนี้หนูเพิ่งจะเข้ามา แล้วอีกอย่างคือตอนนี้หนูกำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็จะมีเรื่องเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก มีโพรเจกต์ของโรงเรียนอีก หนูก็เลยคิดว่า ณ ตอนนี้หนูคงต้องทำงานให้ดีที่สุด รวมถึงก็ต้องทำเรื่องของการเรียนควบคู่ไปด้วย หนูต้องทำสองอย่างนี้ให้ดีที่สุดก่อน หนูเลยยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเท่าไหร่ แค่ตั้งเป้าหมายว่าทำงานให้ดีที่สุดในทุกๆ ด้านก่อนดีกว่าค่ะ
มีสิ่งที่ออมรู้สึกกลัวที่สุดในฐานะการทำอาชีพนักแสดงบ้างไหม
คุณแม่ – แปลกมากที่ลูกไม่กลัวอะไรเลย (หัวเราะทั้งวง)
ออม – หนูไม่ได้จะเข้าข้างแม่นะคะ แต่หนูเชื่อว่าถ้าหนูทำตามสิ่งที่แม่บอก ด้วยความที่ว่าคุณแม่อยู่ในวงการบันเทิงมานาน แล้วถ้าหนูเชื่อคุณแม่ แล้วเราก็ปฏิบัติดีด้วย ไม่ได้ฝ่าฝืนอะไร หนูก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และก็ไม่มีอะไรน่ากลัวด้วยค่ะ เชื่อในมือโปร (หัวเราะ)
นอกจากแม่แล้ว ตัวออมเองมีไอดอลในการแสดงคนอื่นๆ อีกไหม
นอกจากคุณแม่ ที่หนูสนิทด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อน ๆ คุณแม่ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นป้าเจี๊ยบ ปวีณา (ปวีณา ชารีฟสกุล) พี่ไก่ (สุปราณี เจริญผล) ป้าปอ (ปานเลขา ว่านม่วง) ก็จะเป็นเพื่อน ๆ คุณแม่ที่หนูเจอกัน ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย (กระซิบถามคุณแม่) หนูต้องเรียกพี่ๆ หรือป้าๆ ดีอ่ะ (หัวเราะทั้งวง)
ก็คือป้า ๆ เหล่านี้ก็จะน่ารักกับหนูมาก แล้วก็ให้คำปรึกษาทุก ๆ เรื่องในชีวิตหนูมาโดยตลอด ประมาณว่า เนี่ย หนูอยู่ในวงการนี้หนูจะต้องอย่างนี้ ๆๆ นะ ซึ่งเวลาหนูดูป้า ๆ เล่นละคร หนูก็จะรู้สึกเหมือนดูคุณแม่เล่นละครเลยค่ะ ดูมีความโปรเฟสชันแนล แล้วการแสดง รวมถึงการวางตัวของป้า ๆ ก็เป็นอะไรที่หนูเลียนแบบหมดเลยค่ะ
อยากทำอะไรอื่น ๆ ในวงการบันเทิงบ้างไหม เช่นเล่นหนัง เป็นนักร้อง พิธีกร ฯลฯ
หนูยังคิดไม่ถึงเลยค่ะ แต่จริง ๆ ถ้ามีโอกาส หนูก็อยากลองทำทุกอย่างเลยนะคะ แต่ด้วยความที่ว่าตอนนี้หนูเพิ่งจะเริ่มเข้าวงการ หนูก็เลยยังไม่ได้คิดไกลมากค่ะ
ในความคิดออม คิดว่าอาชีพนักแสดงคืออะไร
หนูรู้สึกว่ามันเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาในรูปแบบที่มีความเป็นตัวเรานิดหนึ่ง โดยที่เราก็ต้องอาศัยความเข้าใจกับตัวละครนั้น ๆ ด้วย ไม่ใช่แค่อ่านบทแล้วพูดออกมาเฉยๆ เพราะตัวหนูเองก็เคยดูละครที่เป็นแบบนั้น ที่ตัวละครพูดออกมาเหมือนกับแค่อ่านบทเฉยๆ ซึ่งหนูดูออก
ถ้าหนูเป็นแบบนั้น หนูคิดว่าคนดูก็น่าจะดูออกว่าเราปลอม
ฝากผลงาน
ตอนนี้ที่ออมมีผลงานอยู่ก็เช่น “Hotel Stars สูตรรักนักการโรงแรม” รับบทเป็นนุ๊ก ละครเรื่อง “พราวมุก” รับบทเป็น “ตรีนุช” ตอนเด็ก และละคร “เก็บแผ่นดิน” รับบทเป็น “มะนุ” ละครเรื่อง “เกมล่าทรชน” รับบทเป็น “อัญญา” และซีรีส์เรื่อง “มาเฟีย” รับบทเป็นโรสค่ะ ยังไงก็ฝากทุกคนด้วย แล้วก็อยากจะขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ติดตามออม แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต้น หนูรู้สึกขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ จะทำให้เต็มที่เลยค่ะ (ยิ้ม)
[คุยนอกเรื่อง]
ได้ข่าวว่าออมชอบดูซีรีส์ ในฐานะที่ What The Fact เองก็เป็นคอซีรีส์ เลยอยากให้ออมแนะนำซีรีส์ที่ดูแล้วชอบมาสักเรื่อง
คือตอนนี้หนูค่อนข้างยุ่งกับการเรียนมาก ๆ ค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาดู ที่ดูล่าสุดก็คือนานมาก ๆ แล้ว ขอแนะนำเรื่อง “13 Reasons Why” (13 บันทึกลับหัวใจสลาย) ของ NETFLIX แล้วกันค่ะ
แต่ว่าซีซั่น 2 หนูยังไม่ได้ดูเลยค่ะ แต่ซีซั่นแรก ใครที่ยังไม่ได้ดูก็ลองดูได้ค่ะ หนูคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้ให้ความคิดกับเราหลาย ๆ อย่างมากเลยค่ะ แล้วก็ดูได้แบบเพลิน ๆ มีช่วงที่หดหู่บ้าง แต่ว่าก็ทำให้เราได้คิดอะไรได้เยอะมากเลยค่ะ
[OFF RECORD]
ทีมงาน What The Fact – แนะนำให้ดูแค่ซีซั่นแรกก็พอนะคะ เก็บความประทับใจไว้ที่ซีซั่นแรกก็พอ
ออม – จริงเหรอคะ หนูเพิ่งดูจบแค่ซีซั่นแรกเอง
ทีมงาน What The Fact – แนะนำว่าให้จบแค่นั้น อย่าดูต่อเลยค่ะ
ออม – (หัวเราะ)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส