ขึ้นแท่นซีรีส์ระดับตำนานไปอีกหนึ่งเรื่องเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ ‘Crash Landing On You’ ซีรีส์รักโรแมนติกจากฝั่งเกาหลีที่สะท้อนเรื่องราวความรักระหว่างทหารหนุ่มเกาหลีเหนือและเซเลบสาวชาวเกาหลีใต้ ที่ดูยังไงก็ช่างเป็นความรักบนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ หลังจากที่ใช้เวลาออนแอร์นานเกือบ 2 เดือน ความดีงามของซีรีส์เรื่องนี้นับวันก็ยิ่งทวีความฮอตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุก Ep. จนกระทั่งเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เดินทางมาจนถึงตอนจบเสียที และมันได้กลายเป็นตอนจบที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ ซีรีส์เรตติ้งสูงสุดของช่อง tvN (ทำเรตติ้งสูงสุด 24.1%) แถมยังมงลงกลายเป็นซีรีส์ช่องเคเบิลที่มีเรตติ้งสูงสุดอันดับ 2 รองจากซีรีส์ดราม่าเข้มข้นอย่าง Sky Castle เพียงเล็กน้อยอีกด้วย
สมกับเป็นซีรีส์เกาหลีฟอร์มยักษ์แห่งปี 2019 …และจะพูดว่าสมกับเป็นปีทองของวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งเกาหลีใต้เลยก็ว่าได้!
ว่าแล้วก็มาทบทวนและถกเถียงกันหน่อยดีกว่าว่า ‘ทำไม?’ Crash Landing On You จึงชนะใจเหล่าสหายคนดูทั่วโลกไปได้ขนาดนี้กันนะ?
สหายผู้กองและยัยบุคคลประเภท 11
คงต้องเริ่มกันที่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของซีรีส์อย่าง ‘นักแสดงนำ’ ที่เราเชื่อเหลือเกินว่าใครที่ได้ดูก็คงต้องตกหลุมรักในเคมีของคู่จิ้นระดับ A-List อย่าง ‘ซนเยจิน’ (รับบท ยุนเซรี ) และ ฮยอนบิน (รับบท รีจองฮยอก) ที่สามารถถ่ายทอดความเป็น ยุนเซรี เจ้าหญิงน้ำแข็งผู้เย่อหยิ่ง และ รีจองฮยอก ทหารหนุ่มผู้สุขุม ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งว่าคนทั้งคู่มีความเข้าใจในตัวละครอันซับซ้อนของตัวเองดีว่า คน ๆ นี้เติบโตมาอย่างไร? ต้องการอะไร? มีความคิดแบบไหน? และต้องแสดงออกมาอย่างไรให้คนเชื่อว่าพวกเขาคือ ยุนเซรี และ รีจองฮยอก จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะเป็นอย่างนั้นได้มันไม่มีอะไรง่ายเลย
ฮยอนบิน (และนักแสดงทหารเกาหลีเหลือคนอื่น ๆ ) จะต้องฝึกการออกเสียงแบบภาษาเกาหลีเหนืออยู่ 2-3 เดือน เพื่อให้ได้มาซึ่งสำเนียงของคนพื้นที่ ที่แม้ว่าต่อให้คนไทยอย่างเราที่ฟังภาษาเกาหลีไม่ออก ก็ยังพอสัมผัสได้ว่าทั้งสองภาษามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนจริง ๆ หรือแม้กระทั่ง ซนเยจินเองในขณะที่ต้องเข้าฉากในประเทศเกาหลีเหนือ เธอก็แทบจะไม่ได้ผ่านเมกอัปหรือเครื่องสำอางใด ๆ (แม้กระทั่งคิ้วก็ไม่เขียน!) ผมเผ้าที่เราเห็นว่ามันถูกมัดขึ้นอย่างลวก ๆ ก็เป็นฝีมือของเธอเองทั้งนั้น เพราะที่สุดแล้วเธอต้องการให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบมากที่สุดนั่นเอง
มันแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทในผลงานของคนทั้งคู่ และแน่นอนว่ามันทำให้เราคนดูเชื่อในตัวละครนั้น ๆ ได้อย่างหมดใจ บอกเลยว่าต่อให้ไม่มีข่าวจิ้นกันนอกจอปล่อยออกมากระตุ้นความฟินของคนดู ยังไง๊ยังไงฝีมือและเคมีของคนคู่นี้ก็ดีพอจะขับเคลื่อนเรื่องราวให้ออกมาดีได้อย่างแน่นอน เรียกได้ว่าทีมแคสติ้งเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ
บทอันดีงาม สร้างแดนลับแลจากปากคำและจินตนาการ
อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันดีอยู่แล้วว่า พัคจีอึน คือนักเขียนบทมือฉกาจของเกาหลี เธอคือผู้สร้างบทละครซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น My Love from the Star (2013) หรือ Legend of the Blue Sea (2016) ซึ่ง Crash Landing On You (2019) นั่นก็คือผลงานชิ้นเอกชิ้นล่าสุดของเธออีกหนึ่งเรื่องนั่นเอง ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องราวและรายละเอียดเล็กน้อยในดินแดนลับแลที่เป็นจุดขายของเรื่องนี้ จะเกิดจากไอเดียเล็ก ๆ ของเธอตั้งแต่ปี 2008 ที่นำพาเธอไปสู่การลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์และเรียนรู้ถึงวิถีชีวิต และมุมมองของคนจำนวนมากที่เคยอยู่และเคยไปเยือนประเทศเกาหลีเหนือมาแล้ว
จินตนาการจากปากคำที่ถูกนำมาร้อยเรียงให้สอดคล้องกับข้อมูลความจริงที่มี ทำให้ในที่สุดไอเดียเล็ก ๆ ของเธอในวันนั้น ก็ได้กลายมาเป็นเรื่องราวความรักกึ่งสารคดี (แบบเบา ๆ ) ที่นอกจากจะทำให้เราคนดูได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวครบรสทั้ง โรแมนติก ตลก ดราม่า และแอ็กชันสุดมันแล้ว บทที่พัคจีอึนเขียนยังพาเราไปรู้จักกับแง่มุมและเรื่องราวชีวิตในดินแดนปิดตายที่แทบไม่มีซีรีส์เรื่องไหนกล้าทำมาก่อน แม้จะรู้ว่ามันอาจไม่ใช่ความจริง 100% แต่สิ่งที่ซีรีส์นำเสนอออกมาให้เราได้ชมนั้น มันก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่สวยงามที่เราหวังอยากจะเห็น และแอบหวังอยากให้มันเป็นความจริงอยู่เหมือนกัน
เสน่ห์ของงานภาพและการเล่าเรื่อง ผ่านโปรดักชันจัดหนักแบบไม่หวงเครื่อง
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากใช้คำว่า ‘ไม่หวงเครื่อง’ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังกินอาหารจากร้านเด็ด ที่นอกจากจะมีวัตถุดิบอันดีงามเต็มจานแล้ว ฝีมือการประกอบอาหารและการปรุงรสสุดจัดจ้านของผู้กำกับ ยังทำให้อาหารจานนี้กินได้เรื่อย ๆ ไม่รู้เบื่อ เหมือนกับที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้พาเราไปในสถานที่ที่สวยงามแปลกตาต่าง ๆ มากมายทั้ง หมู่บ้านชนบทในเกาหลีเหนือ เมืองหลวงกึ่งศิวิไลซ์อย่างเปียงยาง ธรรมชาติอันสวยงามในสวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ
ผ่านงานภาพที่แสนบรรจงคิดบรรจงถ่าย และนำมาลำดับร้อยเรียงเป็นเรื่องราวได้อย่างสนุกและตื่นตา โทนสีของภาพที่สอดคล้องไปกับอารมณ์ของฉากแต่ละฉาก ทั้งหมดล้วนผ่านการคิดมาอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นซีรีส์ที่ดูแล้วคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน
ดรีมทีมนักแสดงสมทบ
จะเรียกว่าดรีมทีมก็คงไม่แปลกนัก เพราะที่จริงแล้วอีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของซีรีส์เรื่องนี้ก็คงต้องยกให้เหล่านักแสดงสมทบอีกมากมาย ทั้งแก๊งสี่พลทหารและแก๊งแม่บ้านทหารบกที่มาพร้อมคาแร็กเตอร์น่ารักน่าเอ็นดูแตกต่างกันไป ตอนไหนที่ไม่มีพวกเขามันก็ออกจะเหงา ๆ หน่อย เรียกได้ว่าเป็นสีสันที่คอยสนับสนุนให้เรื่องราวมีความครบรสมากขึ้น ไหนจะคู่รองที่มีทั้งฝีมือการแสดงและความสวยหล่อครบและไม่เป็นสองรองใคร ดูแล้วก็ต้องระวังหัวใจเพราะอาจโดนตกไปได้ไม่ยาก และที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเหล่าตัวละครสีเทา ๆ ที่มาพร้อมกับปูมหลังและความคิดอันซับซ้อน แสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างมีมิติและน่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ เรียกได้ว่าผู้กำกับเก่งมากที่สามารถกระจายบทและปั้นคาแร็กเตอร์เหล่านี้ ให้ออกมามีความสำคัญและแทบจะขาดไปไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
สะท้อนความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในทุกสังคม
แท้จริงแล้ว Crash Landing On You ไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวความโรแมนติกของคู่รักหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ซีรีส์เรื่องนี้ยังให้ความสำคัญกับประเด็น ‘ความเหลื่อมล้ำในสังคม’ ที่เราคนดูสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน จากความแตกต่างแบบสุดโต่งระหว่างคนรวยและคนจนในเรื่อง ทั้งเสื้อผ้า อาหาร เครื่องใช้ และโอกาสในชีวิต รวมไปถึงพฤติกรรมของตัวละครที่สะท้อนถึงการแบ่งชนชั้นได้อย่างชัดเจน เหมือนกับหลาย ๆ ฉากที่รีจองฮยอกเองก็ใช้อำนาจของตัวเองไปกับเรื่องส่วนตัวมากมาย หรือแม้กระทั่งต้นกำเนิดของ ‘ธุรกิจทหาร’ แบบในเรื่อง ก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ ‘บันได’ ที่ทหารยศเล็ก ๆ คนหนึ่งจะยอมเข้าแลกเพื่อนำพาตัวเองไปสู่อำนาจและบัลลังก์ที่เขาฝันอยากได้อยากมี ในประเทศที่มีโอกาสดี ๆ ให้คนชนชั้นล่างเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมจึงเป็นประเด็นที่ซึมลึก หยั่งรากลงในแทบทุกพื้นที่บนโลก มันจึงง่ายที่จะเข้าถึงและสัมผัสกับใจคนดูอย่างเรา ๆ ได้ไม่ยากนั่นเอง
หรือแท้จริงแล้วความสำเร็จที่เราถอดออกมาได้จาก ‘Crash Landing On You’ นั้น มันแสดงให้เราเห็นแล้วว่า เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องหนึ่ง มันอาจไม่ใช่ทุนสร้างระดับมหาศาลหรือความพิสดารแปลกประหลาดใด ๆ แต่มันต้องเริ่มจากโครงสร้างและองค์ประกอบพื้นฐานที่แข็งแรงที่หนังหรือซีรีส์เรื่องหนึ่งควรจะมีเสียก่อน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่วงการภาพยนตร์และซีรีส์เกาหลีจะเข้าใจได้ถึงจุดนี้ แล้วเริ่มลงมือพัฒนาผลงานดี ๆ ออกมาให้เราได้ติดตามกันอยู่เรื่อย ๆ …
…หลังจากนี้กำแพงภาษาที่เรียกว่า Subtitle ก็คงหยุดพวกเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ
Happy Ending 🙂
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส