ในโลกนี้คงไม่มีวงดนตรีไหนที่โด่งดังได้ทั้งที่ “ร้องเพลงก็ไม่ได้เรื่อง ออกจะไปทางเพี้ยนเสียด้วยซ้ำ แต่โด่งดังได้ด้วยการแจกเงินบนเวที ทำเสื้อรูปหน้าตัวเองขาย ทำอะไรขัดแย้งกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพลง” (ยกมาจากถ้อยคำชมเชยของป๋าเต็ด) เห็นจะมีก็แต่วงชื่อประหลาด “ไปส่งกู บขส. ดู๊” วงนี้ที่มี “ดีเจอ๋องแอ๋งสบัดแผ่น” เป็นฟรอนต์แมนจอมขบถผู้มีเอกลักษณ์และเป็นสัญลักษณ์ของวงซึ่งยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้ในปฐพีนี้นี่ล่ะที่สามารถโด่งดังได้จากการทำอะไรเพี้ยน แปลก แหวกแนว ต่าง ๆ นานา  การที่ดีเจอ๋องแอ๋งได้เชิญให้ป๋าเต็ดมาสัมภาษณ์ตัวเอง (ไม่ใช่ป๋ามาเชิญ) เพื่อให้ตัวเองดังขึ้นในครั้งนี้ ทำให้เราได้รู้จักกับเขาคนนี้ดีขึ้นมากเลยทีเดียว หากใครยังไม่ได้ชม ป๋าเต็ดทอล์ก SEASON 3 EP.2 ดีเจอ๋องแอ๋ง สบัดแผ่น (ไปส่งกู บขส. ดู๊)” สามารถอ่านบทความเราก่อนได้ เพราะเราได้สรุปจบครบทุกประเด็นเข้มข้นของคนดนตรีที่มีชื่อว่า “ดีเจอ๋องแอ๋งสบัดแผ่น” !! เรียบร้อยแล้ว

[บทความนี้เรียบเรียงจาก ป๋าเต็ดทอล์ก SEASON 3 EP.2 ดีเจอ๋องแอ๋ง สบัดแผ่น (ไปส่งกู บขส. ดู๊)”]

Play video

 


Introduction


  • ดีเจอ๋องแอ๋งขอให้ป๋าเต็ดเป็นคนมาสัมภาษณ์ตัวเอง เพราะ “ป๋าเต็ดดัง” การที่ได้มาออกรายการป๋าเต็ดก็จะทำให้ดีเจอ๋องแอ๋งดังขึ้นและ mainstream ขึ้นไปด้วย จึงเห็นเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
  • ดีเจอ๋องแอ๋งมีความเรียนเก่งเป็น “อัจฉริยะ” ตั้งแต่เด็ก สมัยประถมที่ รร.เทศบาล 2 จ.นครพนม ครูจะให้ไปนั่งข้าง ๆ เพื่อทำข้อสอบอย่างเดียวและไม่ต้องมานั่งเรียนหนังสือเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ

“อัจฉริยะ-ขบถ : ผู้ทำ 10 สิ่งที่คนทั้งวงการดนตรีไม่ทำ”


 


 (1) กล้าตั้งชื่อวงว่า “ไปส่งกู บขส. ดู๊”


  • ป๋าเต็ดเป็นคนคัดเลือกวง “ไปส่งกูบชส.ดู๊” ให้ได้เล่นในงาน Big Mountain ครั้งที่สามด้วยตัวเอง เนื่องจากชอบชื่อวง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ฟังเพลงเลยด้วยซ้ำ
  • ดีเจอ๋องแอ๋งเข้ามาสู่โลกแห่งเสียงดนตรีจากการเข้าชมรมดนตรีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในช่วงปี 1-2 ทั้ง ๆ ที่เล่นดนตรีอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
  • ความประทับใจแรกของดีเจอ๋องแอ๋งที่มีต่อชมรมดนตรีก็คือ ที่นี่มี “แอร์” มีเพื่อนมีรุ่นพี่ที่กำลังนั่ง “ดื่ม” กันอยู่ ก็เลยมากินนอนที่นี่เป็นประจำ
  • พอมาอยู่เป็นประจำ ไอ้จะไม่ทำอะไรเลยมันก็กระดากชีวิตเกินไป ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยทำประโยชน์ด้วยการช่วยคนในชมรมขนย้ายเครื่องเสียงเวลามีการแสดงดนตรีตามที่ต่าง ๆ
  • จนเพื่อนที่มีชื่อว่า​ “บูม” (เอกภาพ ป้านภูมิ) ซึ่งเป็นมือกีตาร์ของ “ไปส่งกูบขส.ดู๊” ในปัจจุบัน ได้ชักชวนให้ดีเจอ๋องแอ๋งมาร้องเพลง เนื่องจากเขาสามารถร้องเพลงและเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้วเวลากินดื่มและไปร้องคาราโอเกะกัน บูมก็เลยแต่งเพลงมาให้หนึ่งเพลงเกี่ยวกับสัตว์ “พนักงานสวนสัตว์” ดีเจอ๋องแอ๋งเห็นว่าโอเคอยู่ก็เลยจัดไปให้สมกับคำเยินยอของเพื่อนที่ว่า “เสียงของนายมันมีพลัง”

บางส่วนของเนื้อเพลง “พนักงานสวนสัตว์”

Play video

  • ชื่อวง “ไปส่งกูบขส.ดู๊” บูมเป็นคนตั้ง จากที่แต่เดิมใช้ชื่อวงกันว่า “ติช!!” อันมีที่มาจากเสียงเอฟเฟกต์เวลาต่อยกัน แต่มันอาจดูฮาเกินไปก็เลยเปลี่ยนมาใช้ “ไปส่งกูบชส.ดู๊” แทน (จริง ๆ ถึงแม้พยางค์ท้ายของชื่อวงจะเขียนว่า “ดู๊” แต่ดีเจอ๋องแอ๋งจะออกเสียงเรียกชื่อวงว่า “ไปส่งกูบขส.ดู้ว์” ทุกครั้ง) นอกจากนี้ยังเป็นคำที่เพื่อนชอบใช้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้านก็เลยรู้สึกว่าชื่อนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว
  • ดีเจอ๋องแอ๋ง ชอบชื่อนี้เพราะมันฮาและเป็นสุดยอดของ “การตลาด” เพียงฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว (แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะแม้แต่ป๋าเต็ดก็เลือกวงนี้ให้เล่นใน Big Mountain เพราะชื่อวง)

 

“ถ้าเราเริ่มต้นจากการทำการตลาดที่ดีแล้วเนี่ย ต่อไปมันดีแน่นอน”


(2) ความมั่นใจ มาก่อน ความสามารถ


  •  ด้วยความที่เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็ใช้ว่าจะเพราะ ดีเจอ๋องแอ๋งต้องทำอะไรสักอย่างให้สมกับหน้าที่

ฟรอนต์แมนของวง “ไปส่งกูบขส.ดู๊” นั่นก็คือการเป็น entertainer ที่สะกดคนดูให้อยู่หมัด ให้สายตา

ของคนทุกคู่จับจ้องมาที่เขาและชาวคณะให้ได้

 

“ผมจะไม่ยอมให้ใครมานั่งคุยกันต่อหน้าผมเด็ดขาด”

  • ดีเจอ๋องแอ๋งมีความสุขกับการเป็น “ฟรอนต์แมน” จากการได้ไปอยู่บนเวทีแล้วได้ entertain คนดูด้วยการวิ่งไปนู่นมานี่ กระโดดไปตรงนั้นทีตรงนี้ที ได้ทำอะไร “เท่ ๆ” (แม้กระทั่งเอา “เป็ด” ขึ้นไปปล่อยบนเวทีก็เคยทำมาแล้ว) แล้วพอได้ยินเสียงโห่ร้องสนุกสนานจากผู้ชมเบื้องล่างเวที ดีเจอ๋องแอ๋งพบว่านี่แหละคือ “ความสุข” ของเขา

“เท่ คือ การทำอะไรแล้วคนเค้าชอบ เค้ามีความสุขกับผม”

  • ป๋าเต็ดมองว่าสิ่งที่ “ไปส่งกูบขส.ดู๊” ทำนั้นเป็นอะไรที่ “พังก์” มาก (ไม่ใช่ “พลั้ง” นะครับ) มันทำให้นึกถึงวงพังก์ยุค 70s ที่มักจะทำอะไรที่มันเป็นขบถต่อขนบของนักดนตรีทั่วไปที่ทำกันบนเวที
  • ถึงจะ “พังก์” แต่ดีเจอ๋องแอ๋งก็มีกฎประจำตัวว่า จะไม่พูดหยาบ (จนเกินไป) ไม่พูดลามก ไม่พูดเรื่องการเมือง ศาสนา และสถาบัน เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากไปยุ่งเกี่ยวมันอาจทำให้คนที่เคยชอบอาจจะเกลียดไปเลย มันไม่คุ้มกับชื่อเสียงที่ได้สั่งสมมา และดีเจอ๋องแอ๋งเชื่อว่าในวันข้างหน้าแนวดนตรีที่เค้าเล่นมันจะกลายเป็นดนตรี “mainstream” ในสักวันหนึ่ง

(3) ไม่มีวงไหนเทียบได้


  •  ดีเจอ๋องแอ๋งเคยลั่นวาจาไว้ว่า​ “ไม่มีวงไหนเทียบไปส่งกูบขส.ดู๊ ได้” ซึ่งดีเจอ๋องแอ๋งไม่ได้จะสื่อถึงการเปรียบเทียบกับใคร หากความหมายของมันก็คือ ศิลปินแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีความเป็นเพชรในตัวเอง มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นดีเจอ๋องแอ๋งจึงเชื่อว่าถึงแม้ตนจะไม่เด่นไปกว่าใคร แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าใครเช่นกัน
  • ศิลปินในดวงใจของดีเจอ๋องแอ๋งคือ “พี่แมว จิระศักดิ์” ด้วยเหตุผลที่ว่า “เสียงผมดีเหมือนเค้า เค้ามีเสียงที่คล้าย ๆ ผม” และเค้าก็เชื่อว่าถ้าพี่แมวมาได้ยินน่าจะดีใจ
  • ดีเจอ๋องแอ๋งไม่เคยซื้อเทป ซื้อซีดีหรือแผ่นเสียงเลยสักแผ่นเดียว จะฟังเฉพาะเพลงที่หลุดเข้ามาในหูเอง เช่น จากคลื่นวิทยุ เพื่อนเปิดให้ฟัง เป็นต้น เขาจะไม่ค่อยฟังเพลงเพราะเป็นคนสมาธิสั้น ถ้าฟังเพลงจะไม่มีสมาธิเลย
  • เพลงส่วนใหญ่ในวงบูมจะเป็นคนแต่งแต่ดีเจอ๋องแอ๋งจะเป็นคนวางคอนเซ็ปต์ให้ หรือไม่อย่างนั้นบูมก็เอาชีวิตของดีเจอ๋องแอ๋งมาแต่ง
  • เพลงล่าสุด “ฉันเป็นสโมกเกอร์นิ” (ดีเจอ๋องแอ๋งxบูมเดี่ยว feat. โยชิ 300) เป็นเพลงที่ไม่ใช่ผลงานของวงแต่เป็นผลงานของสองคนคือ ดีเจอ๋องแอ๋ง กับ บูม โดยมี โยชิ 300 มาดูในท่อนแรป เพลงนี้ดีเจอ๋องแอ๋งได้มาจากการที่บูมแต่งมาแลกกับการ์ดจอเกมที่อยากได้เพื่อจะได้เล่นเกม PUBG แบบไม่กระตุก (นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในวงการดนตรีโลกที่ได้เพลงมาจากการเอาการ์ดจอไปแลก)

เนื้อเพลง “ฉันเป็นสโมกเกอร์นิ”

 

Play video

  • ด้วยความที่เป็นคนไม่ซื้อเทป ซื้อซีดีฟัง ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยไม่ worry หากไม่มีใครซื้อซีดีของวง และแฟนเพลงก็สามารถไปฟังตามยูทูบหรือช่องทางอื่น ๆ ได้ ส่วนสิ่งที่ขายดีที่สุดของวงก็คือ “เสื้อรูปหน้าดีเจอ๋องแอ๋ง” นั่นเอง
  • “เสื้อรูปหน้าดีเจอ๋องแอ๋ง” เกิดขึ้นจากการที่พี่บอมเห็นรูปตอนวัยเรียนของดีเจอ๋องแอ๋ง ก็เลยนำเอามาทำเสื้อและให้ดีเจอ๋องแอ๋งใส่ มีครั้งหนึ่งดีเจอ๋องแอ๋งใส่เล่นที่ขอนแก่นแล้วมีแฟนเพลงกระโดดขึ้นมาบนเวที ถอดเสื้อตัวนี้ออกจากดีเจอ๋องแอ๋งแล้วยัดเงินใส่ในกระเป๋าให้ จากนั้นดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยรู้สึกว่าเสื้อตัวนี้มันต้องทำเพิ่ม ! จนไปเล่นที่ playyard เอาเสื้อไปขาย 40 ตัว ไม่นานก็ขายหมดในพริบตา พอรู้ว่าขายดีก็เลยสั่งพี่บอมทำเพิ่ม 500 ตัว !! พอไปเล่นงาน cat expo เสื้อ 500 ตัวก็ขายหมดเกลี้ยง ก็เลยทำขายในเน็ตรวมที่ขายมาทั้งหมดน่าจะเป็นหมื่นตัวแล้ว !!!

เสื้อยืดสกรีนรูปหน้าดีเจอ๋องแอ๋ง

ใคร ๆ ก็อยากใส่เสื้อของดีเจอ๋องแอ๋ง

  • ด้วยเหตุนี้ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยเชื่อว่าต่อไป “ใบหน้า” ของเขาน่าจะพอปในระดับเดียวกับใบหน้าของ “บ็อบ มาร์เลย์”

(4) มี “บ็อบ มาร์เลย์” เป็นไอดอลแต่ไม่ใช่เรื่องดนตรี


  • ดีเจอ๋องแอ๋งเชื่อว่าต่อไป “ใบหน้าของเขา” จะไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องฮา แต่ว่ามันจะกลายเป็น “สัญลักษณ์” จากการที่ทุกคนเห็นมันอยู่บ่อย ๆ และค่อย ๆ ซึมซับไปทีละนิด ๆ เช่น ดีเจอ๋องแอ๋งเอารูปหน้าตัวเองใส่กรอบรูปแล้วไปติดตามร้านเหล้าทุกร้านที่พอจะรู้จัก พอใครผ่านเข้ามาเห็นก็จะเอ๊ะ คนนี้อีกแล้ว คนนี้อีกแล้ว และมันจะกลายเป็นเทรนด์ในที่สุด

  • ต่อมาดีเจอ๋องแอ๋งจึงคิดที่จะพัฒนารูปหน้าของตัวเองให้กลายเป็น “แบรนด์” เลยนำเสื้อมาออกแบบลายใหม่ หลากหลายรูปแบบ ใครอยากได้ครบทุกลายก็ต้องตามเก็บจนหมด เสื้อล็อตใหม่นี้ก็ยังขายดีเช่นเคย และมีวงไอดอล “Fever” มาตามซื้อกันทั้งวงเลย แถมยังมีการ collaboration กับ “แอ๊ะ ชาติฉกาจ ไวกวี” ช่างภาพฝีมือดีคนหนึ่งของเมืองไทย โดยให้พี่แอ๊ะถ่ายภาพออกมาและเอาภาพนั้นมาทำเป็นลายเสื้อขายจนขายหมดเกลี้ยงไปอีกตามเคย

สมาชิกวง Fever โพสต์รูปเสื้อยืดดีเจอ๋องแอ๋ง

 

ผลงานที่ดีเจอ๋องแอ๋งทำร่วมกับชาติฉกาจ ไวกวี

  • ดีเจอ๋องแอ๋งบอกว่า “ถ้ามีเงินมากพอ” จะซื้อป้ายบิลบอร์ดตามทางด่วนและป้ายโฆษณาในรถไฟฟ้า BTS แล้วเอาภาพหน้าของตัวเองไปติด และมันจะกลายเป็น “ปรากฏการณ์ใหม่” ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
  • ดีเจอ๋องแอ๋งมีคอนเซ็ปต์ว่า

 “ผมจะทำตัวเองให้ดังก่อน แล้วเพลงค่อยตามมาทีหลัง”

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมดีเจอ๋องแอ๋งจึงอยากจะใช้หน้าตัวเองในการโปรโมต ซึ่งเค้าพบว่ามันประสบความสำเร็จ ผู้คนสามารถจดจำเขาได้จากใบหน้าอันมีเอกลักษณ์นี้


(5) เป็นศิลปินที่ไม่ได้รักในเสียงดนตรี


  •  ดีเจอ๋องแอ๋งไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนรักดนตรีเลย แค่อยากขึ้นไปทำอะไรบนเวทีแล้วทำให้คนดูสนุก ได้โหวกเหวกโวยวายในแบบที่อยากจะทำ คิดว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ
  • ดีเจอ๋องแอ๋งคิดว่าความคิดที่ว่า “ถ้าเล่นแล้วมีคนดูแค่เพียงหนึ่งคนก็จะเล่นต่อไป” นั่นเป็นอะไรที่มันไม่ใช่สำหรับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้ไปเล่นในห้องซ้อมเลยดีกว่า สำหรับเขาแล้วถ้าเล่นแล้วไม่มีคนดูเขาเลือกที่จะลงจากเวทีเลยจะดีเสียกว่า มีครั้งนึงดีเจอ๋องแอ๋งเคยเดินมาบอกบูมว่า “ถ้าจบเพลงนี้แล้วกูลงเลยนะ” เพราะไปเล่นในงานสงกรานต์ตอนสี่โมงเย็นที่มีแต่ลูกเล็กเด็กแดงมาดูและไม่เข้าใจในดนตรีของพวกเขา พอรับเงินจากเจ้าภาพปุ๊บก็แผ่นกลับปั๊บเลย

(6) เวลาไม่ดี เวทีไม่ชอบ คนดูน้อย “ไม่เล่น” !!


  •  การไปเล่นแต่ละครั้ง แต่ละที่ มันต้องเสียเวลาเดินทาง ทั้งคนดูเองก็เหมือนกัน ซึ่งหากเล่นในเวทีที่ไม่เหมาะ ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะมันก็เสียทั้งวง เสียทั้งคนดู ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยต้องบอกกับผู้จ้างเสมอว่าขอเลือกเวที ขอเลือกเวลาได้ใหม่ ถ้าไม่ได้ก็ “ไม่เล่น” !!
  • แต่ทั้งนี้ดีเจอ๋องแอ๋งจะให้ความสำคัญกับ “เวลาที่ขึ้นเล่น” มากกว่าเรื่องเวที เพราะมันจะมีช่วงเวลาที่เล่นแล้วเหมาะนั่นก็คือ ช่วงเวลา “สี่ทุ่ม-เที่ยงคืน” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ “เมาได้ที่” แล้วนั่นเอง
  • ดีเจอ๋องแอ๋งมักจะเดินถอดเสื้อไปตะโกนบอกคนดูว่าเล่นอยู่เวทีไหน เพราะมันเป็นสิทธิ์ที่เค้าทำได้ สิทธิ์ที่จะ “เรียกร้องความสนใจ”

 


(7) อยู่เหนือทุกดราม่า


  •  “ไปส่งกูบขส.ดู๊” เป็นวงที่แฟนคลับรัก หากมีใครมาว่าอะไรก็พร้อมสวนกลับไปในทันที

แฟนเพลงออกตัวปกป้องวง

  • เหตุผลที่ดีเจอ๋องแอ๋งและวงไม่ค่อยเจอดราม่า เพราะว่าจะมีการเซฟตัวเองเสมอเวลาที่สื่อสารอะไรออกไป เพรามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ด้วยการที่คิดก่อนจะสื่อสารออกไป เวลาดีเจอ๋องแอ๋งด่าก็มักจะเป็นถ้อยคำอะไรที่ “เจ็บ” เสมอ
  • เวลามีคนด่าคนว่าอะไรดีเจอ๋องแอ๋งจะไม่สนใจ เพราะยังมีคนรักคนชอบใจ คนที่ด่าที่ว่าพวกนั้นเค้าก็แค่ “โกหก” !!
  • สำหรับดีเจอ๋องแอ๋งดนตรีเป็น “งานอดิเรก” เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรจึงต้องเลือกสิ่งที่สบายใจและไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไป เพราะฟีลมันจะไม่มาและส่งผลต่อความมันส์ในการแสดง

(8) เลียนแบบโชว์วงอื่น ในทางตรงกันข้าม


  •  ดีเจอ๋องแอ๋งมักชอบทำอะไรสวนทางกับชาวบ้าน อย่างวงร็อกมักชอบถอดเสื้อบนเวที ดีเจอ๋องแอ๋งก็จะไปหาเสื้อมาใส่เยอะ ๆ วงร็อกชอบบอกกับแฟน ๆ ว่า “เอ้า ! ร้องพร้อมกัน” ดีเจอ๋องแอ๋งก็จะบอกว่า “พวกมึงไม่ต้องร้องเดี๋ยวกูร้องเอง” อะไรแบบนี้ ซึ่งมีผลตอบรับในทางที่ดีมีแฟน ๆ ชอบ
  • ดีเจอ๋องแอ๋งชอบด่าวงอื่นบนเวที เช่น “พวกกูไม่ใช่วงร็อกดาษดื่นแบบ…” เพื่อเอาฮา แต่เวลาเจอหน้าศิลปินเหล่านั้นจริง ๆ ก็อวยเค้าแทน
  • ทุกวันนี้ดีเจอ๋องแอ๋งไม่เคยชอบวงดนตรีไหนเลยสักวง แต่ถ้าจะมีก็คือ แอนโทนี คีดิส นักร้องนำวง Red Hot Chili Peppers และพี่โต ซิลลี่ฟูลส์ มีหลายท่าที่ดีเจอ๋องแอ๋งเลียนแบบมาแต่ไม่มีคนรู้ (เพราะไม่เหมือน 555) ส่วน RHCP ที่มีมุกเด็ดคือการแก้ผ้าจนเหลือแต่ถุงเท้า ดีเจอ๋องแอ๋งก็เคยทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ตอนไปเล่นที่ Playyard เพื่อปลุกปั่นเพื่อนที่ดูเหมือนจะไม่มันส์กันในวันนั้น ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยถอดกางเกงโชว์บนเวทีตรงนั้นเลย ! ทำให้บูมที่รู้สึกมันส์ขึ้นมาก็จบลงด้วยการฟาดกีตาร์ไปใส่ตู้แอมป์เสียเงินเสียทองกันไป

ดีเจอ๋องแอ๋งทำท่าเลียนแบบ “โต ซิลลี่ฟูลส์”


(9) แจกเงิน


  •  มุก “แจกเงิน” นี้มีที่มาจากเพลง “พ่อผมเป็นสุลต่าน” ก็แจกไปแบบไม่คิดอะไร มีเงินเท่าไหร่ในกระเป๋าก็แจกไป แบงก์ร้อย แบงก์พัน ก็แจกไป (เป็นวงที่ร่ำรวยมากกก) พอเริ่มแจกไปบ่อย ๆ แล้วมีคนพูดถึง ก็เลยได้ไอเดียว่าถ้าเอาเงินเป็นพันเป็นหมื่นไปโปรโมตเพลงด้วยวิถีทางทั่วไป มันก็คงไม่ได้ผลอะไรมาก สู้เอาเงินสด ๆ นี้มาแจกบนเวทีเลยจะดีกว่า คนพูดถึงเยอะกว่าแน่นอน หลัง ๆ ก็เลยเอาเงินไปแลกเป็นแบงก์น้อยแบงก์ย่อยให้เป็นปึก เป็นฟ่อน จะได้แจกกันให้มันส์ไปเลย (เคยแจกอย่างมากครั้งละ 8,000 บาทเลย !!)

“ทำไมผมจะต้องไปโปรโมตเพลงอ่ะ ผมโปรโมตตัวเองไม่ดีกว่าหรอ”  

Play video

  •  มีครั้งหนึ่งที่เล่นในงาน CAT EXPO “ไปส่งกูบขส.ดู๊” เล่นชนกับ “PARADOX” (ที่มักแจกลูกโป่งเสมอ) ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยขิงด้วยการบอกแฟนเพลงว่า PARADOX แจกลูกโป่งแต่วงกูแจกเงินโว่ย !” ตั้งแต่นั้นมาคนก็พูดถึงกันเกลียวเลย
  • ส่วนใหญ่แล้วเงินที่แจกคือเงินค่าตัว ได้เงินค่าตัวมาเท่าไหร่ก็แจกเท่านั้น !! เพราะดีเจอ๋องแอ๋งคิดว่าตนเองไม่ได้เล่นดนตรีเพื่อหาเงิน รวยอยู่แล้ว !!

ดีเจอ๋องแอ๋งแจกเงินแฟนเพลง 


(10) เชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์


  •  ดีเจอ๋องแอ๋งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองจึงโชคดีได้เล่นในงานดี ๆ และเวทีใหญ่ ๆ อย่าง “Big Mountain” หรือ “โคตรอินดี้” ที่ปกติวงที่ไปออดิชันมักจะได้เล่นบนเวทีเล็ก แต่ไปส่งกูบขส.ดู๊กลับได้เล่นเวทีใหญ่แถมเล่นในเวที prime time ช่วง 3-4 ทุ่มอีกด้วย
  • เคยมีครั้งหนึ่งที่ “โคตรอินดี้” ตอนนั้นเล่นเวทีเล็กลง (เพราะดังขึ้นแล้ว ยิ่งดังยิ่งเวทีเล็ก เอ๊ะยังไง??) บรรยากาศชวนเหงาหงอยเศร้าสร้อย คนดูน้อยหรอมแหรม ดีเจอ๋องแอ๋งก็เลยเดินไปป่วนแย่งไมค์ศิลปินที่เวทีใหญ่และป่าวประกาศเชิญชวนแฟน ๆ ให้ไปฟังวงตนเอง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแฟน ๆ จะขยับไป ก็เลยไปยืนที่หน้าเวที พนมมือ อธิษฐานขอให้ “ฝนตก” ทันใดนั้นฝนก็หลั่งเทลงมาทำเอาเวทีถล่ม คนก็เลยย้ายหนีมาดูเวทีเล็กในช่วงเวลาพอดิบพอดีที่ “ไปส่งกูบขส.ดู๊” จะขึ้นเล่น
  • ถึงแม้จะเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นานาแต่ดีเจอ๋องแอ๋งก็เชื่อมั่นว่า “ความสำเร็จ” ที่ได้รับในทุกวันนี้มาจากฝีมือล้วน ๆ หาได้มาจากโชคชะตาหรือว่าปาฏิหาริย์ใด ๆ การที่ทำทุกอย่างนั้นผ่าน “การคิดวิเคราะห์” มาหมดแล้ว ว่าจะทำเพลงแบบไหน คนดูฟังแล้วจะเป็นยังไง หรือแม้แต่การโปรโมตเพลงก็มีการคิดมาอย่างดี อย่างตอนที่ปล่อยเพลง “ฉันเป็นสโมกเกอร์นิ” ดีเจอ๋องแอ๋งก็โพสต์ไปในเพจว่าถ้ามีใครไปขอเพลงนี้ที่ Cat Radio เขาจะแจกตังค์ ปรากฏมีคนเข้าไปขอเป็นร้อย ๆ แถมยังไปกดดัน Cat Radio ว่าคนขอเยอะขนาดนี้เพลงตัวเองต้องขึ้นอันดับ 1 อีกทั้งยังโพสต์ภาพคนขอเพลงร่วมร้อยที่แคปเอาไว้ลงในเพจเพื่อเป็นการกดดันเพิ่มเติม แต่สุดท้ายเพลงก็ไม่ได้ติดอันดับแต่อย่างใด (อ้าวว 555)

แฟน ๆ แห่กันไปขอเพลง “ฉันเป็นสโมกเกอร์นิ” ที่ Cat Radio

ความฮาแบบห่าม ๆ ของดีเจอ๋องแอ๋งสบัดแผ่น

  • ดีเจอ๋องแอ๋งเป็นคนที่มี “อารมณ์ขันแบบห่าม ๆ” จึงอาจทำให้บางครั้งคนเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะกับแฟนสาวของเขา ที่บางครั้งแยกไม่ออกว่าล้อเล่นหรือพูดจริง แต่กับเพื่อนจะรู้กันดีว่าดีเจอ๋องแอ๋งเป็นคนแกล้งแรงพูดเล่นแรง
  • ป๋าเต็ดบอกว่าสิ่งที่ดีเจอ๋องแอ๋งเป็นมีความคล้ายคลึงกับดาวตลกอเมริกันเลื่องชื่อนาม “แอนดี้ คอฟแมน” (เคยมีภาพยนตร์เกี่ยวกับเขาด้วยชื่อว่า “Man On The Moon” นำแสดงโดย จิม แครีย์) เขาเคยขึ้นไปปล้ำกับนักมวยปล้ำจริง ๆ จนคอเกือบหักใส่เฝือกอยู่นาน จนทุกวันนี้คนก็ยังไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือแค่เป็นมุกตลก

Andy Kaufman

Jim Carey ในบท Andy Kaufman จากภาพยนตร์เรื่อง “Man On The Moon”

 

  • ป๋าเต็ดชื่นชมดีเจอ๋องแอ๋งที่กล้าทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ในบ้านเราจนผู้คน get ในสิ่งที่เขาทำ
  • ดีเจอ๋องแอ๋งได้พิสูจน์ความจริงที่ปฏิวัติวงการดนตรีข้อหนึ่งแล้วนั่นก็คือ

“ถ้าดังแล้ว ทำอะไรก็ได้”

  • เคยมีนักการตลาดมาคุยกับดีเจอ๋องแอ๋งเรื่องเสื้อรูปหน้าของเขาที่ทำออกมาขาย ว่ามันไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ด้วยหลักการทางการตลาดใด ๆ ได้เลย ซึ่งดีเจอ๋องแอ๋งมั่นใจเพราะคิดมาดีแล้ว

 

“ผมเป็นคนฉลาดคนนึง ถ้าคิดมาดีแล้ว มันต้องดี” 

  • แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าใครทำแล้วจะดัง จะสำเร็จเหมือนดีเจอ๋องแอ๋ง เคยมีคนบอกว่าเขามีบางสิ่งที่คนอื่นไม่มี แม้แต่ตัวดีเจอ๋องแอ๋งเองพอเห็นคลิปตัวเองบนเวทีก็ยังรู้สึกว่า “ทำไมมันเท่จังวะ”
  • เวลารับงานดีเจอ๋องแอ๋งและเพื่อน ๆ ไม่เคยถามว่าจะได้ค่าตัวเท่าไหร่ มีอะไรให้บ้าง แต่กลับไปเล่นถ้าอยากเล่นโดยไม่สนว่าจะได้อะไร ถึงแม้ไม่ได้ตังค์ก็ทำมันอย่างเต็มที่ สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้วงเดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้และเป็นสิ่งที่ดีเจอ๋องแอ๋งอยากฝากไว้ให้น้อง ๆ นักดนตรีที่มีความฝัน
  • ดีเจอ๋องแอ๋งเชื่อว่าต่อไปดนตรีอินดี้จะกลายเป็น “mainstream” ในที่สุด และเด็กรุ่นใหม่ก็จะเติบโตมาพร้อมกับเพลงแบบใหม่ แนวใหม่ ซึ่งในนั้นย่อมจะมีบทเพลงอันเปี่ยมไปด้วย “สาระ” ของ “ไปส่งกู บขส. ดู๊” อย่างแน่นอน

“เพลงที่พวกผมทำจริง ๆ แล้วมันเรียกว่าเพลง ‘สารคดี’ เลยด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับอะไรพวกนี้ เพลงผมนี่ล่ะสาระ อยู่ที่ว่าคุณจะมองว่าแบบไหนคือสาระ”  

ยังมี Delected Scenes แถมท้ายไปรับชมกันต่อได้ครับ

ทำเพลง ‘เธอทิ้ง’ เพื่อไป BMMF !?

Play video

 

เบื้องหลัง ‘ถังน้ำแข็ง’ และค่าตัวแลกเบียร์

Play video

 

ภาพประกอบ

https://gramho.com/explore-hashtag/ดีเจอ๋องแอ๋งสบัดแผ่น

ไปส่งกู บขส. ดู๊ @CAT EXPO 6

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส