หลายคนอาจจะเคยชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Alive หนังเอาชีวิตรอดด้วยความระทึกในปี 1993 มีอีธาน ฮอว์ก รับบทนำ หนังสร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์เครื่องบินตกบนยอดเขาแอนเดสในปี 1972 ผู้โดยสาร 45 คน รอดชีวิตมาได้ 25 คน ส่วนใหญ่เป็นนักกีฬารักบี้ที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่น ทั้งหมดพยายามประคองชีวิตให้รอดท่ามกลางเทือกเขาที่หิมะปกคลุม รอคอยความหวังไปแต่ละวัน ว่าจะมีหน่วยกู้ชีพมาช่วยเหลือ จนอาหารร่อยหรอ พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดด้วยการกินเนื้อเพื่อนที่เสียชีวิต กลุ่มผู้รอดชีวิตตัดสินใจไม่นั่งรอความตาย อาสาสมัคร 2 คน เฟอร์นานโด เพอร์ราโร และ โรเบอร์โต คาเนสซา ตัดสินใจออกเดินเท้าเพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วพวกเขาก็ประสบความสำเร็จกับภารกิจเดินเท้าในระยะเวลา 10 วัน สามารถช่วยเหลือเพื่อน ๆ ได้ ในที่สุดก็เหลือ 16 คน ที่รอดชีวิตมาได้
เรื่องราวนี้กลายเป็นเหตุการณ์เหลือเชื่อที่ถ่ายทอดต่อกันมาหลากหลายรูปแบบทั้งสารคดี หนังสือ และภาพยนตร์ เหตุเพราะเรื่องราวของการสู้ชีวิตนี้ได้ให้กำลังใจผู้คนมากมายที่ได้รับรู้เรื่องราวนี้ให้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน และหนึ่งในนั้นก็คือ ริคาร์โด พีนา วัย 36 ปี ริคาร์โด ได้รับรู้ถึงวีรกรรมสู้ชีวิตบนยอดเขาแอนเดสนี้ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาประทับใจเรื่องราวนี้มาก บวกกับพ่อของเขาก็เคยพาเขาไปปีนภูเขาไฟโปโปกาเตเปตล์ ในเม็กซิโก ที่สูงถึง 5,000 เมตร ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้ริคาร์โดเติบโตมาเป็นนักปีนเขา ริคาร์โดย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในรัฐโคโลราโด เปลี่ยนอาชีพจากนักดนตรีมาเป็นไกด์ปีนเขา
ปี 2005 ริคาร์โด ตัดสินใจทำตามความฝันของเขา ด้วยการเดินทางไปอาร์เจนตินา ด้วยความหวังว่าจะขอไปดูสถานที่เครื่องบินตกบนยอดเขาแอนเดสด้วยตาตัวเองสักครั้ง และยังเป็นการคารวะให้กับวีรบุรุษที่เขาเชิดชูมาตั้งแต่วัยเด็ก
“ผมหวังว่าจะขึ้นไปได้ถึงจุดที่เครื่องบินชนยอดเขา และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะศึกษาเส้นทางเดินเท้าของ เพอร์ราโด และ คาเนสซา ด้วย”
แต่อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเส้นทางสู่จุดที่เครื่องบินตกเลย เอาแค่ว่าจากสนามบินไปถึงที่พักเชิงเขาก็สมบุกสมบันพอแล้ว เพราะต้องนั่งรถไปบนถนนลูกรังเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง เพื่อไปถึงเมือง เอล ซอสนีโด หมู่บ้านที่ใกล้จุดเครื่องบินตกที่สุดแล้ว ที่เมืองนี้ก็มีโรงแรมขนาดเล็ก ดูแลโด เอ็ดการ์โด บาริออส เจ้าของโรงแรมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวเครื่องบินตกในตำนาน ที่โรงแรมของเอ็ดการ์โด สำหรับใครที่อยากเยี่ยมชมพื้นที่เครื่องบินตก ก็ต้องมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ แล้วเอ็ดการ์โด ก็จะเป็นธุระจัดการให้มีไกด์พาทัวร์ไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับเส้นทางหฤโหด ต้องนั่งไปกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อไปบนเส้นทางวิบากหลายชั่วโมง จากนั้นต้องขี่ม้าต่อไปอีกถึง… 2 วัน ถ้าไม่ถึกทนพอกับเส้นทางวิบากนี้ ก็นอนเล่นอยู่ที่โรงแรม แล้วดูพวกชิ้นส่วนเครื่องบิน หรือข้าวของผู้โดยสาร ที่เป็นคอลเลกชันของเอ็ดการ์โด เอาไว้โชว์นักท่องเที่ยวก็ได้ บางส่วนเอ็ดการ์โดก็ไปเก็บมาเอง บางส่วนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมจุดเครื่องบินตก ก็หยิบติดไม้ตืดมือมาฝากเอ็ดการ์โด
ริคาร์โด พักอยู่ที่โรงแรมคืนเดียว วันรุ่งขึ้นเขาก็ออกเดินทางพร้อมกับทีมนักปีนเขาอาร์เจนตินา และมาริโอ เปเรซ ไกด์ท้องถิ่น ทั้งทีมใช้เวลาสองวัน ก็ไปถึงจุดเครื่องบินตก แม้เวลาผ่านไปกว่า 30 ปี แต่ก็ยังชิ้นส่วน ร่องรอยให้เห็นจำนวนมาก ชิ้นส่วนเครื่องบินส่วนใหญ่ถูกเผาไปโดยผู้รอดชีวิตเพื่อสร้างความอบอุ่น ลำตัวเครื่องบิน ถูกถอดเป็นชิ้นมาวางเรียงเป็นรูปกากบาทเพื่อสร้างเครื่องหมายให้มองเห็นจากอากาศ ใกล้กันมีไม้กางเขนปักหลุมศพอยู่หลายหลุม แต่จุดนี้คือพื้นราบที่ตัวเครื่องบินลื่นไหล หลังจากชนยอดเขาแล้วมาหยุดที่ตำแหน่งนี้ ริคาร์โดยังไม่พอใจแค่นี้ เขาต้องการไปถึงยอดเขา จุดที่เครื่องบินปะทะแล้วเป็นเหตุให้เครื่องตก ซึ่งต้องปีนขึ้นไปอีกนับพันฟุต
แล้วเปเรซก็นำทางริคาร์โดขึ้นไปที่ยอดเขา ระหว่างทางนั้นริคาร์โดก็เหลือบไปเห็นแจ็กเก็ตตัวหนึ่งอยู่ใต้ผิวหิมะบาง ๆ เขาคว้ามันขึ้นมา มีอะไรร่วงหล่นจากกระเป๋าแจ็กเก็ต ริคาร์โดเก็บขึ้นมาดู เขาพบว่ามีข้าวของหลายอย่าง ฟิล์มถ่ายภาพแล้ว 1 ม้วน, ป้ายติดกระเป๋าเดินทาง , แว่นกันแดด, มีดที่ดัดแปลงมาจากกระจกหน้าต่าง แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ “กระเป๋าสตางค์” ภายในมีเงินอยู่ 1,000 อุรุกวัยเปโซ และ 13 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีบัตรประชาชนอยู่ด้วย ยังพออ่านเห็นชื่อได้ว่า “เอดัวโร โฮเซ สเตราช์” สำหรับ ริคาร์โด พีนา เขาคือผู้ที่ศึกษาเรื่องราวเหตุการณ์เครื่องบินตกบนยอดเขาแอนเดสมาเป็นอย่างดี พอเจอกระเป๋าสตางค์ของ เอดัวโร นี่คือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของเขา ริคาร์โด จำได้อย่างดีว่า เอดัวโร มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้ เขาคือหนึ่งในทีมรักบี้ ในวัย 24 ปี เขาจะอายุมากกว่าเพื่อนในกลุ่ม เขาคือคนที่คิดค้นการใช้กระจกควบแสงอาทิตย์ละลายหิมะมาเป็นน้ำดื่ม เขาเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสรรปันส่วนเนื้อมนุษย์ให้กับผู้รอดชีวิตทั้งหมด เหตุที่แจ็กเก็ตตัวนี้อยู่ใต้ผิวหิมะมาอย่างยาวนาน แล้วก็โผล่มาให้ริคาร์โดเห็นได้ เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก น้ำแข็งบนยอดเขาละลายไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ริคาร์โดตัดสินใจเก็บกระเป๋าสตางค์นี้ติดตัวไปด้วย ส่วนแจ็กเก็ตนั้นเขาทิ้งไว้ที่เดิม ริคาร์โดกับเปเรซ ยังคงมุ่งหน้าไปถึงยอดเขาจุดที่เครื่องบินปะทะ ที่นี่เขาพบใบพัดเครื่องบินยังคงปักติดอยู่กับพื้นหิมะ ที่ริคาร์โดอยากขึ้นมาถึงยอดเขานี้ เพราะเขาอยากจะมาสัมผัสพื้นที่สำคัญในเรื่องราว ที่จุดนี้ เพอร์ราโด และ คาเนสซา ปีนกันมาถึงยอดเขาด้วยรองเท้าลุยหิมะ ที่เขาประดิษฐ์กันเองจากเบาะนั่งบนเครื่องบิน ทั้งคู่ปีนขึ้นมาดูทัศนียภาพมุมสูง เพื่อวางแผนการเดินทางเสี่ยงตาย ที่จะออกไปดั้นด้นขอความช่วยเหลือกันแบบไม่มีแผนที่และไม่รู้ทิศทาง เส้นทางที่เพอร์ราโด และ คาเนสซา เดินเท้าเพื่อออกหาความช่วยเหลือในครั้งนั้น เป็นเส้นทางที่ท้าทายนักปีนเขา แม้แต่ตัวเพอร์ราโดเองยังเคยจะซ้ำรอยเส้นทางตัวเองในปี 1995 ก็ยังไม่สำเร็จ ต้องยอมแพ้แล้วเรียกเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเหลือ
เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงที่พัก ริคาร์โดเอากระเป๋าสตางค์มาอวด เอ็ดการ์โด เจ้าของโรงแรม สร้างความตื่นเต้นให้กับเอ็ดการ์โดอย่างมาก
“นี่มันอย่างกับค้นพบชิ้นส่วนของไตตานิกเลยนะ”
เอ็ดการ์โด กล่าวด้วยความตื่นเต้น เขารีบติดต่อไปหา เอดัวโร โฮเซ สเตราช์ เจ้าของกระเป๋าสตางค์ และผู้รอดชีวิตในตำนานแห่งเทือกเขาแอนเดส ปัจจุบันเอดัวโร อายุ 57 ปี ยังมีชีวิตสุขสบายดีในเมืองมอนเตวิเดโอ, อุรุกวัย
“นี่! ผมเก็บตังค์ของคุณได้น่ะ”
เอ็ดการ์โด โทรไปแจ้งข่าวเอดัวโร ในเชิงหยอกเล่น ก่อนที่จะส่งกระเป๋าสตางค์และชิ้นส่วนของเครื่องบินไปให้เอดัวโร
กระเป๋าสตางค์ของเอดัวโร กลับมาหาเจ้าของในช่วงเวลากว่า 30 ปี กลายเป็นข่าวใหญ่ในอุรุกวัย หลายสื่อขอสัมภาษณ์ความรู้สึกของเอดัวโร
“มันเหลือเชื่อมาก ที่ได้เห็นภาพอดีตในวัยหนุ่มของตัวเองอีกครั้ง ได้เห็นพาสปอร์ตที่ยังมีชื่อผมอยู่บนนั้น”
เอดัวโร เผยความรู้สึก
หลังจากริคาร์โดเดินทางกลับบ้านที่โคโลราโด เขายังค้างคาใจที่จะอยากเดินเขาในเส้นทางที่เพอร์ราโด และ คาเนสซา เคยเดินหาความช่วยเหลือไปจนถึงชิลี ให้สำเร็จสักครั้ง เหมือนว่าความฝันของริคาร์โด ก็ใกล้จะเป็นความจริง เมื่อริคาร์โดได้รับอีเมลที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับเขามาก มันเป็นอีเมลจาก เอดัวโร
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบคุณเป็นการส่วนตัวเร็ว ๆ นี้นะ”
แล้วทั้งคู่ก็ได้พบกันจริง ๆ ในเม็กซิโก แต่สิ่งที่ไปไกลเกินคาดของริคาร์โดก็คือ การได้สานสัมพันธ์กันลึกซึ้งระหว่างนักปีนเขาและผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ปี 2006 ทั้งคู่เปิดบริษัท “Andes Survivor Expeditions” จัดทริปเส้นทางเดินเขาไปสู่พื้นที่เครื่องบินตก กลายเป็นมิตรภาพที่สานสัมพันธ์ขึ้นมาได้อย่างประหลาด จากคนหนึ่งที่เป็นนักปีนเขา และอีกคนคือผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ เยี่ยมชมเว็บไซต์ของทั้งคู่ได้ที่นี่เลย