ผลงานหลังจากสิ้นสุดบทไอรอนแมนของ Robert Downey Jr. อย่าง Dolittle ดูเหมือนจะกลายเป็นหนังสตูดิโอยักษ์ล้มเรื่องแรกต้อนรับปี 2020 เมื่อหนังแฟนตาซีผจญภัยในยุควิคตอเรียนของอังกฤษที่ทุนสร้างสูงถึง 175 ล้านเหรียญฯ เปิดตัววันแรกทำรายได้ไปแค่ 6.8 ล้านเหรียญฯ ใกล้เคียงกับ 1917 ที่เข้าฉายมาแล้ว 3 สัปดาห์และคนดูมากขึ้นหลังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ นักวิเคราะห์ยังมองว่า Dolittle จะทำรายได้เปิดตัว 3 วันได้แค่ 18 ล้านเหรียญฯ ซึ่งสถานการณ์แตกต่างจากหนังภาคต่อฟอร์มยักษ์ Bad Boys for Life ของ Will Smith ที่เปิดตัววันแรกไป 23 ล้านเหรียญฯ และได้รับการคาดการณ์ว่า จะทำรายได้เปิดตัว 3 วันแรกไปถึง 50 ล้านเหรียญฯ
หนัง Dolittle ที่ประสบปัญหาการถ่ายซ่อม และถูกโยกกำหนดฉายมาลงในเดือนมกราคม ซึ่ง 2-3 เดือนแรกของปีนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเดือนแห่งการโละหนังเสียของปีก่อนทิ้ง (ถ้าหนังฟอร์มดีพอก็จะถูกกำหนดให้ลงโรงฉายช่วงก่อนคริสต์มาสและปีใหม่ ที่คนอเมริกันจะกลับไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่บ้านและออกมาดูหนังกัน) พอจะเดาได้ว่า ค่ายหนังอย่าง Universal คงจะตัดใจฉายทิ้ง และไปหวังเอากับรายได้จากตลาดต่างประเทศที่อาจจะได้ทุนกลับมาบ้าง สถานการณ์หนังเจ๊งของ Downey Jr. เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ตั้งแต่เขารับบทไอรอนแมน ปี 2008 เป็นต้นมา เขาก็แทบไม่มีหนังเรื่องไหนที่ขาดทุนทางรายได้อีกเลย ยกเว้น The Soloist (2009) หนังดราม่านักดนตรีพิการที่เขารับบทคู่กับ Jamie Foxx และเรื่องอื่นที่ขาดทุนนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปในตอนที่เขายังไม่ดังและประสบปัญหาชีวิตอย่างหนักหน่วง
สถานการณ์ต่างกันลิบลับกับ Bad Boys for Life ที่ค่ายหนังมั่นใจขนาดเดินเครื่องสร้างภาค 4 และได้มือเขียนบท Chris Bremner มาเขียนบท (รวมถึงเขียนบทหนัง National Treasure ภาค 3 ด้วย) หนังภาคแรกออกฉายปี 1995 เปิดตัว 3 วันไป 15 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้รวมทั่วโลกไป 141 ล้านเหรียญฯ ส่วนหนังภาค 2 เมื่อปี 2003 ทำรายได้เปิดตัว 3 วันไปใกล้เคียงกับการคาดการณ์ในภาคนี้ที่ 46 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้รวมทั่วโลกไป 273 ล้านเหรียญฯ เรียกว่า Will Smith น่าจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้งหลังจากล้มเหลวไปกับ Gemini Man ที่เข้าฉายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส