หลายครั้งที่ความสำเร็จของหนังภาคแรกที่ทำรายได้ดีทั้งตามที่คาดและเกินกว่าที่ค่ายหนังคาดหวัง นำมาซึ่งภาคสองหรือภาคต่อที่ขยายลากยาวเป็นแฟรนไชส์ ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะทำรายได้ดีกว่าหรืออย่างน้อย ๆ ก็เท่ากับภาคแรกซึ่งจะสร้างกำไรให้กับค่ายหนัง แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้นสำหรับบางเรื่อง ที่รายได้หล่นลงอย่างฮวบฮาบตามคุณภาพของหนังที่หล่นหายไปชนิดที่เรียกว่า อย่ามีภาคต่อ ให้จบในภาคเดียวจะดีเสียกว่า และนี่คือ 12 หนังภาคต่อ (ภาคสองและภาคหลังจากสอง) ที่ห่วยที่สุดตลอดกาล (อิงจากคะแนนจากเว็บไซต์วิจารณ์และให้คะแนนหนัง Rotten Tomatoes)
Speed 2: Cruise Control (1997)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 4% / 94%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 164 / 350 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Sandra Bullock, Jason Patric, Willem Dafoe, Temuera Morrison
- ผู้กำกับภาคต่อ: Jan de Bont (Speed, Twister, The Haunting, Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ภาคแรกเป็นหนังฮิตระเบิด ติดท็อปหนังดังของ Keanu Reeves และ Sandra Bullock และถ้าดูจากคะแนนวิจารณ์ก็สูงขนาด 94% ไม่แปลกที่ภาคต่อจะตามมาและยังได้ทั้งนางเอกและผู้กำกับจากภาคแรกกลับมา ขาดก็แต่เพียง Reeves ที่ถือเป็นปัจจัยความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวของหนังแอ็กชันเรื่องนี้ ซึ่งไม่ตามมากับภาค 2 ที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่ แค่เปลี่ยนสถานการณ์จากบนรถบัสมาเป็นเรือหรู และได้พระเอกที่ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย ทำให้คะแนนของหนังจากอีก 6 % จะร้อย เหลือแค่ 4% และรายได้หล่นลงกว่าครึ่ง แบบนี้ให้คนจำแค่ว่ามีภาคเดียวก็น่าจะดีกว่า
The Whole Ten Yards (2003)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 4% / 45%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 26 / 106 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Bruce Willis, Matthew Perry, Amanda Peet, Kevin Pollak
- ผู้กำกับภาคต่อ: Howard Deutch (Grumpier Old Men, The Replacements, The Great Outdoors, My Best Friend’s Girl)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: เอาเข้าจริง ๆ หนังภาคแรกที่เกี่ยวข้องกับมือปืนผู้มาหลบซ่อนตัวและมีเพื่อนบ้านเข้าไปเกี่ยวข้องโดยบังเอิญเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีคำวิจารณ์ที่ดีเด่นอะไร (จนขนาดที่ควรจะมีภาค 2 ตามออกมา) แต่ก็เป็นไปได้ว่าค่ายหนังอาจอยากลองเสี่ยงกับพระเอกนักบู๊ที่เล่นหนังตลกได้ดีอย่าง Bruce Willis และพระเอกซีรีส์ Friends ที่ก็ฮิตอยู่หลายปีอย่าง Matthew Perry แต่ความสำเร็จแม้แต่ในระดับเดิมทั้งคุณภาพและการทำเงินก็ไม่ได้กลับมา แถมรายได้ยังหล่นหายไปกว่า 3 ใน 4 และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของหนัง ปิดโอกาสที่จะมีภาค The Whole Eleven Yards ให้ได้อึดกันอีกสักสิบเอ็ดหลา
Basic Instinct 2 (2006)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 6% / 53%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 38 / 352 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Sharon Stone, Hugh Dancy, David Thewlis, Charlotte Rampling
- ผู้กำกับภาคต่อ: Michael Caton-Jones (The Jackal, Scandal, This Boy’s Life, Rob Roy)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ภาคแรกออกฉายปี 1992 ก็ไม่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีเท่าไรนัก แต่ความฉาวของเรื่องราว และความแซ่บของนักแสดงสาวสวยเป๊ะในเวลานั้นอย่าง Sharon Stone รวมไปถึงท่านั่งไขว้ขาในตำนานก็ทำให้หนังฮิตระเบิดและเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ดังที่สุดของเธอ 14 ปีให้หลัง ภาค 2 ก็ตามมา โดยไม่มีใครกลับมาเลยนอกจาก Stone และท่าไขว้ขาของเธอ ซึ่งก็ต้องยองรับว่าด้วยความที่หนังไม่มีอะไรใหม่ และ Stone ก็หมดมนต์ขลังทั้งความสาวและความสวยลงไปเยอะ หนังที่มาในรสชาติเดิมในยุคใหม่ที่คนดูไปสนใจหนังแนวอื่นกันเยอะแล้ว คุณภาพก็หล่น รายได้ก็หล่นตาม
Son of the Mask (2005)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 6% / 77%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 59 / 351 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Alan Cumming, Damon Herriman, Kal Penn, Bob Hoskins
- ผู้กำกับภาคต่อ: Lawrence Guterman (Cats & Dogs, Antz)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ภาคแรกเมื่อปี 1994 คือหนังที่ทำรายได้รวมทั่วโลกเป็นอันดับสองในเครดิตของ Jim Carrey ที่ 352 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก (เป็นรองแค่ Bruce Almighty (2003)) และแจ้งเกิดนางเอกสาว Cameron Diaz ภาคต่อใช้เวลาถึง 11 ปี โดยไม่มีทีมงานหลักและนักแสดงคนไหนกลับมาเลย นอกจากไอเดียมนุษย์สวมหน้ากากแล้วกลายเป็นไอ้หน้าเขียวตัวฮา ซึ่งเพราะการไม่มีนักแสดงดังและทีมงานที่มือถึงมาคุมงานสร้าง ก็ทำให้หนังสะเปะสะปะและดูไม่สนุกเอาเลยทั้งเรื่อง จนดูเป็นหนังเกรดบีที่เหมาะจะลงโฮมวิดีโอในสมัยนั้น (หรือสตรีมมิงในสมัยนี้) มากกว่า
The Next Karate Kid (1994)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 7% / 88%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 15 / 91 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Hilary Swank, Michael Ironside, Pat Morita, Constance Towers
- ผู้กำกับภาคต่อ: Christopher Cain (Young Guns, Gone Fishin’, The Principal)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ภาคแรกนั้นเป็นหนังฮิตระดับตำนานในการเชื่อมวัฒนธรรมระหว่างการต่อสู้ของญี่ปุ่นและวิถีชีวิตของเด็กอเมริกัน ออกฉายในปี 1984 และทำรายได้รวมทั่วโลกไป 91 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 8 ล้านเหรียญฯ จึงมีภาคต่อตามออกมา ภาค 2 ในปี 1986 ภาค 3 ในปี 1989 ซึ่งคะแนนของคุณภาพหนังก็ลดต่ำลงเรื่อย แต่ไม่หนักเท่าภาค 4 ที่ได้ Hilary Swanks นักแสดงรางวัลออสการ์ที่ยังวัยรุ่นอยู่ในตอนที่เล่นมารับบท คะแนนความนิยมต่ำเตี้ยเหลือ 7% เป็นเพราะเสน่ห์ที่จางหายและการซ้ำรอยภาคเดิม ๆ ย่อมทำให้คนดูเบื่อ หนังมีฉบับรีเมกเป็นหนังฮิตอีกครั้งในปี 2010 ในชื่อ The Karate Kid นำแสดงโดย Jaden Smith และเฉินหลง โดยได้ผู้กำกับภาคแรกปี 1984 กลับมา และทวงคืนคุณภาพได้ที่คะแนน 66%
I Still Know What You Did Last Summer (1998)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 7% / 42%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 40 / 125 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Jennifer Love Hewitt, Freddie Prinze Jr., John Hawkes, Brandy Norwood
- ผู้กำกับภาคต่อ: Danny Cannon (Judge Dredd, Phoenix, Goal! The Dream Begins)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: หนังสยองขวัญวัยรุ่นภาคต่อที่เป็นของฮิตในยุคสมัยนั้นที่จะมีทั้งหนังวัยรุ่นสยองขวัญแบบน่ากลัวอย่างแฟรนไชส์ Scream (1996-2011) ทั้ง 4 ภาค และแบบฮา ๆ อย่างแฟรนไชส์ Scary Movie (2000-2013) ทั้ง 5 ภาค และหนังก็ได้นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังของยุคอย่าง Jennifer Love Hewitt และ Freddie Prinze Jr. มารับบท ด้วยความที่ภาคแรกนั้นเป็นความสดใหม่ของหนังสยองขวัญ แต่พอภาค 2 ที่ไม่ใหม่แล้วรวมถึงหนังก็แทบจะซ้ำรอยเดิมไม่มีอะไรให้ได้ลุ้นกันใหม่ การสร้างภาค 2 แบบตามมาติด ๆ จากภาคแรกแค่ปีเดียว จึงดูเป็นการสร้างแบบสุกเอาเผากินเพื่อจะมาโกยรายได้มากกว่าเน้นคุณภาพ ซึ่งเมื่อคุณภาพตก รายได้ก็ตกไปกว่า 2 ใน 3 ต่อมาปี 2006 ที่มีภาค 3 ออกมาที่ไม่มีเนื้อเรื่องหรือนักแสดงเกี่ยวข้องกับภาคแรก ถึงขนาดได้คะแนนวิจารณ์ 0% กันเลยทีเดียว (ก็ยังจะกล้าสร้าง)
Little Fockers (2010)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 9% / 84%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 310 / 330 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Robert De Niro, Ben Stiller, Owen Wilson, Dustin Hoffman, Barbra Streisand, Laura Dern, Jessica Alba, Kevin Hart
- ผู้กำกับภาคต่อ: Paul Weitz (American Pie, About a Boy, In Good Company, Being Flynn)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: 2 ภาคแรกเป็นความสำเร็จของหนังพ่อตาลูกเขยจอมแสบที่ป่วนกันจนเกิดความชุลมุนยุ่งเหยิงกันไปหมด Meet the Parents ออกฉายในปี 2000 และภาค 2 Meet the Fockers ออกฉายปี 2004 กลายเป็นหนังฮิตทำรายได้สูงสุดของแฟรนไชส์ (ทำรายได้รวมทั่วโลก 522 ล้านเหรียญฯ) ทั้งสองภาคกำกับโดย Jay Roach เจ้าพ่อหนังตลกที่เคยกำกับ Austin Powers มาแล้วทุกภาค และเพิ่งพลิกกับมาทำหนังดรามาตลกร้ายอย่าง Bombshell เมื่อปีที่ผ่านมา ค่ายหนังจึงดันภาค 3 ตามมาในปี 2010 แต่เปลี่ยนผู้กำกับ ความชุลมุนยุ่งเหยิงในเรื่องลดลงแต่สำหรับคนดูนั้นเพิ่มมากขึ้น จากการที่มีตัวละครเยอะไปหมด และมุกตลกในเรื่องจากเดิมที่เป็นมุกตลกสถานการณ์ดันกลายมาเป็นมุกชวนแหยให้คนดูส่ายหน้าเสียมากกว่า แต่หนังก็ยังทำรายได้เยอะพอ ๆ กับภาคแรกที่ค่ายหนังก็คงได้เงินตามที่อยากได้อยู่ดี
Deuce Bigalow: European Gigolo (2005)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 9% / 22%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 45 / 93 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Rob Schneider, Adam Sandler, Til Schweiger, Kelly Brook
- ผู้กำกับภาคต่อ: Mike Bigelow
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: คอหนังในยุค 90s ต่อ 2000s อาจจะพอคุ้น ๆ ว่า วงการฮอลลีวูดมีนักแสดงตลกที่ชื่อ Rob Schneider ที่มาพร้อมหนังมุกตลกสัปดนและความหน้าตาย เขาเล่นหนังร่วมกับ Adam Sandler เกือบทุกเรื่อง ที่ฮิต ๆ ก็อย่าง Big Daddy (1999) The Water Boy (1998) The Longest Yard (2005) ไม่แปลกที่ในเวลานั้นจะขอมีหนังนำเดี่ยวเป็นของตัวเองในบทจอมสัปดน ชื่อว่า “ดิวซ์ บิกะโลว์” ซึ่งภาคแรก ปี 1999 แม้คำวิจารณ์จะไม่สวยหรู เพราะเป็นหนังตลกที่ไม่ได้แคร์เสียงวิจารณ์อยู่แล้ว แต่หนังก็ทำรายได้รวมทั่วโลกไป 93 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 17 ล้านเหรียญฯ ภาค 2 ตามออกมาปี 2005 ที่ทุนสร้างเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านเหรียญฯ แต่รายได้ลดลงกว่าครึ่งตามความนิยมของตัว Schneider เอง (ต่างจาก Sandler ที่ยังพอมีหนังฮิต ๆ ออกมาอยู่บ้าง) Schneider ยังมีหนังอย่าง The Animal (2001) และ The Hot Chick (2002) ในยุคนั้น ซึ่งทุกวันนี้เราไม่เห็นผลงานเขาอีกแล้ว
Urban Legends: Final Cut (2000)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 9% / 20%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 38 / 72 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Eva Mendes, Jennifer Morrison, Rebecca Gayheart, Jacinda Barrett
- ผู้กำกับภาคต่อ: John Ottman
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ปลุกตำนานโหดมหา’ลัยสยองเรื่องนี้ มาตามสไตล์หนังหวีดสยองเรต R ในยุคนั้น ว่าด้วยเรื่องของตำนานสยองขวัญในมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ที่เล่าขานกันต่อ ๆ มา กำลังกลายเป็นเรื่องจริง เมื่อมีนักศึกษาตายไปทีละคน และใครที่ดวงแข็งกว่าหรือมีบทบาทสำคัญกับเรื่องมากกว่าก็แน่นอนว่าจะรอดตายในท้ายที่สุด ในภาคแรกที่มี Jared Leto จาก Morbius รับบทนำในสมัยยังไม่ดัง นำทีมนั้น ก็ได้คำวิจารณ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้ว แต่ในเมื่อหนังทุนสร้างต่ำ 14 ล้านเหรียญฯ ฟันกำไรไป 72 ล้านเหรียญฯ ค่ายหนังก็ดันภาคต่อออกมาโกยใน 2 ปีให้หลัง แม้ทุนสร้างจะเท่าเดิมแต่รายได้ลดลงกว่าครึ่ง หนังมีนักแสดงอย่าง Eva Mendes เป็นนักแสดงดังสุดของเรื่อง
Divergent: Allegiant (2016)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 11% / 42%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 179 / 288 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Shailene Woodley, Theo James, Naomi Watts, Octavia Spencer, Jeff Daniels, Miles Teller
- ผู้กำกับภาคต่อ: Robert Schwentke (Insurgent, RED, Flightplan, The Time Traveler’s Wife, R.I.P.D.)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: กลายเป็นแฟรนไชส์บรรยากาศโลกล่มสลายเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ที่สร้างมาจนถึงภาค 3 แล้วแท้ ๆ แต่ก็สร้างได้ไม่จบทั้งชุด (ฉบับนิยายมีทั้งหมด 4 ภาค) ในทีแรกก็มีข่าวว่า จะมีการนำภาค 4 ไปสร้างเป็นหนังออกฉายทางโทรทัศน์แทน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว แม้ภาคแรกจะมีไปได้ดีในระดับกลาง ๆ ทั้งคุณภาพและรายได้ เต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพระดับออสการ์การันตี ตั้งแต่ Kate Winslet และนักแสดงวัยรุ่นแถวหน้าทั้ง Shailene Woodley, Theo James, Miles Teller, Zoë Kravitz, Ansel Elgort ชนิดที่ทุกคนคงคาดหวังว่า หนังจะประสบความสำเร็จเหมือน The Hunger Games ที่แจ้งเกิด Jennifer Lawrence แต่ท้ายที่สุด ด้วยความน่าเบื่อและแทงกั๊กไว้เล่าเรื่องในภาคสุดท้ายที่คาดหมายได้ว่าจะเป็นภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็เลยทำให้ภาคระหว่างทางทั้ง 2 และ 3 น่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมาบอกเล่าบริบทแวดล้อมมากกว่าจะพุ่งไปที่แก่น หนังก็เลยจอดสนิทหมดอนาคตไปดื้อ ๆ
The Grudge 2 (2006)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 11% / 39%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 70 / 187 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Sarah Michelle Gellar, Teresa Palmer, Takako Fuji, Edison Chen
- ผู้กำกับภาคต่อ: Takashi Shimizu (The Grudge, Ju-on: The Grudge, Reincarnation)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ สำหรับ The Grudge เวอร์ชันต้นฉบับที่รีเมกมาจากหนังฉบับญี่ปุ่นอีกที เพราะได้ผู้กำกับอย่าง Takashi Shimizu จากเวอร์ชันญี่ปุ่นของแท้มากำกับภาค 1 และภาค 2 ในฉบับหนังอเมริกัน ซึ่งแน่นอนว่าสูตรหนังตุ้งแช่หรือฉากหลอนของผีเด็กหน้าขาวก็ไม่มีมนต์ขลังมากพอจะทำให้ฝรั่งกลัว (ฝรั่งชอบความหลอนแบบหนังผีเข้า The Exorcist มากกว่า) ซึ่งก็ทำเอาผู้กำกับเกิดอาการฝีมือชอร์ตกันดื้อ ๆ ที่คงเพราะความกดดันจากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จพอประมาณสำหรับหนังทุนต่ำ ก็เลยออกอาการมาที่หนังทำให้ดูจะหลอนก็ไม่ใหม่ และจะดูให้สนุกก็ทำได้ไม่น่าติดตามขนาดนั้น ในปี 2020 เดือนมกราคมที่ผ่านมาก็เลยถึงรอบรีเมกกันอีกสักทีโดยผู้อำนวยการสร้าง Sam Raimi กับคะแนนวิจารณ์ 20% ก็ไม่น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไร
Halloween: Resurrection (2002)
- Rotten Tomatoes Score ภาคต่อเทียบภาคแรก: 11% / 52%
- รายได้รวมทั่วโลก ภาคต่อเทียบภาคแรก: 37 / 55 ล้านเหรียญฯ
- นักแสดงภาคต่อ: Jamie Lee Curtis, Brad Loree, Busta Rhymes, Bianca Kajlich
- ผู้กำกับภาคต่อ: Rick Rosenthal (Halloween II, American Dreamer, Russkies)
- ทำไมมันถึงห่วยได้ขนาดนั้น?: ภาคแรกเมื่อปี 1978 กลายเป็นหนังสยองขวัญขึ้นหิ้งขวัญใจนักวิจารณ์และคนดูขนาดได้คะแนนวิจารณ์ไปที่ 96% กันเลยทีเดียว ก่อนที่ภาคต่อ ๆ มาคะแนนวิจารณ์จะหล่นฮวบ และไม่มีภาคไหนทำคะแนนได้เกิน 50% อีกเลยจนกระทั่งการมาถึงของ Halloween H20 (1998) ที่ออกฉายในวาระครบรบ 20 ปีของหนัง และทำเป็นภาคต่อกึ่งรีเมกที่ได้ Jamie Lee Curtis กลับมา ร่วมกับทีมนักแสดงอย่าง Michelle Williams และ Josh Hartnett ภาคต่อของภาคนี้อย่าง Halloween: Resurrection จึงตามออกมา แต่คุณภาพและรายได้ก็กลับไปลงเหวเหมือนภาคอื่น ๆ ในแฟรนไชส์ จนกลับมากู้หน้าได้จริง ๆ ก็กับ Halloween (2018) ที่เซ็ตตัวเองให้เป็นภาคต่อโดยตรงกับภาคแรกปี 1978 ที่ได้คะแนนวิจารณ์ไปถึง 79% และทำรายได้ทั่วโลกไป 255 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 10 ล้านเหรียญฯ ในปี 2020 นี้ภาคต่อโดยผู้กำกับ David Gordon Green จากภาค 2018 จะกลับมารับเทศกาล Halloween กันอีกรอบ (ไม่หมดแรงก็ดูกันต่อไป!)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส