ในจำนวน 54 เรื่องของหนังไทยที่เข้าฉายในปี 2562 หรือเฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละ 1 เรื่องนั้น ก็ยังถือว่าเป็นปีที่ค่อนข้างเงียบเหงาและไม่ได้มีหนังไทยแนวใหม่ ๆ ออกมาสร้างความคึกคักให้กับคนดูบ้านเรามากนัก ส่วนมากแล้วถ้าไม่เป็นหนังที่มาจากค่ายใหญ่ที่เน้นตลก โรแมนติกคอมเมดี้ ที่ได้นักแสดงโทรทัศน์มีชื่อมานำแสดง ก็จะเป็นหนังตลกที่มีนักแสดงตลกเบอร์ต้น ๆ ของวงการมาเล่น
ซึ่งความซบเซาก็ได้สะท้อนให้เห็นผ่านรายได้เฉลี่ยของหนังไทยโดยรวมที่ทำรายได้อยู่ในระดับไม่เกิน 10-20 ล้านบาท ที่ไม่น่าเรียกได้ว่า ได้กำไรหรือคืนทุนสำหรับหนังหลาย ๆ เรื่องด้วยซ้ำ (แปลกหน่อยที่ไม่มีหนังของพชร์ อานนท์ ผู้กำกับมือทำเงินกับหนังไทยทุกปี ติดเข้ามาในโผเลยสำหรับปีนี้)
What The Fact ขอรวบรวม 10 อันดับหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดของปีที่ผ่านมา จากการรายงานข้อมูลรายได้ของเขตกรุงเทพและจังหวัดเชียงใหม่ของชมรมวิจารณ์บันเทิงมาจัดอันดับให้ได้อ่านกัน (อย่างไรก็ตาม รายได้จากทั่วประเทศนั้น จะต้องนับจากการจัดจำหน่ายไปยังสายหนังในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งไม่มีการรายงานข้อมูลให้รู้กันเป็นการทั่วไป นอกจากค่ายหนังที่จะทราบเอง)
อันดับ 10 ออนซอนเด (19 ล้านบาท)
ผลงานหนังตลกสนุกสนานแนวอีสานบ้านเฮา ที่ 3-4 ปีหลังมานี้หนังแนวไทบ้าน-หน้าฮ้านเจือมนต์เพลงหมอลำกลายเป็นหนังอีกหนึ่งแนวที่มีออกมาให้ชมกันเยอะ และประสบความสำเร็จในกลุ่มเป้าหมายคนดูอีสานอย่างน่าจับตามอง และกับทีมนักแสดงเรื่องนี้ที่ยกกันมาจากหนังฮักแพง เมื่อปีก่อน ทั้งเบิ้ล ปทุมราช, แซ็ค ชุมแพ, ก้อง ห้วยไร่, ธัญญ่า อาร์สยาม และยังมี แน็ค-ชาลี ไตรรัตน์ จากหนังแฟนฉันที่กลับมามีกระแสไวรัลมากมายในปี 2562 ที่ผ่านมาจนโด่งดังอีกครั้งมาสมทบในหนังด้วย หนังฮักบวกฮา “ออนซอนเด้” ที่แปลว่า น่ารัก งดงามเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับคนเดิมจากฮักแพง นั่นคือ ธีรเดช สพันอยู่ และยังอำนวยการสร้างโดยเบิ้ล ปทุมราชที่เป็นนักแสดงในเรื่องด้วย
เช่นเดียวกับฮักแพงและหนังแนวไทบ้านเรื่องอื่น ๆ ที่อาจไม่ได้ทำเงินมากมายในเขตกรุงเทพและเชียงใหม่ แต่กับสายหนังภาคอีสานนั้นต้องบอกว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิง เพราะหนังสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำจึงยังมีหนังไทบ้าน-หน้าฮ้าน ออกมาอย่างสม่ำเสมอ จุดแข็งก็คือการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นของนักร้องอีสานที่กลายมาเป็นนักแสดงกันเกือบทุกเรื่อง และปีนี้เองก็ยังมีหนังไทบ้านXBNK48 จากใจผู้สาวคนนีี้ ที่น่าจะมาเจาะตลาดคนเมืองและเอาใจฐานแฟนคลับของวงไอดอลสาว BNK48 ที่เป็นการขยายจักรวาลไป cross over กับอีกกลุ่มเป้าหมายที่ฐานแฟนคลับแน่นอยู่เช่นกัน
อันดับ 9 จอมขมังเวทย์ 2020 (23.24 ล้านบาท)
หนังไทยภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกในปี 2548 ถึง 14 ปี ซึ่งในเวลานั้นหนังยังอยู่กับค่ายอาวองท์ ของอาร์เอสฟิล์ม นำแสดงโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช และกอล์ฟ-อัครา อมาตยกุล ประสบความสำเร็จพอประมาณกับการบอกเล่าเกี่ยวกับไสยศาสตร์อาคมและการเล่นของ ซึ่งในเวลานั้นเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ (ฮาชิมะโปรเจกต์, ผีไม้จิ้มฟัน, แฟนเก่า, แฟนใหม่) ที่ในภาค 2020 นี้เขาก็ได้กลับมากำกับด้วย รวมถึงยังได้นักแสดงนำอย่าง ฉัตรชัย เปล่งพานิช กลับมารับบทตัวละครเดิมที่ยังไม่ตายเสียอย่างนั้น สมทบด้วยนักแสดงชื่อดังจากโทรทัศน์อย่าง หมาก-ปริญ สุภารัตน์, ก็อต-จิรายุ ตันตระกูล และสินจัย เปล่งพานิช ซึ่งทั้งหมดก็เป็นทีมนักแสดงในผลงานละครของผู้จัดทั้งสองนกทางโทรทัศน์ช่อง 3 นั่นเอง
เป็นเพราะความเป็นหนังแอ็กชันแฟนตาซีรสชาติแบบไทย ๆ ที่เล่าเรื่องอาคมไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นรสชาติของหนังไทยที่หายไปนานเป็นสิบปี การกลับมาของหนังเรื่องนี้จึงได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่คนดูก็ชมกันว่า ทั้งมันและเดินเรื่องเร็วไม่ให้ต้องเบื่อ หนังยังเต็มไปด้วยนักแสดงชื่อดังที่ใช้เปิดหนังได้ และสำหรับฝีมือก็ไม่ได้ทำให้ต้องผิดหวัง
อันดับ 8 ขุนแผนฟ้าฟื้น (26.28 ล้านบาท)
ผลงานของผู้กำกับที่มีหนังไทยทำทุกปีอย่างโขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ชอบทำหนังแอ็กชันแบบไทย ๆ แนวอาคมไสยศาสตร์อย่างจอมขมังเวทย์ 2020 ในอันดับก่อนก็ดูเป็นแนวถนัดของเขา (แต่ไม่ได้กำกับ) เพราะเคยกำกับหนังอย่างขุนพันธ์ ทั้ง 2 ภาค, ลองของ, เฉือน มาแล้ว แต่มาในเรื่องนี้ เขาพลิกแนวมาตีความใหม่กับการรีเมกตำนานขุนช้างขุนแผน ในหนังเรื่องขุนแผนฟ้าฟื้น นำแสดงโดยพระเอกพันล้านมาริโอ้ เมาเร่อ จากพี่มาก..พระโขนงและเคยร่วมงานกันมาแล้วกับ Take Me Home : สุขสันต์วันกลับบ้าน ปี 2559 สมทบด้วย นพชัย ชัยนาม, ศุภกร กิจสุวรรณ, ปราโมทย์ แสงศร, นิตยา บุญสูงเนิน, ฟิลลิปส์ ณัทธนพล และยงวรี งามเกษม
ต้องยอมรับในไอเดียตั้งต้นและความคิดสร้างสรรค์ของทีมผู้สร้าง ที่พลิกแนวแหกกรอบจนไม่เหลือเค้าเดิมของวรรณกรรมพื้นบ้านอย่างขุนช้างขุนแผนเลย (หนังขุนแผนฉบับล่าสุดต้องย้อนไปปี 2545 ของปื๊ด-ธนิตย์ จิตนุกูล ที่กำลังดังจากหนังบางระจัน) ซึ่งนาน ๆ ที่จะได้เห็นในหนังไทย รวมถึงการใส่เอฟเฟกต์แฟนตาซีเข้าไปแบบจัดเต็มซึ่งดูดีมากกว่างานหนังไทยตามมาตรฐานทั่วไป หนังให้ครบทุกอารมณ์สำหรับคนดูที่ต้องการความบันเทิงทั้งอารมณ์ขัน โรแมนติก ไปจนถึงสยองขวัญ แต่มาตกม้าตายที่เรื่องบทและการกระจายความสำคัญของตัวละครที่มีหลายคนได้อย่างไม่ทั่วถึง
อันดับ 7 ไบค์แมน 2 (34.73 ล้านบาท)
หลังจากความสำเร็จของภาคแรกในระดับทำรายได้ 50 ล้านบาท ผู้กำกับพฤกษ์ เอมะรุจิจึงกลับมาทำหน้าที่เดิมในการสานต่อเรื่องราวจากภาคแรกเมื่อปี 2561 ผลงานร่วมสร้างระหว่าง Workpoint และ M Pictures ที่อำนวยการสร้างโดยยอร์ช-ฤกษ์ชัยเรื่องนี้ ยังคงได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาทั้งหมดอย่าง พีช-พชร จิราธิวัฒน์ ที่ในปีนี้กำลังอยู่ในกระแสข่าวเลิกรากับนางเอกอีกคนจนกลายเป็นกระแสที่ช่วยส่งให้หนังดังด้วยก็เป็นไปได้, ฝน-ศนันธฉัตร ธนพัฒน์ไพศาล, นักร้องดัง เจนนิเฟอร์ คิ้ม, ค่อม ชวนชื่น, โรเบิร์ต สายควัน, โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน สมทบด้วยนักแสดงใหม่ เต๋า-สมชาย เข็มกลัด
จากความสำเร็จในภาคแรกกับหนังดูเอาฮาและความบันเทิง การตีเหล็กตอนร้อนด้วยการส่งภาค 2 ตามมาติด ๆ ในปีถัดมา (ซึ่งเป็นสูตรที่พี่นาคของไฟว์สตาร์ก็เดินตามในการรีบส่งภาค 2 ในปีถัดมาเลย) ก็เป็นอีกสูตรที่ดีของหนังไทยที่คนพร้อมจะเข้ารับความสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แม้ว่าภาคนี้จะทำรายได้หล่นจากภาคแรกลงไปเกือบครึ่ง ก็อาจจะต้องมาลุ้นกันว่า หนังจะมีภาค 3 ตามออกมาอีกหรือไม่
อันดับ 6 แสงกระสือ (36.65 ล้านบาท)
หนังของค่าย Transformation Film ที่ได้รับกระแสชื่นชมอย่างล้นหลามในตอนที่ออกฉายในการหยิบเอาตำนานผีกระสือมาตีความใหม่และผสมเข้ากับเรื่องราวความรักของวัยรุ่น ผลงานกำกับของสิทธิศิริ มงคลศิริ ที่เคยผ่านงานกำกับโฆษณาและมีเครดิตกำกับร่วมหนังอย่าง Last Summer ฤดูร้อนนั้นฉันตาย มาก่อนหน้านี้ โดยหนังก็ได้อีกผู้กำกับมือดีอย่างมะเดี่ยว-ชูเกียรติ์ ศักดิ์วีระกุล จากรักแห่งสยาม ที่ก็มีหนังเข้าฉายในปีนี้ด้วยอย่างดิว…ไปด้วยกันนะ มาเขียนบทให้ นำแสดงโดยนักแสดงจากละครโทรทัศน์ มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร (ซึ่งมีหนังไทยเล่นถึง 2 เรื่องในปีเดียว อีกเรื่องคือแฮปปี้นิวยู แสบสนั่นยันหว่างช่วงท้ายปี) โอบ-โอบนิธิ วิววรรธนวรางค์ (ที่ได้มีบทบาทในออริจินัลซีรีส์เรื่องแรกของไทยใน Netflix เรื่องเคว้งด้วย) และเกรท-สพล อัศวมั่นคง สมทบด้วยอีกหนึ่งตัวร้ายเจ้าประจำของหนังไทยที่หายหน้าไปนานอย่าง เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย
ความสำเร็จของหนังเกิดมาจากการแสดงที่ลงตัวของนักแสดงหลัก รวมถึงการเซ็ตบรรยากาศและโปรดักชัน ของหนังออกมาได้สมจริง แม้ว่าหนังจะมีเรื่องราวในองก์ที่ 3 ของเรื่องที่เปลี่ยนจากหนังทริลเลอร์กลายเป็นหนังแฟนตาซีเต็มรูปแบบ แต่สูตรนี้ก็เคยใช้สำเร็จกับหนังอย่างนาคี 2 ที่ว่าด้วยภูตผีและสิ่งมีชีวิตในตำนานมาแล้ว หนังได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าแข่งสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมของรางวัลออสการ์ประจำปี 2562 ด้วย
อันดับ 5 ขุนบันลือ (46.28 ล้านบาท)
หม่ำ จ๊กมก ซูเปอร์สตาร์ตลกชื่อดังของเมืองไทย กลับมาเล่นหนังเองกำกับเองอีกครั้งหลังจากกำกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายคือ ทาสรักอสูร เมื่อ 4 ปีก่อน โดยในเรื่องนี้เป็นหนังพีเรียดยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น หม่ำ จ๊กมกรับบทเป็นขุนบันลือ มีการผูกเรื่องให้เกิดที่จังหวัดเชียงราย เข้ากับกระแสข่าวโจ๊กในช่วงเวลาที่หนังกำลังสร้างว่า หม่ำมีเมียน้อยอยู่ที่เชียงราย (ตามที่โหน่ง ชะช่าช่า ชอบพูดในรายการโทรทัศน์) ผู้กำกับยังบอกอีกว่า ตั้งใจจะสร้างหนังเรื่องนี้มา 7 ปีแล้ว และอยากให้คนในครอบครัวมาเล่นกันหมด ติดที่ลูกสาวเพิ่งมีลูกเลยไม่สะดวกมาเล่นแค่คนเดียว
ผลงานจากบั้งไฟฟิล์มของนักแสดงตลกหม่ำ จ๊กมกที่ยังเป็นซุปตาร์สายตลกที่ทำหนังเรียกเงินคนดูได้เสมอ เปิดตัวช่วงส่งท้ายปลายปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปี โดยบั้งไฟฟิล์มมีหนังออกมาถึง 3 เรื่องในปี 2562 คือ สิ้น 3 ต่อน, บอร์ดี้การ์ดหน้าหัก และเรื่องนี้ ที่แม้ว่าบทในเรื่องจะดูเป็นงานด้นมุกสดกันหน้ากองระหว่างนักแสดงตลกทั้งหลาย มากกว่าจะมีบทเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับแฟนหนังของหม่ำ ที่ต้องการเข้ามาเสพความบันเทิงล้วน ๆ จากหนังอยู่แล้ว เช่นเดียวกับงานกำกับก่อนหน้าอย่างไตรภาคแหยม ยโสธร หรือส่ม ภัค เสี่ยน
อันดับ 4 ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (52.01 ล้านบาท) (นับถึง 11 ม.ค. 63)
แม้จะดูจากหน้าหนังและกระแสปากต่อปากหลังหนังเข้าฉายถึงความ “ไม่แมส” ของฮาวทูทิ้ง ผลงานลำดับที่ 7 ของผู้กำกับสายหนังติสท์อย่าง เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ แต่หนังก็ยังเข้ามาจอดป้ายในลำดับที่ 4 หนังทำเงินสูงสุดของปี แซงหน้าหนังแมสหรือหนังที่ดูจะเข้าถึงได้ง่ายกว่าอีกหลายต่อหลายเรื่อง ครั้งหนึ่งผู้กำกับเต๋อ เคยพาฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ หนังไม่แมสแต่พ่ะยี่ห้อ GTH (ค่ายหนังก่อนเป็น GDH) ทำรายได้ไปถึง 80 ล้านบาทมาแล้วเมื่อปี 2558 และพระเอกของเต๋อก็เป็นซันนี่คนดีคนเดิมนี่เอง หนังยังสมทบด้วยนักแสดงมากฝีมือหลายคน ทั้งออกแบบ-ชุติมณฑน์ จากหนังร้อยล้านฉลาดเกมส์โกง และอาภาศิริ นิติพน
เป็นอีกครั้งที่ค่าย GDH ได้แสดงให้เห็นถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของฐานแฟนคลับ ที่พร้อมจะให้การสนับสนุนทั้งหนังแมส (อย่างตุ๊ดส์ซี่หรือ Friend Zone) และหนังที่ดูจะเข้าถึงได้ยากแบบนี้ ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของคอหนังชาวไทยที่จะได้ลองรสชาติแปลกใหม่ของหนังในอีกรูปแบบ กับเรื่องนี้เอง ผู้กำกับเต๋อก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นหนังที่ประนีประนอมระหว่างการทำตามใจตัวเองกับทำตามตลาดที่สุดแล้ว เพราะอยู่ตรงกลางระหว่าง Die Tomorrow และฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ เป็นการปิดจบไตรภาคของหนังเกี่ยวกับชีวิตผู้คนที่เขาได้รับประสบการณ์และได้สัมผัสมา ไม่แน่หนังเรื่องต่อไปอาจจะเป็นหนังพีเรียดชีวประวัติบุคคลอะไรแบบนั้นไปเลยก็ได้
อันดับ 3 พี่นาค (53.01 ล้านบาท)
ถือเป็นเคล็ดได้เลยสำหรับหนังที่ชื่อนากหรือนาค ยิ่งบวกเข้ากับตำนานความสยองของผีไทยด้วยแล้ว ก็มักจะเชื้อเชิญให้คอหนังสยองขวัญชาวไทยตีตั๋วเข้าไปดูได้ไม่ยาก พี่นาคเป็นหนังเพียงเรื่องเดียวของค่ายเก่าแก่ของวงการหนังไทยอย่างไฟว์สตาร์ที่ออกฉายในปี 2562 แต่เรื่องเดียวก็อาจจะเพียงพอถ้าโดนใจคนดู เพราะหนังก็สามารถทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ท่ามกลางหนัง 3 เรื่องของค่าย GDH ผลงานของผู้กำกับ ภณธฤต โชติกฤษฏาโสภณ หรือชื่อเดิม อชิร นกเทศ ที่เคยมีผลงานกับไฟว์สตาร์มาแล้วในหนังมอญซ่อนผี และตายโหง ตายเฮี้ยน ในตอน ซ่องผีท่าล้อซอย 9 รวมถึงเคยทำหน้าที่กำกับศิลป์ในหนังหอแต๋วแตก แหวกชิมิ, It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก, ปล้นนะยะ 2 เป็นต้น
จุดขายของหนังที่อาจไม่ได้รับเสียงเชียร์จากฝั่งนักวิจารณ์เท่าไหร่นัก แต่ที่ถูกใจคนดูก็อยู่ที่นักแสดงสายตลกที่มาสร้างบรรยากาศโวยวายจนถูกใจคนดู นำแสดงโดยนักแสดงวัยรุ่น ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์ (จากละครฮิตของปีที่แล้วอย่าง “กรงกรรม”), วิทวัส รัตนบุญบารมี (เอม ตามใจตุ๊ด-เจ้าของช่อง YouTube ชื่อดัง), คุณพัทธ์ พิเชษฐ์วรวุฒิ, อธิวัตน์ แสงเทียน, ภูริพรรธน์ เวชวงศาเตชาวัชร์ รวมถึงศิลปินดังอย่าง ชิน-ชินวุฒิ อินทรคูสินและ พลอยชมพู-ญานนีน ภารวี ไวเกล หนึ่งปีให้หลังความสำเร็จ ภาค 2 ก็กำลังจะเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์นี้แล้ว
อันดับ 2 Friend Zone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน (134.15 ล้านบาท)
ผลงานเรื่องแรกแบบเต็ม ๆ ของนักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมาแรงอย่าง นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ ที่เคยฝากผลงานไว้ในพรจากฟ้าของค่าย GDH ในตอนยามเย็น มาก่อน ส่วนฝ่ายหญิงก็ได้มีผลงานหนังร้อยล้านเรื่องแรกเสียที สำหรับ ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ที่เคยแจ้งเกิดจากหนังสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารักมาแล้ว (ทำรายได้ไป 80 ล้านบาท) รวมถึงปีนี้ยังเป็นปีที่เธอได้มีผลงานละครสุดฮิตอย่างใบไม้ที่ปลิดปลิว ซึ่งเธอรับบทเป็นสาวประเภทสองชื่อ”นิรา”ที่คนติดตามชมกันทั้งบ้านทั้งเมือง ผลงานหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ที่เป็นแนวถนัดของค่าย GDH เรื่องนี้เป็นผลงานของ หมู-ชยนพ บุญประกอบ ที่เคยกำกับหนัง Suckseed ห่วยขั้นเทพ, เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ และพรจากฟ้า ตอนยามเย็น ที่ณภัทรเป็นพระเอกมาก่อน ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานโรแมนติกเต็มตัวที่ใช้เวลาพัฒนาบทกันมาถึง 4 ปีเต็ม หลังจากหมูทำหนังวัยรุ่นมา 2 เรื่อง
สิ่งที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ ก็คือช่วงเวลาเดือนแห่งความรักที่หนังวางโปรแกรมไว้ ซึ่งคนดูก็พร้อมเปิดใจต้อนรับหนังรักจาก GDH มาเป็นเวลาหลายสิบปีอยู่แล้ว นักแสดงทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้ดีแม้ว่าตัวละคร “กิ๊ง” ของใบเฟิร์น จะทำแต่เรื่องไม่สมเหตุสมผลและไม่น่าเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ หนังยังโชว์เพลงประกอบ “คิดมาก” ของปาล์มมี่ ที่ดัดแปลงให้นักร้องทั่วทั้งอาเซียนมาร่วมกันร้องในเพลงเดียวกันถึง 9 ภาษา ชนิดที่เรียกว่าพร้อมจะขายหนังไปยังทุกประเทศเพื่อนบ้านได้ทันที
อันดับ 1 ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะ เฟค (136.01 ล้านบาท)
ต่อยอดความสำเร็จจากซีรีส์ไดอะรี่ตุ๊ดซี่ส์ที่มีออกมาแล้ว 2 ซีซันและมีฐานแฟนคลับอยู่พอสมควร สำหรับเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากเพจดัง “บันทึกของตุ๊ด” ที่เรื่องราวในภาคนี้เป็นเรื่องแต่งใหม่ที่ไม่ได้นำมาจากเรื่องราวในเพจแล้ว หลังจากหายไป 2 ปีก็ได้เวลาสุกงอมที่ “กัส กอล์ฟ คิม แน็ตตี้” จะกลับมาอีกครั้งในผลงานของผู้กำกับ กิตติภัค ทองอ่วม ที่กำกับซีรีส์มาตั้งแต่แรก ร่วมด้วยนักแสดงซุปตาร์ผู้ไปเดินพรมแดงเมืองคานส์มาแล้วทุกปีอย่าง ชมพู่-อารยา เอฮาร์เก็ต ที่มาร่วมงานกับ GDH เป็นครั้งแรก หลังจากเคยเป็นนางเอกร้อยล้านในคุณนายโฮ รวมถึงจำเนียน วิเวียน โตมร หนังของยอร์ช-ฤกษ์ชัย แห่งค่าย M39 มาก่อน
เคล็ดลับที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับในเคล็ดวิชาการตลาดของค่าย GDH ที่ร่ายมนต์อย่างได้ผลเสมอ (ในช่วงสัปดาห์ก่อนหนังเข้าฉายและสัปดาห์แรกที่หนังเข้าฉาย เราจะได้เห็นแก๊งตุ๊ดซี่ส์ไปออกรายการและเล่นละครซิตคอมของช่องแกรมมี่และช่องทั่วไปทุกวัน) รวมถึงการที่เลือกซีรีส์ที่มีฐานแฟนคลับรอชมอยู่แล้วมาทำเป็นหนัง (สูตรเดียวกับตอนที่นาคี เลือกจะทำภาค 2 เป็นหนังแทนที่จะเป็นละครจนประสบความสำเร็จถล่มทลาย) แถมยังเป็นช่วงเวลาเดือนแห่งความสุขที่มีวันหยุดเยอะ ครอบครัวพร้อมจะออกมาดูหนัง และไม่มีหนังฝรั่งเป็นคู่แข่งที่แข่งแรงเลยในช่วงเวลาฉายเดียวกัน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส