ข่าวใหญ่สำหรับแฟน ๆ มาร์เวลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนีไม่พ้นการมีชื่อของ Sam Raimi ผู้กำกับ Spider-Man ไตรภาคแรกสุด, The Evil Dead และกำกับหนังเรื่องล่าสุดของ Disney เรื่อง Oz the Great and the Powerful เมื่อ 7 ปีที่แล้วนั้น อยู่บนโต๊ะเจรจาของ Marvel Studios ที่จะให้มากำกับ Doctor Strange ภาค 2 in the Multiverse of Madness หลังจากผู้กำกับภาคแรกอย่าง Scott Derrickson ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำหนดการฉายพฤษภาคม ปี 2021 ที่ใกล้เข้ามาทุกที การได้ผู้กำกับที่คร่ำหวอดและมีประสบการณ์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของมาร์เวลที่จะทำให้หนังเสร็จตามตารางฉายเดิม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นการพลิกความคาดหมายอยู่พอสมควร เพราะโดยปกติแล้ว Kevin Feige หัวเรือใหญ่ของสตูดิโอมักเลือกใช้บริการผู้กำกับรุ่นเล็กหรือไม่มีชื่อเสียงมากนักมากำกับภายใต้วิสัยทัศน์และการควบคุมของเขามากกว่า หากได้ Raimi มากำกับจริง ๆ ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ที่หนัง Marvel ใช้ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับผู้กำกับที่เคยจับหนังฮีโรมาร์เวลและหนังสยองขวัญอย่าง Raimi ที่มีเพียงตัวเลือกเดียวที่เคยทำหนังมาทั้งสองแนว ในทีแรกผู้กำกับ Derrickson เคยอยากจะให้ภาค 2 ของหนังหมอแปลกเป็นหนังที่สยองสุดขั้ว ก่อนที่ Feige จะออกมาแก้ลำว่า หนังจะมีแค่ตัวละครสยองขวัญแต่ไม่ได้มีโทนสยองขนาดนั้น (อันเป็นที่มาของคำว่า “วิสัยทัศน์ไม่ตรงกัน” ของทั้งสองคนจนต้องแยกย้าย)
เหตุการณ์เปลี่ยนตัวผู้กำกับเกิดขึ้นมากมายในกองถ่ายหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ยุคปัจจุบัน ที่ผู้อำนวยการสร้างและค่ายหนังจะเจ้ากี้เจ้าการ ลงมาก้าวก่ายผู้กำกับมากขึ้นกว่ายุคก่อน รวมถึงการตัดสินใจถ่ายซ่อมแบบตัดผู้กำกับรายเดิมออกจากสารบบไปเลย กรณีเมื่อเร็ว ๆ นี้ของการเปลี่ยนผู้กำกับก็คือของ Lucasfilm ตอนที่เปลี่ยนตัวผู้กำกับหนัง Solo จาก Phil Lord และ Christopher Miller จาก The Lego Movie มาเป็นผู้กำกับมือเก๋าอย่าง Ron Howard จาก Apollo 13 และ The Da Vinci Code ทั้งที่เหลือการถ่ายทำแค่ 3 สัปดาห์ก็จะปิดกล้อง เพราะ Kathleen Kennedy มองว่าหนังที่ถ่ายไปนั้นตลกมากจนเกินไป
Sam Raimi เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนปี 2015 ว่า หากมาร์เวลสนใจเขาก็พร้อมจะไปกำกับหนังให้ ซึ่งเวลานั้นก็อาจมาถึงแล้วในตอนนี้ รวมถึงผู้กำกับคนเก่าอย่าง Derrickson ก็ออกมาสนับสนุน Raimi อย่างเต็มที่ อย่างที่อาจหวังว่า หนังจะกลับไปใกล้เคียงความสยองขวัญอย่างที่เขาอยากจะทำในตอนแรก (เพราะ Feige ไม่น่าจะกล้าเข้าไปแทรกแซงการทำงานของผู้กำกับมือเก๋าอย่าง Raimi มากนัก)
ในขณะที่อีกข่าวความเคลื่อนไหวจากเรื่องนี้ ก็คือการออกมายืนยันจากสตูดิโอว่า Rachel McAdams ที่เป็นเป็นนางเอกของภาคแรก รับบทเป็น “ดร.คริสทีน พาล์มเมอร์” จะไม่ได้กลับมากับภาค 2 ในตอนนี้ Marvel Studios อยู่ระหว่างการหานักแสดงหญิงอายุ 20-40 ปี มารับบทเป็นจอมเวทย์ “คลี” ที่จะกลายเป็นนางเอกหรือตัวละครสำคัญตัวใหม่ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า นางเอกคนเก่าก็ไม่รู้ว่าจะให้เธอไปยืนอยู่ตรงไหนของเส้นเรื่อง ก่อนหน้านี้ไม่นานมีข่าวลือออกมาเหมือนกันว่า นักแสดงอย่าง Emily Blunt จาก The Quite Place และ Edge of Tomorrow เป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่สตูดิโออยากจะร่วมงานด้วย (ก่อนหน้านี้มีแฟนมาร์เวลส่วนหนึ่งออกมาแสดงความเห็นในโลกออนไลน์ว่า Blunt นั้นเหมาะกับบทกัปตันมาร์เวลมากกว่า Brie Larson เสียอีก)
Rachel McAdams ไม่ค่อยมีประสบการณ์ที่ดีกับหนังภาคต่อสักเท่าไร อย่างเช่นในหนังแฟรนไชส์นักสืบอย่าง Sherlock Holmes ที่เธอเคยเล่นเป็น “ไอรีน แอดเลอร์” เข้าคู่กับ Robert Downey Jr. ในภาคแรกได้เป็นอย่างดี แต่พอถึงภาค 2 A Game of Shadows ที่แม้เธอจะกลับมาเล่นบทเดิม ได้ไม่กี่ฉาก แต่ก็ต้องจบบทบาทตัวเองไปแบบดื้อ ๆ ตอนต้นเรื่องเสียอย่างนั้น
ในภาค in the Multiverse of Madness ยังจะได้ Elizabeth Olsen ในบท “แวนดา” มาสมทบ หลังจากซีรีส์ WandaVision จะออกฉายในปี 2020 นี้ด้วย นอกจากนี้หนังน่าจะได้ “บารอนมอร์โด” ตัวละครที่รับบทโดย Chiwetel Ejiofor พี่เลี้ยงของเสตรนจ์ในภาคแรก ซึ่งในตอนจบภาคแรกทิ้งเชื้อไว้ให้เป็นตัวร้ายในภาคต่อไปกลับมา รวมถึงจอมเวทย์ “หว่อง” ที่รับบทโดย Benedict Wong ก็คาดว่าจะกลับมาด้วย แต่ก็ยังมีข่าวลือว่าตัวละคร “อเมริกา ชาร์เวส” หรือมิสอเมริกา และนักเวทย์ “บราเธอร์สวูดู” ยังอาจถูกแนะนำตัวครั้งแรกในเรื่องนี้ ซึ่งอาจทำให้ตัวละครเยอะเกินไปจนคนดูไม่โฟกัสที่ตัวละครเด่นตัวไหนเลย
หนังมีกำหนดฉายในสหรัฐฯ 7 พฤษภาคม 2021
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส