9 เมษายน 2562 คือวันแรกที่ “น้าเน็ก – เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” จัดรายการ Live “น้าเน็กพบลูกเพจ” ในเฟสบุ๊กแฟนเพจ และใน YouTube แชนแนล Nanake555 ที่เขาใช้คำว่าเป็นการทำโดยบังเอิญ หลังจากที่เขาประสบความล้มเหลวจากการทำรายการออนไลน์ ทั้ง ๆ ที่เขาเองหวังใจไว้ว่าจะเป็นการ “หนีตาย” จากการถูก Disruption มาจากวงการทีวี

Play video

แต่ในความล้มเหลวนั้น ก็ยังมีสิ่งที่พิเศษอยู่ เพราะแม้ว่าวันนั้นจะเป็นเพียงวันอังคารที่ไม่น่าจะมีใครว่างดู และก็ไม่ได้มีการโปรโมตล่วงหน้าใด ๆ แต่กลับเกิดปรากฏการณ์คนดู Live อย่างล้นหลาม มีคนโทรเข้ามาเพื่อคุย “หน้าไมค์กับน้าเน็ก” มากมายหลายสิบสาย กลายเป็นรายการออนไลน์ความยาวสองชั่วโมง ที่ดูเหมือนไม่มีรูปแบบ แต่มันก็เสมือนเป็น “ดราฟต์แรก” ที่ทำให้เขาได้เริ่มต้นใหม่อย่างสวยงามกับรายการออนไลน์อย่างที่เขาต้องการ-ในแง่ของการใช้ออนไลน์เพื่อทำสิ่งที่ดีสู่ผู้คน

จาก 2ชั่วโมงเป็น 3ชั่วโมง จาก 3ชั่วโมงเป็น4 และ 5ชั่วโมงในที่สุด และในที่สุดจริง ๆ รายการนั้นถูกปรับรูปแบบให้กลายเป็นรายการออนไลน์จริง ๆ จัง ๆ ในชื่อ #อย่าหาว่าน้าสอน อันเป็นชื่อเดียวกับหนังสือที่เขาเคยเขียน และจากจุดนั้น เขาและรายการของเขาก็กลายเป็นคอนเทนต์ตอบปัญหาชีวิตแบบเต็มตัว มีผู้คนหลายเพศ หลายวัย หลายอาชีพโทรเข้ามาเพื่อให้ “พี่” ของพวกเขาอย่างน้าเน็ก คอยเป็นผู้รับฟังและจัดเรียงปัญหาให้กับพวกเขา ที่โทรไม่ติดก็มีมาก แต่บางคนก็ “โชคดีที่มึงโทรติด” และได้มีโอกาสคุยเรื่องราวต่าง ๆ และมีน้าเน็กคอยสนทนา ถามไถ่ จัดระเบียบชีวิตให้กับพวกเขา และมีผู้ชมทางออนไลน์ร่วมเป็นพยาน

วันนี้ – รายการ #อย่าหาว่าน้าสอน ของเขากำลังเดินทางเข้าสู่ขวบปีแรกในอีกเดือนเศษ ๆ หากคำนวณแบบมั่ว ๆ ก็น่าจะมีคนโทรเข้ามาคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับน้าเน็กแล้วไม่น้อยกว่าพันสาย ปัญหานับพันที่มีตั้งแต่เรื่องใหญ่ ๆ จนไปถึงเรื่องบ้าบอคอแตกที่บางทีก็เป็นเพียงแค่การอยากคุยกับคนดังที่ชื่อว่าน้าเน็กสักครั้งในชีวิต เพราะฉะนั้น บทสัมภาษณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนไปดูว่าการหนีตายมาอยู่ในโลกออนไลน์ของเขาเป็นอย่างไร หรือต้องทำอย่างไรถึงจะหนีจาก Disruption เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ เรื่องราวของน้าเน็ก และรายการ #อย่าหาว่าน้าสอน ณ ปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับรายการนี้ และตัวตนของเขาเองต่างหาก ที่เราว่าน่าสนใจกว่า อย่างน้อยก็ในปัจจุบันนี้ ที่เขายังคงตั้งใจ ตั้งหน้าตั้งตาตอบคำถามทุกชนิดจากทุกสาย ตลอด 5ชั่วโมงโดยที่แทบไม่ได้หยุดพัก

คุณเคยสงสัยไหมล่ะ ว่าทำไมคนอย่างน้าเน็กถึงตอบได้ทุกคำถาม?

อยากให้น้าเล่าหน่อยว่า หลังจากทำรายการออนไลน์ #อย่าหาว่าน้าสอน มาก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว มีฟีดแบ็กอะไรอย่างไรบ้าง

ถ้าจะเอาข้อมูลดิบเลยนะฮะ 25-35 ปี เป็น Tier  ที่มากที่สุดในบรรดาแฟนรายการ แต่ถ้าเป็น Gap เนี่ย เริ่มตั้งแต่ 14 ไปถึง 60 เลยฮะ แต่ว่าช่วง 25-35 เป็นช่วงที่มากที่สุด ซึ่งผมโคตรมีความสุขเลย เพราะว่าผมอยากสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ที่สุด คือช่วง First Jobber

เมื่อวานผมไปบุรีรัมย์ครับ ผมไปงานศพคุณชัย ชิดชอบ สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือว่าคนอายุ 50 อัป นักการเมือง โฆษกนักการเมือง ข้าราชการ แม้กระทั่งชาวบ้านที่ หนึ่ง ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะดูออนไลน์ และสอง ถึงเขาดูออนไลน์ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะดูผม ปรากฏว่า ไอ้เชี่ย เขารู้จักรายการเราหมดเลยนะ มันไปในพื้นที่ที่เราไม่คาดฝันจริง ๆ ครับ

แล้วตัวน้าเองพอใจแค่ไหนในแง่ของการทำรายการออนไลน์

โอ้ ผมต้องใช้คำว่าผมมีความสุขมากฮะ ทำไมผมถึงใช้คำนี้ เพราะที่ผ่านมา ตอนที่ผมเริ่มเปิดเพจ Nanake555 ตอนมกราคม ปี 61 พูดตรง ๆก็อยากได้ตังค์แหละฮะ หนีตายมาจากทีวี หาทางรอดแหละ หาอาชีพใหม่ หาตลาดใหม่นั่นแหละ ทำไปปีครึ่งพบว่าไม่ได้เรื่องเลย แล้วตัวเองไม่มีความรู้เรื่องออนไลน์ด้วย ทำไปศึกษาไป มีเฟซบุ๊กวันแรกก็วันนั้นแหละฮะ มีไลน์แชตก็วันนั้นเหมือนกัน มี IG ก็วันนั้นเหมือนกันเลย มียูทูบแชนแนลก็วันนั้นด้วย แล้วก็ใช้ไม่เป็นเลย ทำไปศึกษาไป ไม่เวิร์ก อยู่รอดมาได้ด้วยบุญเก่า บารมีเก่า ลูกค้าเก่าทั้งนั้นเลย ไม่ได้รับการโจษจันเลย

จนเปลี่ยนวิธีคิดว่า อ่ะ ช่างแม่งละ งั้นไหน ๆ ออนไลน์มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังขนาดนี้แล้วเนี่ย มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ยังไงวะ คิดแบบนี้เลย ช่างแม่งเรื่องตังค์ เรื่องชื่อเสียงแล้ว มีประโยชน์ต่อคนอื่นได้ยังไง เนี่ย พอทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคน คนก็ตอบแทนเราจริง ๆ ผู้คนก็ Subscribe Like Share จากปีครึ่งมีคน Follow อยู่ประมาณสองแสนกว่า ผ่านมาครึ่งปี กลายเป็นสองล้านได้ไงก็ไม่รู้อ่ะครับ YouTube แชนแนลมีอยู่ 90,000 กว่าคน ตอนนี้จะล้านแล้ว พอมันใช่มันก็ใช่จริง ๆ แล้วมันก็ดีกับผู้คนจริง ๆ เล่ายาว ๆ เพื่อตอบสั้น ๆ ว่า ผมยิ่งกว่าดีใจ ผมโคตรมีความสุขเลย

แล้วที่ผ่านมา ผมกับหนุ่ย พงศ์สุขคุยกันว่า เออ เราเป็นห่วงสังคมออนไลน์จังเลย มันมีแต่พวกกากเกรียนไร้สาระบ้าบอคอแตกน่ะ นั่นคือเหตุการณ์เมื่อห้าหกปีโน่นแล้วนะ แล้วพอมาวันนี้ผมรู้สึกว่าผมกลายเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ออนไลน์ที่ทำของดีแล้วอยู่ได้ แล้วคนก็ชอบ เชี่ย ผมโคตรดีใจและโคตรมีความสุขเลยครับ

ตอนน้าหนีตายมาจากทีวี น้ามีความกังวลบ้างไหม เพราะว่าเอาจริง ๆ ชื่อชั้นของน้าในทีวีก็ถือว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ เหมือนกัน

มีครบเลย ไอ้ความลังเล กังวล วิตก พ่ายแพ้ หมดกำลังใจ มีหมด ก่อนหน้านี้มันมีเหตุการณ์ที่เป็นจุดต่ำสุดของการทำคอนเทนต์เลยนะ คือผมทำคอนเทนต์ชื่อรายการว่า No.5 Bar Nano Concert ก็เหมือน Live สดจากบาร์ เชิญศิลปินมาเล่น แล้วก็เชิญแฟนคลับมาดู ไม่เกิน 30 คน เป็นนาโนคอนเสิร์ต ก็คิดว่ามันจะดี แม่ง วันนั้นตอน Live สด คนดูอยู่ 76 คน โอ้โห… เหี้ย พอจบรายการ เก็บของ เชิญแขกกลับนะ ผมปิดประตูร้องไห้เลย ปิดประตูร้องไห้!

คือแบบ…เชี่ย ผมทำอะไรไม่ถูกเลย แล้วศิลปินที่เชิญมาเนี่ย เพลงมันสองร้อยล้านวิวนะ! ไม่ใช่ไอ้หมาไอ้หมูที่ไหน แล้วแม่ง…มันมีอะไรผิดตรงไหนเนี่ย ก็เลยร้องไห้ จากวันนั้นไม่กี่วัน ก็เลยเปลี่ยนความคิดว่าจะทำคอนเทนต์ที่มันดีต่อผู้คนได้ยังไง นั่นแหละคือจุดต่ำสุดเลย ผมก็เลยตอบว่าแม่งยิ่งกว่าลังเล ยิ่งกว่าอะไรอีก คือแบบว่า มันเจ๊งในเจ๊งในเจ๊งน่ะ

น้ารู้สึกบ้างไหมว่าระหว่างคนดูทีวีที่เป็นแฟนรายการน้า กับคนในออนไลน์อาจจะไม่ใช่คนเดียวกัน

โคตรรู้สึกเลยฮะ แล้วก็ไม่เคยเข้าใจด้วย แล้วพอได้คำตอบแล้ว นี่มันคือกุญแจดอกสำคัญเลย ที่จะไขอะไรก็ได้ คือพฤติกรรมของคนในออนไลน์เนี่ย ผมยกตัวอย่างแบบนี้ครับ สมัยทำรายการทีวีเนี่ย เปิดมามีไตเติลรายการเสร็จ แล้วก็ปรบมือเฮ้ ภาพซูมมา “สวัสดีครับท่านผู้ชม พบกับรายการ Take Me Out Thailand…” นี่มันคือท่ามาตรฐานที่เราทำกันมาตั้งแต่โลกนี้มีทีวี แล้วตลอดอาชีพผม ผมก็ทำแบบนี้มา ซึ่งพอมาทำออนไลน์ ผมพบว่ามันผิดเว้ย ผิด! คือหนึ่ง คนอยากดูออนไลน์เพราะว่าคนไม่อยากดูทีวี ถ้าแม่งมีรูปแบบเหมือนกับทีวี แปลว่า ไอ้เหี้ย กูหนี นั่นคือข้อหนึ่ง มึงมีไตเติลมา ปรบมือ ภาพซูม… เหี้ย! ก็กูเพิ่งหนีมาจากทีวี! กูไม่ดู กูออกเลย กับสอง ถ้าเกิดคนที่ดูรายการผมเขาอายุสิบห้า เขาก็จะรู้สึกว่า จะมาไหว้กูทำไมวะ คุณเข้าใจความหมายมั้ยฮะ เขามีความรู้สึกว่าผมไม่ได้พูดกับเขาน่ะ

เพราะว่าออนไลน์มันคือ Individual ตัวต่อตัว ทีวีคือการพูดกับใครก็ไม่รู้ เป็นหมู่มวล สาดไปกลาง ๆ ก่อน ระดับทุกชนชั้นอาจจะกำลังดูอยู่ แต่ออนไลน์เนี่ย เรารู้เลยว่าใครดูอยู่ จากคอมเมนต์เราสามารถสืบค้นได้เลยว่ามึงกำลังรีดผ้า กำลังขายก๋วยเตี๋ยวแล้วดูกูอยู่ เรารู้แม้กระทั่งชื่ออะไร เราเข้าไปดูเฟซบุ๊กของมันอีกทีก็ได้ เพราะฉะนั้น การสื่อสารมันคือหนึ่งต่อหนึ่ง ผมจะต้องทำให้เขารู้สึกว่าผมกำลังพูดกับเขา เปิดมาก็

“น้อง ๆ พี่มาแล้ว…”

นี่ไง นี่คือความต่างมาก ซึ่งผมไม่เคยเข้าใจเว้ย ตอนผมออนไลน์ทำใหม่ ๆ ผมก็สวัสดีครับคุณผู้ชมเหมือนกัน กูว่าละ! ทำไมหนีกูไป คอนเทนต์เมื่อก่อนนี้นะ Live สด กูมีไตเติล! (ร้องเพลงไตเติล) พ้าดัมผั่มพัมพ้าม… ไอ้เหี้ย! กูว่าแล้วทำไมคนไม่เข้าดู นั่นแหละฮะจึงเป็นคำตอบที่ว่าแม่งโคตรต่างเลย

การปรับตัวอะไรแบบนี้มันยากสำหรับน้าไหม

จริง ๆ แล้วผมเป็นคนปรับตัวง่ายมากนะ แต่ผมอยากอธิบายแบบนี้มากกว่าว่า กว่าผมจะเข้าใจ พอผมเข้าใจสิ่งที่ผมเล่าไปเมื่อกี๊ ผมปรับตัวได้ในข้ามวันเลย ไ่ม่ยากเย็นเลย เข้าใจแล้วว่าจะต้องทำยังไง ผมว่าการปรับตัวก็เหมือนดอกกุญแจ มันก็แค่เสียบแล้วหมุนน่ะ แต่ความเข้าใจมันคือการทำให้เราเลือกได้ว่า แม่งดอกไหนวะ สมมติว่ามีแม่กุญแจห้าอัน สำหรับผมการปรับตัวมันง่ายเหมือนหมุนไขกุญแจ แต่ปัญหาคือผมไม่มีความเข้าใจ ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะเสียบอันไหน ก็เลยไขไม่ถูกอันสักที จนผมรู้สึกว่า อ้าว มันแบบนี้นี่เอง ไขได้สบาย

ความรู้สึกแรกตอนน้าเจอกับคนในออนไลน์เป็นอย่างไรบ้าง

มีความแปลกหน้ากันสูงมาก อันนี้คือการอธิบายตามหลักนะฮะ เพราะผมก็ใช้ท่ามาตรฐานแบบ “สวัสดีครับคุณผู้ชม” น่ะ จนผมเข้าใจแล้วว่า “น้อง ๆ พี่มาแล้ว” พอผมรู้ว่าผมพูดกับใครอยู่ ทีนี้ละ มันก็เหมือนคนกันเองจริง ๆ “น้อง ๆ พี่จะบอกมึงแบบนี้…” ทุกคนฟังผมแล้วมีความรู้สึกว่า ผมคุยกับเขาจริง ๆ เจอหน้ากันข้างนอก สนิทสนมกลมเกลียว

พฤติกรรมในการมาทักคนเวลาดูจากทีวีกับออนไลน์ไม่เหมือนกัน มันมีลูกสนิทมากกว่า คนที่มาทักคุณจากทีวีคือ As seen on TV คือเคยเห็นผมในทีวี แต่ถ้ามาจากออนไลน์คือ คุณเป็นน้องของผม

เหมือนที่น้าเคยพูดใช่มั้ยว่า การเป็นพิธีกรบางทีก็ไม่รู้ว่าจะเจอแฟนคลับยังไง แต่พอมาทำออนไลน์แล้ว น้าก็เริ่มเห็นแฟนคลับมากขึ้น ในรายการก็เลยมักจะมีการเปิดจดหมาย เปิดกล่องของขวัญที่แฟนคลับส่งมาให้

คือพอออนไลน์มันมีความอิสระทางเนื้อหา และเราเป็นเจ้าของแชนแนลเอง เราจึงสามารถทำอะไรก็ได้ ทีนี้เนี่ย ในสิ่งที่ผมทำทุกวันก็คือ การแกะกล่องของขวัญ พูดคุย อัปเดตชีวิตกันก่อนเนี่ย มันก็เป็นการสืบเนื่องมาจากเพราะว่าเราผูกพันกับทุกคนแล้ว ทุกคนไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไป

เนี่ย เดี๋ยววันนี้ก็จะต้องมีการโชว์หวยที่โดนแดกมาอ่ะ “ไอ้เชี่ย…พวกมึงแม่งดูของกูเด๊ะ…” อะไรแบบนี้ นึกออกไหม ทุกคนเล่นหวยกันทั้งประเทศ คนที่ดูก็จะบอก “เฮ้ย ไอ้เชี่ย น้าโดนหวยแดกเว้ย!” แต่ในทีวีเราทำไม่ได้ เพราะว่าหนึ่ง เวลามันต้องเป๊ะ ๆๆ แล้ว Live สดจะมาใส่กางเกงขาสั้น แล้วก็ “เฮ้ย พวกมึง…” ไม่ได้ไง  พอเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราสื่อสารกับคนด้วยวิธีไหน อย่างไร เราก็สามารถทำอะไรที่มันเอื้อต่อบริบทนั้น ก็อย่างที่เห็นครับ

มีอะไรในออนไลน์ไหมที่น้ายังรู้สึกปรับตัวไม่ได้ ที่น้าอาจจะรู้สึกว่ามันใหม่จนช็อก แล้วจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ชินสักที

ผมกลับไม่แปลกใจเลยนะครับ ไม่แปลกใจเลย แต่สิ่งที่ผมพยายามเฝ้ามองคือพฤติกรรมของผู้คน ว่ามันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ด้วยการกำเนิดของเครื่องมือใหม่ ๆ ที่มันจะทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป ผมก็เฝ้ามองตรงนั้นแล้วก็ขยับตามอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็สุดท้ายเนี่ย ผมว่าการสื่อสารกับผู้คน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มันเกิดอะไรขึ้นกับผู้คน แล้วผู้คนรู้สึกยังไงบ้าง นั่นแหละครับที่ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญ

น้าหวังว่ารายการออนไลน์ของน้าจะเติบโตได้อีกแค่ไหน

ผมว่าในตัวเลขของคนที่จะดูคอนเทนต์นี้ ผมว่ายังไปได้มากกว่านี้ ตอนนี้มันก็ถูกขังด้วยระบบ ด้วย Algorithm ด้วย Suggestion ที่เฟซบุุ๊กมันกำหนดว่าจะให้เห็นได้แค่เปอร์เซ็นต์เดียว แล้วก็ข้อดึของความเป็นออนไลน์คือ มันเป็นถังอะไรบางอย่างที่ใครเข้ามา ก็สามารถที่จะเข้ามาดูได้เสมอ แล้วคลิปที่มีคนดูเกินล้านวิว มันก็จะมีกลไกอะไรบางอย่างที่มันจะกระจายตัวเอง

ผมว่าในแต่ละวัน วันแล้ววันเล่าที่มันผ่านไป ผมอยากให้มันเป็นไวรัลที่ค่อย ๆ แผ่ออกไป สิ่งที่เรากำลังทำทุกวันนี้คงเป็นน้ำที่อยู่ในมือ พอเราเทลงโต๊ะมันก็จะเป็นวงใช่มั้ยฮะ การที่เราเทลงไปมันก็คือแรงกระเพื่อมจากน้ำใหม่ ๆ ที่เราเททุกวัน ขอบวงน้ำคงเป็นคลิปแรก ๆ หรือคลิปล้านวิว พอยิ่งเราเทน้ำ มันก็จะขยายวงใหญ่ขึ้น ๆ ออกไป ผมเชื่อว่ายังมีโอกาสใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก

ซึ่งตอนนี้น้ำในมือก็คือผมนี่แหละฮะ ไม่ว่าจะเป็นพลังในการทำงาน ความรู้สึกชอบมัน สังขาร หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่าสำคัญตรงที่น้ำในมือต่างหากว่ามันจะเทลงมาได้อีกขนาดไหน แล้วก็ด้วยความที่รู้สึกแบบนี้ สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับผมก็คือการอัปสกิลตัวเอง เพราะว่าวันนี้เนี่ย ผมบอกกับตัวเองว่า มึงจะเอาหน้าที่ไหนไปสอนคน ถ้ามึงยังไม่ดีพอ ถูกไหมฮะ มันก็เลยทำให้ผมทำอะไรใหม่ ๆ เช่นการวิ่ง หรือเคลื่อนไหวเรื่องคนพิการ สิ่งแวดล้อม อัปสกิลตัวเองด้านไอที ซึ่งผมก็มีหนุ่ย พงศ์สุขเป็นเพื่อน แล้วก็ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย กลับมาอ่านหนังสือหนักเหมือนเดิม หัวเตียงผมมีหนังสือประมาณ 30 เล่ม อ่านหมดทุกเล่ม อ่านแม่งพร้อม ๆ กันเลย เพื่อที่จะเพิ่มความรู้ เพื่อให้น้ำในแก้วมันยังเต็มเสมอแล้วก็เทได้วันแล้ววันเล่า

แล้วทำไมต้องเป็นรายการตอบปัญหา หรือที่น้าเรียกแต่เดิมว่า “น้าเน็กพบลูกเพจ” ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมา

มันถูกเริ่มมาอย่างบังเอิญเลยนะครับ คือสุดท้ายพอไม่รู้ว่าจะทำอะไรจริง ๆ ก็สื่อสารกับคนเลย คนดูอยากดูอะไรวะ อ่ะ Live สดกันดื้อ ๆ เลย แต่ผมก็ไม่ได้ถามซื่อ ๆ ขนาดนั้น เพราะผมรู้ว่ามันจะไม่ได้อะไร ผมรู้ว่าจะต้องเสนอในสิ่งที่คนยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการ ผมว่ามันเหนือกว่า ถ้าผมถามว่า ถ้าคุณอยากกินข้าว ผมต้องเปิดร้านข้าวเหรอ ชอบไอทีต้องทำคอนเทนต์ไอทีเหรอ ถ้างั้นผมถามร้อยคน คงได้ร้อยคอนเทนต์น่ะ

ผมก็เลยเปลี่ยนเป็นว่า พยายามค้นหาในสิ่งที่คนยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ โดยการที่ว่าผมก็หลอกล่อว่า อยากคุยอะไรก็โทรมาแล้วกัน กลายเป็นว่ามันเป็นการตัดสินใจผิดเพื่อที่จะมาอยู่มาจุดที่ถูก คือคุยไปคุยมา มันก็ไม่ได้อะไรจริง ๆ นั่นแหละ แต่ว่าทำไม Combination มันดีจังเลย ผมค้นพบว่า เฮ้ย! สองชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย ตอนที่่คุยก็จดชื่อไป มาดูอีกที เชี่ย นี่กูคุยไป 20-30 คนเลยเหรอเนี่ย มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็มี ข้าราชการก็มี นักศึกษาก็มี เฮ้ย แล้วผมก็ดูไอ้สองชั่วโมงนั้นเป็นสิบ ๆ รอบ เพื่อหาว่ามันดียังไง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562

หลังจากนั้น 13 เมษายน ผมเลือกช่วงเวลาสองทุ่มแบบพีค ๆ เลย คนบอกเลยว่า เฮ้ย วันหยุดคนไปเที่ยวกัน ใครจะไปดูวะ โน่นนี่ ผมก็ Live เลย เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเป็น 3-4 ชั่วโมง แม่ง เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ผมก็เลยคิดว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราจะทำกัน แล้วก็ให้ชื่อมันว่า #อย่าหาว่าน้าสอน

แล้วมันมาลงตัวที่ 5 ชั่วโมงเหมือนอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง

คือพอได้คอนเทนต์แล้ว ที่เหลือมันก็เป็นเรื่องของการ Develop แล้วล่ะครับ เราได้สูตรอาหารแล้ว อร่อยถูกปากแน่ ๆ แต่จะเสิร์ฟยังไงล่ะ เสิร์ฟเป็นคอร์สมั้ย Pairing กับอะไร Portion เล็กหรือใหญ่ กี่เมนู อะไรประมาณนี้ มันเริ่มเป็นการตกแต่ง แล้วเราพบว่า 5 ชั่วโมงมันเป็น Long Distance ที่ยังไม่มีใครเคยทำ พูดให้ใครฟังก็พูดว่า เหี้ย! จัดรายการเข้าไปได้ยังไงวะ 5ชั่วโมง ผมมีความรู้สึกว่า ถ้ามันดีพอ คอนเทนต์นี้มันก็ควรจะ Long Distance ถูกไหมฮะ เพื่อที่จะได้ฟุตเทจ มันเป็นการถ่ายทอดสดที่ได้ฟุตเทจเอามาตัดเป็นคลิปได้อีก ห้าชั่วโมงจึงเป็นช่วงเวลาที่กำลังสวย

แล้วผมมีความรู้สึกว่า ผมกำลังสร้างช่วงเวลาใหม่ในการออนไลน์ คือการ Live 5 ชั่วโมง ซึ่งมันยังไม่เคยเกิดขึ้น ปกติคนจะรู้สึกว่ามันแป๊บ ๆ คนจะเชื่อว่าเวลาทำอะไรในออนไลน์ต้องอย่านาน คลิปต้องสั้นโน่นนี่ ผมว่าไม่จริง ผมเถียงใจขาด เพราะว่าอะไรที่มีความสุข เวลาแม่งจะผ่านไปเร็วเสมอ 5 ชั่วโมงจึงไม่เลวเลย แล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในแง่นี้ เราคำนวณถูกว่ะ แล้วสิ่งที่พิเศษที่สุดก็คือ 5 ชั่วโมงนั้นเมื่อมันกลายเป็นคลิป เราก็แค่แปะมันว่าพอดแคสต์ พอแปะมันว่าพอดแคสต์ เราจะรู้เลยว่าจะใช้มันยังไง ขับรถทางไกล นั่งทำอะไรนาน ๆ บางคนนั่งเย็บผ้าก็เปิดฟังตัวที่เป็นฟุตเตจห้าชั่วโมง บางคนขับรถไกล ๆ ต่างจังหวัดก็เปิดฟัง เราก็เลยได้คอนเทนต์ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของคนหลาย ๆ กลุ่ม เห็นไหมว่าพอมันถูกปุ๊บ มันจะโยงใยเป็น Circle มันครบวงจรของมันจริง ๆ

แต่เอาจริง ๆ รายการตอบปัญหามันก็ไม่ใช่ของใหม่ น้าคิดว่า #อย่าหาว่าน้าสอน แตกต่างจากรายการตอบปัญหาที่เคยมีมายังไงบ้าง

ถ้าเราคิดในแง่ใหม่เก่า แล้วถ้าเราเชื่อว่าแบบนั้นดี เราก็จะเค้นสมองเพื่อสร้างของใหม่ เพื่อจะลุ้นว่ามันดีหรือเปล่า แต่ว่าคอนเทนต์นี้ผมไม่ได้คิดบนพื้นฐานที่อยากจะสร้างของใหม่ที่โลกนี้ไม่เคยมีนะฮะ แต่ผมคิดอย่างเดียวเลยก็คือ ผมคิดลึกลงไปอีกว่า ทำไมต้องเกิดของใหม่วะ ของใหม่มันน่าสนใจยังไง 90% ของสิ่งที่เรียกว่าของใหม่บนโลกใบนี้ เหตุผลในการเกิดมันเป็นเหตุผลเดียวกันคือการแก้ปัญหา ผมเลยมีความรู้สึกว่า เชี่ย แทนที่จะทำของใหม่ ไม่ต้อง! กูกระโดดข้ามหัวเลย กูไปทำของแก้ปัญหาดีกว่า รายการนี้เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาคน

Pain point ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มันไม่มีของใหม่แล้ว มีแต่ของแก้ปัญหา มันจึงต้องเป็นอะไรบางอย่างที่แน่นอนมันก็คือ Brand new นั่นแหละ แต่มันเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา #อย่าหาว่าน้าสอน เป็นคอนเทนต์แก้ปัญหา แก้ปัญหาตรง ๆ เลยก็คือปัญหาชีวิต ซึ่งมันไม่ใช่ของใหม่ แต่อะไรที่มันเป็นการแก้ปัญหาให้กับผู้คน มันจะได้รับความนิยมเสมอ คนจึงชอบมันไม่ใช่เพราะว่ามันใหม่ แต่เพราะว่ามันแก้ปัญหา แล้วมันก็แตกต่างจากการตอบปัญหาที่ประเทศนี้เคยมีมา

เท่าที่ดูน้าตอบปัญหาใน #อย่าหาว่าน้าสอน มันก็จะมีปัญหามากมายครอบจักรวาลอยู่เหมือนกัน น้ามีหลักการหรือมีวิธีคิดในการตอบปัญหายังไงบ้าง ว่าคำถามไหนควรจะตอบยังไง

ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าเรื่องไหนควรจะต้องตอบแบบไหน คนมักสงสัยว่าทำไมผมตอบได้ทุกเรื่องวะ แล้วคนดูก็จะอเมซี่งในความที่ ถามเหี้ยอะไรผมก็ตอบได้ พร้อม ๆ กับลุ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าน้าจะตอบยังไง มันกลายเป็น Challenge แล้วว่า ดูสิน้ามึงจะตอบยังไง มันกลายเป็นแบบนี้แล้ว

เพราะว่าสิ่งที่ผมทำเนี่ย เอาจริง ๆ แล้ว ผมว่าผมไม่ได้ตอบอะไรนะ ผมแค่รับมือกับความไม่มีความสุขของผู้คน ผ่านประเด็น ผ่านการพูดคุยสนทนา แล้วผมก็แค่ฟังอย่างใช้สมาธิและหัวสมอง และจัดเรียงมัน เอามาจัดเรียง เสร็จปุ๊บเมื่อจบ ผมเอาสิ่งที่ผมจัดเรียงกลับไปให้เขา แล้วเรื่องไหนที่มันต้องการทางออก พอเมื่อเอามาจัดเรียง A-B-C อะไรก็ตามที่ถูกจัดเรียง เราจะเห็นเลยว่าอะไรมันยาวกว่า อะไรสั้นกว่า อะไรเด่นกว่า ด้อยกว่า อะไรเล็กกว่า อะไรใหญ่กว่า เกิดเป็นทางเลือกต่าง ๆ มากมาย แล้วบอกเขา ส่วนเขาจะเลือกเดินทางไหน จะทำอย่างไรในปัญหานั้น ต้องแล้วแต่เขาตัดสินใจ แต่ผมแค่สรุปชีวิตของเขาให้เขาฟัง เขาต้องการแค่นี้จริง ๆ ครับ เขาต้องการแค่นี้จริง ๆ

หรือบางสาย ไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากพูดมันออกมา อาจารย์ของผมคืออาจารย์อ้อย (พี่อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล) สอนผมไว้เลยว่า หัวใจหลักของการตอบปัญหาคือการฟัง เห็นไหมฮะ ตอบปัญหานี่คือปากตอบนะ แต่หัวใจหลักคือการฟัง การใช้หูฟัง เมื่อฟังอย่างตั้งใจก็จะเรียบเรียงได้ บางคนเขาต้องการเห็นภาพของตัวเอง บางคนเขามายังไงก็ไม่รู้ เขาแค่ต้องการไดเร็กชันบางอย่างว่า เหี้ย เขาต้องการดูว่าเขาผิดพลาดมายังไงตรงไหนในชีวิตของเขา

และที่สำคัญก็คือว่า ในคนรุ่นใหม่เนี่ย จะขาดอยู่ 3 เรื่อง ไม่ว่าจะโทรมาเรื่องอะไร จะมีอยู่ 3เรื่องนี้ หนึ่ง อ่อนประสบการณ์ แน่นอน ว่าเขาไม่ได้ เพราะเขายังเด็ก สอง รูปแบบความคิด แน่นอน ด้วยความอายุน้อย ด้วยความที่ไม่มีชุดข้อมูล รูปแบบชีวิตจึงไม่มี และสุดท้ายก็เลยไม่รู้วิธีการแก้ปัญหา ทุกสายจะต้องมีองค์ประกอบนี้เสมอ แล้วผมก็ต้องรับมือกับ 3เรื่องนี้ มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมตอบได้ทุกเรื่อง

แต่ถ้าเกิดว่าบางเรื่องผมมีอินไซด์ มันก็จะทำให้เรื่องนั้นมีเสน่ห์เข้าไปอีก เพราะบางคนถามเรื่องว่าที่บ้านมีกิจการทำฟาร์มไก่ใช่ไหม แล้วผมเสือกรู้เรื่องนั้นพอดี มันก็จะทำให้สายนั้นมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก เพราะว่าผมเข้าใจเขาจริง ๆ อะไรแบบนั้นครับ

แล้วทำไมน้าจะต้องตอบคำถามทุกคำถาม ไม่มีการให้ทีมงานสกรีนหรือคัดคำถามมาตอบก่อน

ผมว่าเสน่ห์ของ #อย่าหาว่าน้าสอน คือการที่ทุกคนรู้สึกว่า กูมีสิทธิ์โทรมา ขอแค่โทรติด กูจะได้คุยกับน้า แล้วน้าก็จะตอบกู ไม่ว่าเรื่องมันจะงี่เง่าเต่าตุ่นแค่ไหนก็ตาม อันนี้ในแง่ของคนที่พยายามโทรนะฮะ ส่วนในแง่คนดู ผมมีความรู้สึกว่า คุณว่าทำไมคนนั่งดู Live สด 5ชั่วโมงเพื่อดูเรื่องชีวิตของคนอื่น คุณว่าเขาดูอะไร หนึ่ง เขาก็ฟังเรื่องราวของผู้คนตามสัญชาตญาณขี้เสือก สอง เขาก็อยากจะรู้ว่าคนที่โทรมาปกติชีวิตมึงเป็นยังไงบ้าง สาม จะดูสิว่าไอ้หนวดมันจะตอบยังไง และสี่ ถ้าเรื่องบางเรื่องมันตรงกับเรื่องที่เขาสนใจหรือมีปัญหาอยู่พอดี ก็จะได้ Join คำตอบนั้นไปด้วยกัน มันเป็นเสน่ห์

ผมมีความรู้สึกว่า เราจะไปคัดกรองสายนั้นเพื่ออะไร ถ้าเราจะพยายามจินตนาการเพื่อความสมบูรณ์แบบ เช่น มันควรจะมีเรื่องหลากหลาย ทุกเพศทุกวัยโน่นนี่ ผมว่าไม่ใช่ ถ้าวันนี้จะมีแต่เรื่องลืมแฟนเก่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันก็จะกลายเป็น เชี่ย! ค่ำคืนนี้แม่งเป็นเหี้ยอะไรวะ ทำไมมีแต่เรื่องลืมแฟนเก่าไม่ได้ มันก็จะเป็น Tonight’s the Night จะกลายเป็น Happening อะไรบางอย่างเฉพาะคืนนั้น ถ้าคุณคิดในแง่ว่าจะดีไซน์ว่า มีคนกรองหน่อยแล้วกัน ผมว่าคุณถวิลหาความสมบูรณ์ในสิ่งที่มันไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกนี้คือความไม่สมบูรณ์แบบ ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะฉะนั้นปล่อยเซอร์เลย มึงอยากโทรก็โทรมา

น้าเคยรู้สึกไหมว่าบางคำถามที่คนโทรมา บางทีอาจจะไม่ต้องตอบก็ได้ หรือจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องให้คำตอบกับพวกเขาเสมอ

ผมจำเป็นจะต้องทำอะไรสักอย่างกับทุกสายที่โทรมา บางเรื่องผมก็บอกเลย เฮ้ย โอเค ถือว่าพี่ไม่มีคำตอบแล้วกัน ถือว่ามึงก็ได้ทำในสิ่งที่มึงทำสำเร็จแล้ว ก็คือการพูดเรื่องนี้ให้ใครสักคนได้ฟัง ให้เราทุกคนที่อยู่ในออนไลน์ได้ฟัง เนี่ย ก็อาจจะรับมือแค่นี้แหละครับ

น้ารู้สึกมั่นใจในคำตอบของตัวเองบ้างไหม หรือมีคำถามไหนไหมที่น้ารู้สึกว่าลังเล ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี

เอางี้ ผมว่าผมรับผิดชอบในทุกคำตอบของผม ด้วยชีวิต ด้วยเกียรติยศ ด้วยชื่อเสียง และด้วยความเป็นผมทั้งหมด ผมรับผิดชอบมัน ผมกล้ารับผิดชอบทุกคำตอบของผม ไม่ว่ามันจะพาคนไปในทางดีหรือเลวก็ตาม เพราะผมเชื่อว่า ผมได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด ณ สติปัญญาของผมในโมเมนต์นั้น แล้วมันก็จะมีฟิวส์ตัดกระแสของเรา คือหนึ่ง เราจะเอาแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตอบแบบไม่ชี้นำ ไม่บงการ ไม่สั่งการ ไม่ Convince ไม่เกลี้ยกล่อมให้คนทำอะไรแบบที่เราเชื่อว่าดี เราจะทำอย่างเดียวคือเราจะให้ทางเลือกของเขา ถ้าเรื่องยิ่งยาก ทางเลือกต้องเยอะหน่อย

แ่ต่เรื่องบางเรื่องจริง ๆ มันก็มีความเฉพาะด้าน เช่นคุณโทรมาหาผม คุณมีปัญหาเรื่องคดีความ เฮ้ย เรื่องนี้แม่งต้องฟ้องร้องว่ะ เพราะว่าผู้หญิงโดนแฟนแอบซ่อนกล้องในห้องตอนมีอะไรกัน พอเลิกกันก็เอาคลิปนี้มาขู่ ถ้าเป็นแบบนี้ เฮ้ย เรื่องนี้พี่ไม่มีคำตอบ ทำคดีกันดีกว่า เดี๋ยวผมเชื่อมต่อให้คุณคุยกับ ดร.มนต์ชัย ทนายแก้วเลย หรือเฮ้ย เรื่องนี้เป็นเรื่องการเงินว่ะ เดี๋ยวพี่แนะนำให้มึงคุยกับหนุ่ม The Money Coach ส่งเคสต่อไป อะไรแบบนั้นครับ ผมถึงบอกว่า ผมรับผิดชอบกับทุกคำตอบ

แต่มันก็จะเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวน้าไหม เพราะว่าสุดท้ายน้าก็อาจจะต้องรับผิดชอบคนที่เกิดอะไรแบบนี้พร้อมกันหลาย ๆ เคส

ตราบใดที่เขาโทรติด และเราได้คุยกันในเวทีนี้นะครับ มีคนที่เดินมาคุยกับผมริมถนนก็มี บางคน Inbox มา Direct Message มา อันนี้ผมถือว่านอกเวที ถือว่านอกเวลางาน พี่เข้างานทุกวันเสาร์ หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืน นี่คือเวลาราชการของพี่ มีเหี้ยอะไรก็มาบอกกันตอนนี้

ในเมื่อจะต้องรับผิดชอบขนาดนี้ มีเหนื่อย ๆ หรือว่ารู้สึกว่ามันยากเกินไปแล้วบ้างไหม

โชคดีที่ผมฝึกฝนเรื่องนี้มาทั้งชีวิตนะฮะ เพราะว่าการที่คุณมีชื่อเสียง คุณก็ต้องฝึกฝนในการรับผิดชอบความรู้สึกของผู้คนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว อันเนื่องมาจากความเป็นบุคคลสาธารณะของคุณนั่นแหละ โชคดีที่ผมทำงานนี้มายี่สิบกว่าปี โอเค มาวันนี้คอนเทนต์มันถึงเนื้อถึงตัวกันมากขึ้น ผมก็ถือว่าโอเค วัยก็ได้แล้ว ผ่านโลกมามาก ข้อมูลข่าวสาร คอนเน็กชัน ตำรับตำรา ประสบการณ์ที่สั่งสมมา วันนี้ตอนที่ผมอายุ 51 มันก็ตกตะกอนพอดี แล้วเราก็ฝึกตัวเองมาตลอด 20 ปีในการเป็นบุคคลสาธารณะ ในการรับผิดชอบต่อความรู้สึกของผู้คน ออกไปเจอคนก็ต้อง “สวัสดีครับ ถ่ายรูปเหรอครับ ขอลายเซ็นเหรอครับ ได้ครับ…” โน่นนั่นนี่อยู่แล้ว วันนี้ยากขึ้นกว่าเดิมหน่อยหนึ่ง ก็เอาอยู่ครับ

ในการตอบคำถามของน้า น้าเคยรู้สึกลำเอียงบ้างไหม หรือว่าน้าจะต้องพยายามรู้สึกให้เท่า ๆ กันกับทุกคน ทุกคำถามที่โทรสายเข้ามา

คำถามดีมากเลยครับ ผมว่าออนไลน์มันเป็นอะไรที่จริงมาก ๆ เคยได้ยินไหมฮะว่าเวลาคนที่ทำอะไรปึง ๆ ปัง ๆ เราก็จะแซวเขาว่า เฮ้ย เป็นไรวะ อารมณ์ไม่ดี ทะเลาะกับผัวมาแน่ ถ้าบาริสต้าร้านกาแฟปึง ๆ ปัง ๆ หน้าหงิก ๆ เราก็จะรู้สึกว่า อีนี่แม่งผัวเอาไม่เสร็จ เมนส์ไม่มา หรือว่ามึงเป็นอะไรกันแน่ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเขามันก็จะสะท้อนมาที่หน้าที่การงาน เวลาที่ผมทำทีวีเนี่ย ไม่ว่าจะพ่อตายก็ตาม แต่หน้าที่ของคุณคือ ต้องตลก คุณก็ต้องตลก! คุณจะมาบอกผู้ชมว่า (เสียงอ่อย ๆ) “คุณผู้ชมครับ พ่อผมเสีย…” ไม่ได้ไง แต่ในออนไลน์คุณทำได้ครับ

มันมีวันที่ผมรู้สึกดิ่งมาก กลุ้มใจ รู้สึกเสึยใจผิดหวังกับอะไรบางอย่าง ผมเรียกมันว่ามันเป็นวันที่อารมณ์ตุ่น ๆ ผมจัดรายการเนี่ย ผมก็ตอบปัญหาแบบตุ่น ๆ เลย ผมก็บอกคนดูของผมว่า “เฮ้ย ถ้าเป็นทีวีเมื่อก่อน พี่แสดงได้นะ พี่ตลกเฮฮาเหมือนเดิมได้นะ แต่นี่อุตส่าห์เป็นออนไลน์ แล้วเราอุตส่าห์เป็นพี่น้องกัน พี่ขอไม่แสดงได้มั้ยวะ วันนี้พี่อารมณ์ไม่ดี วันนี้พี่อารมณ์ตุ่น ๆ ว่ะ พวกมึงยังอยากจะดูมั้ยวะ เพราะว่ามึงก็จะเห็นหน้ากู กับเสียงตุ่น ๆ ของกูเนี่ย ห้าชั่วโมงเลยนะ พวกมึงจะเอามั้ยวะ หรือกูควรจะเลิก Live แล้วกลับไปนอน หรืออยากจะให้กูแสดงก็ได้นะ พวกมึงจะเอายังไง” แล้วทุกคนก็โอบกอดผมด้วยคอมเมนต์ ด้วยกำลังใจมากมายว่า “น้า ตุ่น ๆ ไปด้วยกัน อยู่ไปด้วยกัน”

มันจะมีอยู่ EP. หนึ่ง แล้วปรากฏว่าด้วยความที่อารมณ์เศร้า ๆ แล้วมีอยู่สายหนึ่ง ถามเรื่องแม่เสีย ผมก็เลยแชร์ประสบการณ์เรื่องพ่อตาย ผมร้องไห้ชิบหายวายวอดเลย ร้องไห้! คนดูคลิปนั้นไปสามล้าน พอผมมาดูคลิปนี้ ผมมีความรู้สึกว่า เออ ผมมีความสุขจัง ไม่ใช่ว่ามีความสุขเพราะว่าผมได้ตุ่น ๆ นะ แต่มีความสุขที่ว่า เออ! เราสามารถเป็นตัวของเราได้จริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องพยายามเป็นอะไรเลย นั่นหมายความว่า ถ้าวันไหนผมไม่สบาย แข้งขาหัก แค่แบกผมขึ้นไปชั้นสองให้ได้ หรือเอาระบบไป Live แล้วผมก็จะ (เสียงป่วย) “วันนี้พี่ขาหัก พี่ก็ดูแลมึงไหว ปากพี่ไม่ได้เป็นใบ้…” อะไรแบบนี้ก็ได้

สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อก็คือว่า มันไม่ได้สำคัญว่าคุณจะโทรมาเรื่องอะไร มันไม่ได้สำคัญว่ามีคำถามไหนแม่งยากสุดหรือง่ายสุด อะไรไม่ควรเป็นคำถาม หรือเรื่องบ้าบอปัญญาอ่อน เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราสามารถทำงานนี้ได้ในทุกสภาวะ แล้วเราก็รับมือกับมันได้ดีที่สุด ณ โมเมนต์ที่เราเป็นในตอนนั้น

จริง ๆ เมื่อเช้านี้ก่อนจะมาสัมภาษณ์ ก็เพิ่งดูคลิปของน้าใน YouTube แล้วไปเจอคอมเมนต์หนึ่งบอกว่า “จริง ๆ แล้วน้าเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เพราะว่าต้องรับฟังปัญหาของคนมากมาย” น้ารู้สึกยังไง หรือมีความรู้สึกสงสารตัวเองบ้างหรือเปล่า

(พูดทันที) ผมขอบคุณที่เขารู้สึกสงสารผมนะ แต่ผมก็แค่อยากบอกว่า ผมไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นหรอก แต่ผมดีใจที่มีคนสงสารผมนะ เหมือนแบบ “เหี้ย กูสงสารมึงจังเลย มึงยืนตากแดดเนี่ย สงสารมึงจังเลย หาน้ำให้มึงกิน เป็นกำลังใจให้มึงนะ” เฮ้ย ผมดีใจ แต่ผมว่าผมยืนไหว ผมเลือกที่จะมายืนเอง ผมไม่ร้อนด้วย นึกออกไหมฮะ ผมดีใจมากที่มีคนสงสารผม

แต่ผมไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นหรอกครับ ผมเอาอยู่

มีคำถามไหนไหมที่แม้ว่าน้ากำลังจะตอบคนอื่น แต่ก็เหมือนว่าได้กลับมาตอบคำถามกับตัวน้าเองด้วย

คำถามนี้ดีมากเลยครับ หลายครั้งที่ผมสอนคนอื่น พร้อม ๆ กับที่ผมสอนตัวเองนะ เวลาผมเห็นอะไรดี ๆ ผมก็จะมาเล่าให้ผู้คนฟัง พร้อม ๆ กับการพยายามจะทำแบบนั้นให้ได้เหมือนกัน อย่างล่าสุดผมได้ยินคำหนึ่ง ในหนังสือชื่อว่า The Hard Thing About Hard Things มีอยู่คำหนึ่ง เขาบอกว่า ถ้าจะต้องกินขี้ก็อย่าเล็ม

คำนี้หมายความว่า แน่นอนว่ามีเรื่องที่มึงอยากทำและไม่อยากทำ แต่ถ้ามึงต้องทำ ก็ทำให้มันเต็มที่ เพราะเราไม่อยากกินขี้อยู่แล้วฮะ ถ้าสมมติว่าเราจะต้องกินขี้ สิ่งที่คุณจะทำคือคุณจะ แหวะ! (ทำท่ารังเกียจ) นึกออกไหมครับ ถ้างั้นก็ใส่ปาก เคี้ยวกลืน! เนี่ย ผมชอบคำนี้จัง ผมก็เอามาเล่าให้ผู้คนฟัง พร้อมทั้งสอนตัวเองด้วย

น้ารู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องเสียไปไหมจากการทำ #อย่าหาว่าน้าสอน

ไม่มีอะไรต้องเสียเลยฮะ เพราะว่าหนึ่ง ผมอุทิศชีวิตให้กับงาน 95% มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นี่ก็ถือว่ายังอยู่ใน 95% ของผม มันแค่เปลี่ยนรูปแบบ แล้วก็ ถ้าเทียบเวลาการทำงาน สัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง กับรายได้ที่ผมได้จากเรื่องนี้ โอ้โห ผมใช้คำว่าโคตรของโคตรของคำว่าเกินคุ้มแล้วครับ แต่ว่าเงินทองสำหรับผมไม่สำคัญเท่ากับว่า ที่ผ่านมาน้าเน็กได้รับความรักเอ็นดู สนุกสนานในแง่ของความตลก

แต่วันนี้ผมได้สิ่งที่มีค่าที่สุดเลย คือความเชื่อใจ ผู้คนเชื่อใจผม เชื่อใจ โทรมาพูดเรื่องของเขา มันยิ่งต้องใช้ความเชื่อใจมาก ฟังผม ทำตามผม ผมก็เลยรู้สึกว่า เชี่ย นี่มันยิ่งใหญ่ชิบหาย ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่กว่าความรักอีก ไม่ต้องมายกป้ายไฟ ไม่ต้องมาแห่มารับกูที่สนามบินก็ได้ แต่มึงเชื่อใจกู มันยิ่งใหญ่มาก ซึ่งมันไม่ใช่ทุกคนในบรรดาคนมีชื่อเสียงที่จะได้รับมัน และผมได้มัน นั่นจึงทำให้ผมไม่เสียอะไรเลย ผมแม่งมีแต่ได้กับได้กับได้จริง ๆ

แสดงว่าน้ารักรายการนี้ใช่ไหม

(ตอบทันที) รักมาก ๆๆ ผมรักในสิ่งที่ผมทำในออนไลน์ทุกอัน

มีความคิดว่าจะเลิกบ้างไหม เพราะสุดท้ายพอน้ายืนหนึ่งในหลาย ๆ รายการ หรือแม้แต่ #อย่าหาว่าน้าสอน ก็ตาม ก็น่าจะต้องมีจุดไหนสักจุดที่น้ารู้สึกว่าต้องพอสักที

(ตอบทันที) แน่นอน ใช่ครับ ผมเข้าใจกฎธรรมชาตินี้ดีว่า ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ และผมก็หวังว่า ในวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผมจะทำมันได้ดีที่สุดเหมือนทุกครั้งเช่นเคย ในทีวีเนี่ย ผมพูดกับลูกค้า ผมพูดกับทุกคนที่จ้างผม ผมบอกเลยนะว่า ชื่อน้าเน็กเนี่ย เคยทำให้ใครผิดหวังสักครั้งในทีวีหรือยังครับ ผมแม่งกร่างมาก เพราะผมรู้สึกว่าผมแน่นอนมาก ล่าสุดมีรายการมา ผมบอกเลย เรตติงไม่ถึง 2.5 ไล่ผมออกเลยนะ ตอนนี้ผมรับค่าตัวเท่านี้ แต่ถ้ามันถึง คุณกล้าพนันกับผมมั้ยล่ะ เพราะผมมั่นใจมาก

แต่พอมาเป็นออนไลน์นะ มาถึงปุ๊บผมตายเลยนะตอนแรก แล้วต่อมาผมก็ปรับตัวได้ และถ้าในอนาคตรูปแบบการทำงานของผมจะไม่ใช่วิธีแบบนี้แล้ว มันจะกลายเป็นอะไรก็ตาม ผมก็ภาวนาให้ผมทำมันได้ดีที่สุด เหมือนกับที่ผมได้คำตอบจากทุกสนามแหละครับ

หรือถ้ารายการยังอยู่ แต่วันหนึ่งน้าอาจจะขอรีไทร์ วันนั้นน้าคิดว่าจะเป็นยังไง หรือได้เล็งใครไหมที่จะมาทำรายการแทน

ในออนไลน์มันอาจจะยากหน่อยฮะ เพราะว่าทุกคอนเทนต์มันออกมาจากตัวตนของผมอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ก็คงจะต้องเป็นวิธีการใหม่ ๆ แหละครับ

น้าคิดว่าปัญหาของคนมันมาจากอะไรบ้าง

ผมว่าผู้คนโดยส่วนใหญ่ขาดสิ่งที่เรียกว่าหลักการของชีวิตครับ หลักการในชีวิตที่ผมยึดถืออยู่เนี่ย มันเรียกว่าอิคิไก เป็นหลักการดำเนินชีวิตของญี่ปุ่นซึ่งผมชอบมาก และเมื่อมองย้อนไป ผมพบว่าผมทำมาโดยตลอดชีวิตจริง ๆ ผมเพิ่งรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอิคิไกนะ แต่ผมก็รู้สึกว่าขอบคุณมากที่ชีวิตกูมีหลักการอะไรรองรับด้วย คือหนึ่ง อยู่กับสิ่งที่รัก สอง ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และสาม มันต้องเลี้ยงตัวได้ และสี่ สำคัญที่สุด คือมันต้องดีกับผู้คน

ถ้าคนเรามีหลักการชีวิต ไม่ต้องอิคิไกก็ได้นะ อะไรก็ได้ เขาจะได้รู้ว่าเขามาจากไหน อยู่ตรงไหน กำลังจะไปไหน ผมว่าคนเราเนี่ย ตั้งแต่เด็กจนโต ทำในสิ่งที่กูก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกัน เพราะว่าไม่แน่ใจว่ากูมาจากไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ เรียนในสิ่งที่ไม่ได้อยากเรียน เรียนจบก็ไม่ได้อยากทำงานที่อยากจะทำ มันเป็นแบบนี้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ อ่ะ กูเจอไอ้เหี้ยนี่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย สุดท้ายอาจจะแต่งงาน พร้อมไม่พร้อมก็ไม่รู้ ก็ด้นกันมาเรื่อย นั่นแหละ พอมันไม่มีไดเร็กชัน มันก็จะมีปัญหา ผู้คนขาดสิ่งเหล่านี้นี่แหละครับ

แล้วถ้าสมมติว่าผู้ชายที่ชื่อเกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ได้มีโอกาสโทรเข้าไปถามน้าเน็กในรายการ #อย่าหาว่าน้าสอน น้าอยากถามคำถามอะไรกับน้าเน็กคนนั้นบ้าง

สิ่งที่ผมสงสัยตัวเองมาตลอดนะฮะ ผมตั้งคำถามกับตัวเองทุกเมื่อเชื่อวันว่า สิ่งที่ผมเป็นทุก ๆ อย่าง มันจะดีกว่านี้ได้ยังไง ผมก็คงถามน้าเน็ก ว่าเออ มีวิธีอะไรจะแนะนำผมไหมว่าผมจะสามารถทำให้ตัวเองดีขึ้นได้กว่านี้ในทุกทาง ผมก็พยายามใช้ชีวิตแบบนั้นด้วยการทำสิ่งที่มันดีขึ้นเรื่อย ๆ เท่าที่ผมรับผิดชอบไหว อย่างน้อย ๆ งานผมก็อยากให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือเรื่องสุขภาพร่างกาย ความสัมพันธ์ต่อผู้คน การบริหารจัดการเวลา หรือวินัยอะไรต่าง ๆ ผมก็พยายามทำ ศึกษาหาความรู้อยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีวิธีไหนอีก

พอมันอยู่บนคำถามว่าจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร ก็มีคำตอบมากมายให้ผมต้องออกตามหามันนะครับ

เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ น้าก็กำลังจะมี “NuiNakeTechTalk Restage ฮาแบบน้า สาระแบบหนุ่ย (แบบทุกภาคส่วน)” และ “NuiNakeTechTalk Season 2” อยากย้อนถามน้าใน NuiNakeTechTalk ครั้งที่แล้วหน่อยว่า ในงานครั้งที่แล้ว มีเนื้อหาไอทีเรื่องไหนที่น้าสนใจมากที่สุด

ผมจำได้ทุกเรื่องเลยว่ะ นั่นคือข้อดี ผมจำได้ทุกเรื่องเลย ถ้าเกิดจะอธิบายตลก ๆ ก็คือ เพราะว่าผมฟังมาหลายรอบน่ะ แต่บนความตลกนั้น สิ่งที่ไม่ตลกก็คือผมจำได้ตั้งแต่รอบแรกแล้ว มันเป็นเรื่องที่ผมอยากจะดีขึ้นด้วย เพราะว่าความรู้เรื่องไอทีผมต่ำมาก แล้วโชคดีที่หนุ่ยมีวิธีการนำเสนอมันแบบเข้าใจง่ายด้วย

มีเทคโนโลยีไหนใน NuiNakeTechTalk ที่น้าสนใจเป็นพิเศษบ้างไหม

ผมเริ่มมอง ๆ เรื่องรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมัน เพราะผมมีความรู้สึกว่า อากาศที่เราสูดเข้าไปมันเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ แล้วทุกวันนี้การใช้เชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์เนี่ย มันสร้างปัญหามาถึงจุดที่สุดของมันแล้ว แย่กว่านี้เราจะอยู่ไม่ได้แล้ว

ใน “NuiNakeTechTalk Restage” และ “NuiNakeTechTalk Season 2” จะมีอะไรน่าสนใจใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง

เอาจริง ๆ แล้วนะฮะ เนื้อหาใน NuiNakeTechTalk  ก็ต้องว่าตามหนุ่ย แล้วก็ผมเองซะอีกที่รอลุ้นว่าหนุ่ยจะพูดเรื่องอะไร ผมเหมือนเป็นผู้ฟังอีกคน เพราะว่าหน้าที่ของแต่ละคนบนเวที NuiNakeTechTalk มันถึงกลมกล่อมเพราะว่าหน้าที่ของมันก็คือ ผมคงเป็นตัวแทนของอะไรบางอย่าง ของคนที่มีความรู้ความเข้าใจในระดับชั้นต่ำสุดน่ะ ถ้าคนอย่างผมเข้าใจ ใครก็เข้าใจ มันเหมือนกับว่าหนุ่ยอธิบายแล้วผมก็พยายาม ห๊ะๆๆๆ

แต่ในความเป็นจริง ๆ เราก็ร่วมกันทำการแสดงอยู่ ผมก็ต้องให้อะไรกับคนคือหนึ่ง ถ้าหนุ่ย พงศ์สุขเป็นโอมากาเสะ ผมคงเป็นขิงเอาไว้ตัดเลี่ยนระหว่างคำน่ะ ผมคงเป็นชาร้อนแก้เลี่ยน เป็นขิงระหว่างคำ ผมคงเป็นสาเกเพื่อเปลี่ยนจากเนื้อมาเป็นปลา อะไรแบบนี้ ผมทำหน้าที่นั้นอยู่

นอกจากความจำเป็นในชีวิตประจำวัน น้าคิดว่าทำไมเราจะต้องรู้เรื่องไอที และอะไรคือเหตุผลที่เราจะต้องซื้อบัตรมาดู NuiNakeTechTalk 

วันนี้รอบตัวเราเป็นเรื่องไอทีหมดเลยครับ แล้วเอาจริง ๆ คุณไม่ได้เข้าใจมันสักเท่าไร ในเรื่องที่มันจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและอนาคต ถ้ามันถูกบอกเล่าอย่างเข้าใจง่ายและสนุกสนาน ผมว่า เฮ้ย คุณมีเหตุผลอะไรที่จะพลาดเรื่องพวกนี้ล่ะครับ หรือคุณอยากจะไปอ่านตำราหนา ๆ ล่ะครับ หรือคุณอยากจะไปดูคลิปที่คุณดูแล้วคุณก็หาวล่ะครับ แต่คุณไม่สนใจมันไม่ได้ เพราะมันเบียดรอบ ๆ ตัวคุณอยู่แล้วครับ ผมว่ามันเป็นโอกาสที่ดี

เรื่องบางเรื่องที่คุณไม่สนใจ แล้วไม่เกี่ยวข้องกับคุณเลย

คุณไม่ต้องมาหรอกครับ

แต่ถ้าเรื่องไอที มันโคตรจะเกี่ยวกับคุณเลยครับ

ผมว่ามันเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้มีโอกาสเรียนรู้มันอย่างสนุกสนานด้วย และเข้าใจง่ายด้วย ดีจะตาย

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส