“Itaewon Class” ธุรกิจปิดเกมแค้น คือซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมชมชอบเป็นอย่างสูง ณ ขณะนี้ เล่าเรื่องของ “พัคแซรอย” (พัคซอจุน) เด็กหนุ่มที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายพบความอยุติธรรมทั้งหลายจากอำนาจด้านมืดของผู้มีอิทธิพลในวงการร้านอาหาร จนชีวิตเกือบพังทลายแต่ด้วยความรักและคำสอนของพ่อบวกกับใจที่แข็งแกร่งจึงทำให้พัคแซรอยได้หยัดยืนอีกครั้งและเริ่มต้นทำร้านอาหารของตัวเองเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยน้ำมือของเขาโดยมีบุคคลมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและแซรอยได้โอบกอดเอาไว้คอยเป็นแรงกำลังใจและเชื่อเหลือเขาให้ก้าวไปสู่ชัยชนะที่ปรารถนา เป็นซีรีส์ที่สร้างความประทับใจ มอบกำลังใจและให้ความรู้ไม่เพียงแต่ในด้านของการทำธุรกิจแต่ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เราได้สัมผัสจากซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่านมา
หนังสือ “ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย (The Five Secrets You Must Discover Before You Die)” ของ ดร.จอห์น ไอโซ นักประพันธ์เจ้าของรางวัล นักสร้างวัฒนธรรมองค์กร และนักรณรงค์เพื่อความยั่งยืนของโลก ที่ได้ทำการสัมภาษณ์บุคคลในวัยไม้ใกล้ฝั่งในอเมริกาเหนือหลากเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา ภูมิศาสตร์ และสถานภาพของชีวิต เพื่อตอบคำถามว่าก่อนที่เราจะตาย เราต้องค้นพบอะไรเกี่ยวกับชีวิต จึงจะทำให้ชีวิตนั้นมีความหมายและใช้ชีวิตไปจนตายอย่างมีความสุข อะไรคือความลับของการหาความสุขและดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญา อะไรที่ “สำคัญที่สุด” หากเราอยากใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ที่คุ้มค่า
สุดท้าย ดร.จอห์น ได้ค้นพบกับคำตอบนั้นและได้สรุปออกมาเป็นความลับ 5 ข้อที่จะทำให้เราค้นพบความหมายและใช้ชีวิตไปจนตายอย่างมีความสุข นั่นคือ ซื่อสัตย์กับตัวเอง, อย่าปล่อยให้เสียดาย, ใช้ชีวิตด้วยความรัก, ให้มากกว่ารับ และ อยู่กับปัจจุบัน และหากใครได้ชม Itaewon Class เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าวิธีการ “ใช้ชีวิต” ในแบบของ “พัคแซรอย” เถ้าแก่หนุ่มหัวเกาลัดของเรานั้นสอดคล้องกับความลับ 5 ประการอย่างครบถ้วน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในตอนท้ายเขาจึงกล่าวว่าเขามี “ชีวิตที่มีความสุข” แล้ว
Spoiler Alert !!…บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์
เหมาะสำหรับผู้ที่ดูจบแล้วเท่านั้น
ความลับข้อที่ 1 : ซื่อสัตย์กับตัวเอง
คำว่า “ซื่อสัตย์กับตัวเอง” กับคำว่า “เดินตามหัวใจตัวเอง” นั้นคือสิ่งเดียวกัน มันคือการที่เราซื่อตรงกับสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา การที่เรารู้ว่าเราต้องการอะไร มีจุดมุ่งหมายอะไรในชีวิต เราเป็นใครและทำไมเราถึงมาอยู่ตรงจุดนี้ และที่สำคัญคือการรู้ว่า “อะไรสำคัญต่อชีวิตเรา”
มีคำถามสามข้อที่เราต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เราหลงทางไปจากเป้าหมายหรือหัวใจของตัวเราเอง นั่นคือ
เป้าหมายในเรื่องชีวิตของพัคแซรอยนั้นชัดเจนมาก นั่นคือ ”การแก้แค้นและล้มชางกาให้ได้” เขาใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนี้มาตลอด เขาค่อย ๆ ก้าวเข้าหาความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แซรอยพบกับความสุขที่แท้จริงสักที จนกระทั่ง “โชอีซอ”(คิมดามี) สาวน้อยวัยใสตัวแสบผู้ฉลาดเป็นกรดและรักแซรอยสุดหัวใจได้มาเปลี่ยนชีวิตและหัวใจของเขาไปตลอดกาล และในตอนที่เขาได้รู้หัวใจตัวเองว่าเขารักโชอีซอ พัคแซรอยก็ไม่ลังเลใจที่จะป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ในความรักที่เขามีต่ออีซอ รวมไปถึงคนที่เขาเคยชอบมาอย่างยาวนานอย่าง “โอซูอา”(ควอนนารา) สาวสวยมากความสามารถที่อยู่ในชีวิตของเขามาตลอด พัคแซรอยพร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่ออีซอ แม้กระทั่งการละทิ้งทิฐิมานะที่ถือมานานด้วยการยอมคุกเข่าให้กับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างประธานชางแดฮี (ยูแจมยอง) เพื่อแลกกับการได้ไปช่วยชีวิตอีซอให้ทันเวลา และในตอนที่เขากำลังไปช่วยอีซอ แซรอยได้บอกกับชเวซึงกวอนว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “อีซอคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แม้เขาจะต้องตาย ก็ต้องช่วยอีซอก่อน และ “สิ่งที่สำคัญที่สุด” สิ่งนี้นี่ล่ะคือ “ความสุขที่แท้จริงในชีวิต” ที่พัคแซรอยได้ค้นพบในที่สุด
ความลับข้อที่ 2 อย่าปล่อยให้เสียดาย
เป็นไปได้ว่าเราทุกคนกลัวความเสียดายหรือความเสียใจให้แก่อดีตมากที่สุด กลัวว่าเราอาจมองย้อนไปในชีวิตและนึกอยากทำสิ่งต่าง ๆ ให้ต่างจากเดิม กลัวว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่เท่าที่ทำได้ กลัวว่าจะถึงบั้นปลายชีวิตโดยมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจว่า “ฉันน่าจะ…”
ดังนั้นหากอยากพบความสุขที่แท้และพบจุดหมายในชีวิต เราต้องยึดถือความลับข้อที่ 2 นั่นคือ “อย่าปล่อยให้เสียดาย” ถ้าไม่อยากเสียดาย เราต้องดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญ มุ่งไปยังสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่วิ่งหนีสิ่งที่กลัว ถ้าไม่อยากเสียดาย เราต้องเอาชนะความผิดหวังที่ชีวิตหยิบยื่นให้เราอย่างเลี่ยงไม่พ้น เราไม่มีทางรับประกันได้ว่าชีวิตจะสำเร็จเสมอไป เพราะในทุกความพยายามย่อมเป็นไปได้ว่าเราจะล้มเหลว ชีวิตที่ไม่เสียดายในภายหลังในแง่หนึ่งย่อมหมายถึงการใช้ชีวิตที่ต้องเสี่ยง เสี่ยงแม้ในเรื่องที่เล็กน้อย แต่สามารถส่งผลเกินคาดคิดต่อเส้นทางชีวิตที่เราเลือกเดิน
พัคแซรอยไม่เคยรู้สึกเสียดายหรือเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป เพราะเขาเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเขาได้ทำตาม “ความเชื่อ” และ “ความปรารถนาที่แท้” ของใจตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยเหลือโฮจินและไม่ยอมคุกเข่าให้กับชางกึนวอน (อันโบฮยอน) ลูกชายจอมเกเรของชางแดฮี จนทำให้ต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนและหัวหน้าพัคพ่อของเขาต้องลาออกจากการเป็นพนักงานของชางกา คำสอนของพ่อเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พัคแซรอยมีชีวิตที่กล้าหาญ กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง มันทำให้แซรอยไม่เคยเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเลย ในทุก ๆ ครั้งที่เขาตัดสินใจทำอะไรลงไปในชีวิต แม้มันจะยังไม่สำเร็จหรือจะต้องล้มอีกสักเท่าไหร่ แม้จะต้องพบกับความผิดหวังที่ชีวิตหยิบยื่นให้อีกสักกี่ครั้ง แต่แซรอยจะไม่เคยจมจ่อมอยู่กับอดีตแล้วเสียใจว่าในตอนนั้นไม่น่าตัดสินใจแบบนั้นเลยสักครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาบอกกับใจตัวเองเลยว่าในวันนั้น “ฉันน่าจะ…”
อีกทั้งในทุกการตัดสินใจถึงแม้ว่าแซรอยจะต้องพบกับความ “เสี่ยง” สักเท่าไหร่ กลัวสักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะวิ่งหนีความกลัวและกล้าตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนซื้อตึกเพื่อเปิดร้านทันบัมต่อไป การลงทุนซื้อหุ้นในชางกา หรือว่าการตัดสินใจลงทุนขายแฟรนไชส์ร้านทันบัม สุดท้ายแล้วแซรอยจึงได้พบว่าความกล้าที่จะเสี่ยงเหล่านั้นได้นำพาเขาไปยังจุดที่เกินคาดหมายในชีวิตมากมาย
สุดท้ายในวันที่พัคแซรอยได้ค้นพบชีวิตที่มีความสุขและได้มองย้อนกลับไปในวันวาน เขาจะไม่มีทางเสียดายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาเพราะเขาเดินหน้าด้วยความกล้าหาญ มุ่งไปยังสิ่งที่เขาต้องการ และพร้อมที่จะเสี่ยงในทุกสถานการณ์ที่เข้ามาท้าทาย และสุดท้ายเขาจะไม่มีทางเสียใจในทุกสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจทำลงไป เพราะสิ่งเหล่านั้นได้นำพาเขามาสู่วันนี้วันที่เขามีความสุขอย่างแท้จริง
ความลับข้อที่ 3 : ใช้ชีวิตด้วยความรัก
ลีโอ บัสคาเกลีย นักประพันธ์ด้านการสร้างแรงบันดาลใจผู้ยิ่งใหญ่เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า “ความรักคือชีวิต หากไร้รักก็ไร้ชีวิต”
ความรักทั้งในการให้และการรับเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิตที่มีความสุขและมีจุดหมาย แนวทางที่หนึ่งในการดำเนินชีวิตตามความลับข้อนี้คือ “เลือกรักตนเอง” โดยพื้นฐานแล้วหากเราไม่เลือกมองว่าตนเองมี “คุณค่า” ชีวิตเราจะหาความสุขไม่ได้เลย ส่วนที่สองของความลับข้อนี้คือ เลือกปฏิบัติต่อผู้ใกล้ชิดเราด้วยความรักและให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์ที่ดี
พัคแซรอยได้แสดงให้เราเห็นผ่านการมองเห็นคุณค่าในชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่โดนไล่ออกจากโรงเรียน เป็นอดีตนักโทษ แต่เขาจะไม่ยอมให้ใครมากำหนดคุณค่าในชีวิตของเขาได้นอกจากตัวเขาเอง
ในบทสนทนาระหว่าง “ชเวซึงกวอน” (รยูคยองซู) อดีตนักเลงหัวไม้ที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตเสี่ยงตายมาเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านทันบัม ในตอนที่เจอพัคแซรอยครั้งแรกในเรือนจำและเห็นแซรอยกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ซึงกวอนบอกกับแซรอยว่าคนที่เกิดมาตัวเปล่าอย่างเราจะเรียนไปทำไม “เปล่าประโยชน์” คำตอบที่แซรอยให้กับซึงกวอนคือ “ถึงผมจะเกิดมาตัวเปล่าแต่ก็มีสิ่งที่อยากทำมากมาย เกิดมาจน ไม่ได้เรียนหนังสือ เคยเป็นนักโทษ เลยคิดว่าทำไม่ได้หรอ ถ้าคิดไปก่อนว่าเป็นไปไม่ได้แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ต้องลองทำดูก่อนสิ” ซึงกวอนโกรธแซรอยและคิดว่าเขาพูดแซะตัวเอง จึงบอกออกไปว่า “นายมันก็แค่นักโทษที่ชีวิตพังเหมือนกันล่ะวะ” แซรอยจึงตอกกลับซึงกวอนด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “นายคิดว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า ไอ้กระจอก” ซึงกวอนชกเข้าไปที่หน้าของแซรอยทันที พร้อมกระทืบร่างที่ร่วงหล่นของแซรอย “อ่านหนังสือ พอพ้นโทษแล้วจะทำอะไร เป็นกรรกรหรอ ทำประมงหรอ” แซรอยที่ลุกขึ้นยืนได้กล่าวออกไปอย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวอีกครั้งว่า
“เรียน กรรมกร ทำประมง เริ่มจากตรงนั้นก็ได้ ถ้าจำเป็นฉันก็ทำหมดล่ะ อย่ามาตีค่าชีวิตของฉัน ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้นเอง ฉันจะทำทุกอย่างที่ฝันไว้ให้สำเร็จ”
ต่อมาเมื่อซึงกวอนได้เห็นว่าแซรอยสามารถทำได้ในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ ซึงกวอนจึงคิดได้และตัดสินใจเลิกเป็นนักเลงหัวไม้มาใช้ชีวิตกับแซรอยที่ร้านทันบัม
ก่อนหน้านี้พัคแซรอยมีชีวิตอยู่บน “ความแค้น” นั่นทำให้เขามีแต่ค่ำคืนที่ขมขื่นกับโซจูรสขมมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ้มได้และอุ่นใจเสมอคือความรัก ความเมตตาที่เขามีให้กับคนรอบข้างที่เปรียบเสมือนเป็นครอบครัวของเขา พัคแซรอยเป็นคนที่ “ให้” กับผู้อื่นเสมอ อีกทั้งไม่เคยทอดทิ้งให้คนที่อยู่เคียงข้างต้องเดียวดายเลยสักครั้ง
ในวันที่ “มาฮยอนอี” (อีจูยอง) เชฟสาวทรานส์เจนเดอร์ที่ถูกอีซอตำหนิว่าทำอาหารไม่ได้เรื่องและมีทีท่าว่าจะโดนไล่ออก ในวงประชุมของทันบัมในคืนวันหนึ่งพัคแซรอยยื่นซองขาวให้กับเธอ ฮยอนอีรับมาด้วยความตกใจ ก่อนที่แซรอยจะบอกว่านั่นคือเงินเดือนจำนวน “สองเท่า” ของเธอ แซรอยให้เงินเดือนเธอเพิ่มขึ้นเพื่อให้เธอพยายามมากขึ้นให้สมกับสิ่งที่ได้รับและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอกลายเป็นเชฟมือหนึ่งแห่งยุทธจักรความอร่อยในที่สุด
“คิมโทนี่” (คริส ลีออง) หนุ่มเชื้อสายแอฟริกัน-เกาหลี ที่ถึงแม้รูปร่างหน้าตาตัวเองจะดูเป็นคนต่างชาติแต่ก็มักจะบอกกับใครต่อใครว่า “ผมเป็นคนเกาหลี” เพราะเขามีพ่อที่เป็นคนเกาหลี และ สิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอดคือการได้พบกับพ่อของตนเอง วันหนึ่งคิมโทนี่ไปเที่ยวที่บาร์และถูกห้ามไม่ให้เข้าไปเพราะเป็นคนต่างชาติ แซรอยเมื่อได้รู้เรื่องนี้จึงแอบไปพ่นสีที่หน้าร้านว่า “ไอ้พวกเหยียดเชื้อชาติ” และติดประกาศตามหาพ่อให้กับโทนี่ จนในที่สุดโทนี่ก็ได้พบกับคุณย่าที่แท้ของตัวเองและพบกับความจริงที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน และย่าของโทนี่นี่ล่ะที่กลายเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในความสำเร็จของพัคแซรอย
สำหรับ “ชางกึนซู” (คิมดงฮี) หนุ่มน้อยผู้ปรารถนารักจากหัวใจของโชอีซอ ลูกชายคนที่สองของประธานชางแดฮี ที่ได้รับความเอ็นดูจากพัคแซรอยมาโดยตลอด แซรอยบอกว่าเขาเห็นตัวเองในตัวของกึนซูและกึนซูนั้นเป็นเหมือนน้องชายของเขา ถึงแม้หลังจากที่กึนซูได้ออกจากทันบัมและไปอยู่กับชางกาเพื่อเอาชนะและคว้าหัวใจของอีซอ กึนซูได้ทำเรื่องชั่วร้ายต่อคนที่ทันบัมมากมาย แต่สุดท้ายพัคแซรอยก็เลือกที่จะอภัยให้กับกึนซูอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และบอกกับกึนซูอย่างอ่อนโยนพร้อมเอามือลูบหัวกึนซูเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก ก็นายมันเป็นเด็กน้อยนี่”
สิ่งที่เราจะได้เห็นตลอดเวลาที่แซรอยปฏิบัติต่อผู้อื่น คือ การเอามือไปสัมผัสร่างกายคนนั้นเบา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแตะไหล่ การลูบหัวเบา ๆ การวางมือไว้บนหลังแล้วแตะลงไปเบา ๆ หรือการสวมกอด นั่นมันคือความอบอุ่นที่พัคแซรอยมอบให้กับทุกคนในยามที่หัวใจเหน็บหนาวละลายความปวดร้าวในหัวใจของทุกคนมาโดยตลอด
คนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพล “การให้” จากพัคแซรอยก็คือ “โชอีซอ” สาวน้อยปากร้ายที่มักมีวาจาทำลายหัวใจใครต่อใครอยู่เสมอ และมักคิดเสมอว่าทำไมจะต้องทำอะไรเพื่อใครด้วย เธอค่อย ๆ ซึมซับความเป็นผู้ให้จากแซรอยและได้มอบความเป็นมิตรที่ดีให้กับคนรอบกายเธอไม่ว่าจะเป็นฮยอนอีที่เธอรู้สึกเสมือนเป็นพี่สาว คิมโทนี่ที่เธอยอมรับในที่สุดว่าเขาเป็นคนเกาหลี ซึงกวอนเองก็รู้สึกดีกับเธอเมื่อเห็นเธอทำตัวน่ารักขึ้น หรือแม้แต่กึนซูที่เธอใจร้ายหลอกให้รักและให้ทำเพื่อเธอ เธอก็ได้มอบอ้อมกอดและคำขอบคุณจากใจทิ้งท้ายไว้ในวันที่ต้องห่างไกลกัน
สำหรับอีซอคนคนเดียวที่เธอพร้อมที่จะเป็นผู้ให้และทุ่มเทความรักอย่างเต็มหัวใจมาโดยตลอดก็คือพัคแซรอยเถ้าแก่และท่านประธานหัวเกาลัดคนนี้ จนในวันที่แซรอยได้ค้นพบความรักในหัวใจที่เขามีให้ต่ออีซอด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นความแค้นที่มีค่อย ๆ จืดจางหายไป แซรอยเริ่มสัมผัสถึงลมหายใจแห่งความสุข และเมื่อเขาได้เปิดหัวใจและโอบกอดความรักที่อีซอมีให้แก่เขาอย่างเต็มหัวใจ เมื่อนั้นแซรอยจึงได้ค้นพบชีวิตที่เปี่ยมสุขอย่างแท้จริง และได้สัมผัสกับโซจูรสหวานเจี๊ยบชื่นฉ่ำหัวใจอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต
ความลับข้อที่ 4 : ให้มากกว่ารับ
คนที่มีความสุขนั้นจะเป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้รับ ยิ่งเราเป็นผู้ให้เราก็จะยิ่งได้รับความสุข หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การให้มากกว่ารับเป็นเคล็ดลับของความสุขและชีวิตที่มีความหมายคือ เราสามารถกำหนดการให้ได้ ในขณะที่การรับนั้นเราแทบจะกำหนดอะไรมันไม่ได้เลย แต่ละวันเรามีอำนาจของการให้โดยไม่จำกัด เราเลือกได้ว่าจะเมตตา ทำประโยชน์ รัก ใจกว้าง และทำให้โลกดีขึ้น มีอะไรบางอย่างในตัวเราในฐานะมนุษย์ซึ่งปรารถนาจะทำสิ่งที่มีคุณค่าขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่
สิ่งหนึ่งที่เป็นความลับในการเข้าถึงการให้ที่แท้นั้นก็คือ “การดับอัตตา” ภารกิจสำคัญของชีวิตมนุษย์นั้นมีสองเรื่องได้แก่ “ค้นหาตนเองและสลายตนเอง” เราจะพบตนเองด้วยการค้นหาชะตาชีวิตและซื่อตรงต่อสิ่งที่อยู่ในตน แต่แค่พบตนเองนั้นยังไม่พอ เราต้องสลายตัวตนนั้นด้วย
การ “ค้นหาตนเองและสลายตนเอง” นั้นทำให้เราได้เข้าถึงความลับข้อที่ 4 คือ ให้มากกว่ารับ เมื่อเราให้มากกว่ารับ เราจะเชื่อมต่อเรากับเรื่องราวที่ใหญ่กว่าเรา และเมื่อทำเช่นนั้น ความสุขก็จะพบเรา
ในตอนที่พัคแซรอยเข้าไปพบกับประธานชางแดฮีที่บ้านเพื่อถามถึงสถานที่ที่ชางกึงวอนซ่อนอีซอกับกึนซูไว้ ในตอนนั้นชางแดฮีได้ถือโอกาสนี้ในการร้องขอถึงสิ่งที่เขาต้องการมานานนั่นคือให้แซรอยคุกเข่าต่อหน้าของเขา แซรอยตัดสินใจทำในสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีทางยอมทำโดยเด็ดขาด
“มีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้ เรื่องที่อยู่เหนือความตาย การคุกเข่าให้ประธานชางก็ด้วย แต่ว่า…ตอนนี้ เวลานี้ ถึงต้องทำเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง…ช่างเป็นเรื่อง…ที่ง่ายเหลือเกิน”
เมื่อเราละทิ้งอัตตาและมอบมันให้กับสิ่งที่มีค่าเหนือกว่านั่นคือ “ความรัก” เมื่อนั้นเราจะพบว่า มันช่างง่ายดายเหลือเกิน ช่างเบาสบายและเต็มไปด้วยความสุขใจเหลือเกิน
ความลับข้อที่ 5 : อยู่กับปัจจุบัน
หนึ่งในวลีที่เรามักได้ยินบ่อยในบทสนทนาไม่ว่ากับใครก็ตามนั่นคือ “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเราเชื่อว่าเรามีเวลาล้นเหลือ แต่ไม่นานนักเราก็จะตระหนักว่ามันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
หากชีวิตนั้นผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในความลับแห่งความสุขก็คือ ใช้ประโยชน์จากเวลาที่มีอยู่ให้มากกว่านี้ หาวิธีทำให้แต่ละวันแต่ละเวลากลายเป็นของขวัญอันมีค่า นั่นคือ การได้มีชีวิตที่ “อยู่กับปัจจุบัน” นั่นเอง
ในความหมายที่เรียบง่ายที่สุด “อยู่กับปัจจุบัน” หมายถึงการใช้ชีวิตให้อิ่มเต็มในทุกห้วงขณะ ให้เราไม่ต้องตัดสินชีวิตแต่จงใช้ชีวิตให้เต็มที่ ไม่จมอยู่กับอดีตหรืออนาคต แต่ผ่านทุกห้วงเวลาอย่างรู้คุณค่าและมีเป้าหมาย รู้สึกขอบคุณอย่างแรงกล้าที่ยังได้มีชีวิตอยู่ และตั้งมั่นว่าจะไม่ปล่อยแม้แต่วันเดียวให้ผ่านไปโดยไม่เห็นค่า
นอกจากนี้การอยู่กับปัจจุบันยังหมายถึงการตระหนักว่า เราไม่มีอำนาจเหนืออดีตหรืออนาคต อดีตนั้นเกิดขึ้นแล้วและอยู่ข้างหลังเรา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นอะไรในอดีต เราก็ไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงมัน ไม่ว่าจะเสียใจหรือยินดีกับเรื่องใด มันก็โดนแช่แข็งในกาลเวลาแล้ว การจมกับอดีตโดยเฉพาะกับความเศร้าเสียใจนั้น รังแต่จะปล้นความสุขไปจากปัจจุบัน เมื่อเสียใจให้กับเรื่องราวในอดีต เราต้องบอกตนเองว่า เราทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ในตอนที่แซรอยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโดนรถชนและนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล ในห้วงแห่งฝันนั้นแซรอยได้พบกับคุณพ่อของเขาอีกครั้ง ทั้งคู่ได้เดินมายังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นเสมือนสะพานที่ข้ามจากฟากฝั่งแห่งชีวิตไปสู่ฟากฝั่งแห่งโลกหลังความตาย พ่อถามแซรอยว่าเหนื่อยไหม เขาตอบว่าเหนื่อยมาก พ่อชวนเขาข้ามไปฝั่งนั้นด้วยกันเพื่อยุติชีวิตอันเหนื่อยล้าที่ผ่านมา แซรอยนึกถึงค่ำคืนหนึ่งที่เขากับอีซออยู่ด้วยกันในห้องทำงาน อีซอกำลังอ่านหนังสือ “ซาราธุสตราตรัสไว้ดังนี้” (Thus Spoke Zarathustra) ของฟรีดริช นีชเชอ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เมื่อเธอได้อ่านพบข้อความหนึ่ง เธออุทานออกมาว่า “ดีจัง” แล้วเอ่ยความในใจต่อไปว่า “ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันเคยคิดว่าไม่อยากเกิดแล้วค่ะ” “การมีชีวิตอยู่มันลำบากนี่คะ แต่ถึงจะลำบากมากขนาดไหน แต่หลังจากได้เจอท่านประธาน ฉันก็รู้ซึ้งถึงความหมายของคำพูดนี้”
“นี่หรือคือชีวิต ถ้าอย่างนั้นขออีกสักครั้ง”
ในจุดที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย แซรอยได้บอกกับพ่อว่า ที่ผ่านมาเขาเหนื่อยมาก ที่ผ่านมาได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรและพยายามทุ่มเททำในสิ่งที่ตั้งใจต่อไป แต่การคิดถึงพ่อและอยู่บนความเกลียดชังที่มี มันเกินที่เขาจะทนไหว มันทำให้เขาไม่เคยได้อยู่อย่างเป็นสุขเลยสักวันเดียว เขาโอบกอดพ่อบอกรักพ่อและบอกพ่อว่าชาติหน้าเขาก็ยังอยากเกิดเป็นลูกของพ่ออีกครั้ง ก่อนที่จะถอยหลังกลับมาและให้คำตอบพ่อว่า “ผมไม่ไปหรอกครับ ผมมีเดตครับ ต่อให้ต้องอยู่กับค่ำคืนที่ขมขื่นไปตลอด ไม่สิ ค่ำคืนของผมจะไม่ขมขื่นขนาดนั้นอีกต่อไปแล้วครับ ผมมีครอบครัวที่ต้องการผมอยู่ ผมอยากรู้ว่าวันพรุ่งนี้ที่จะได้ใช้กับพวกเขานั้นจะเป็นยังไง ผมตั้งตารอครับ ความสนุกสนานเหล่านั้น ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีพ่อ แต่ความคิดถึงพ่อที่มี ผมจะโอบกอดมันไว้ และจะใช้ชีวิตไปกับมันครับ”
พ่อมองแซรอยด้วยความภูมิใจและเอ่ยออกไปถึงหัวใจของการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันว่า
“ต้องอย่างนี้สิแซรอย มันถึงจะเรียกว่าชีวิต”
“ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จริงไหมล่ะ”
ใช่แล้วการได้ “มีชีวิตอยู่” คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดแล้ว เราควรรู้สึกขอบคุณจากหัวใจที่ยังได้มีชีวิตอยู่ ไม่เสียใจและยึดติดอยู่กับอดีต แต่เลือกที่จะโอดกอดความทรงจำไว้และจงตั้งมั่นว่าจะใช้เวลาในทุกวันของชีวิตที่มีอย่างรู้ค่ามากที่สุด
มีบทสนทนาหนึ่งระหว่างพัคแซรอยกับโชอีซอที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีซอบอกกับแซรอยว่า “บางครั้งฉันก็คิดนะคะว่า มีชีวิตไปเพื่ออะไร ชีวิตที่แสนนั้นที่อยู่ได้ไม่ถึงร้อยปีสักวันก็ต้องแก่ตาย แต่ถึงยังไงก็ต้องดิ้นรนให้มีชีวิตที่ดีจนกว่าจะตาย ถ้าไม่เกิดมาแต่แรกก็คงดี มันน่ารำคาญจะตาย”
“ถ้ามันน่ารำคาญขนาดนั้น ก็ตายไปสิ”
คือคำตอบแบบห้วน ๆ ที่แซรอยให้กับอีซอ ก่อนที่จะอธิบายว่าชีวิตเรานั้นมันคาดเดาไม่ได้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เคยมีเรื่องมีราวกับซึงกวอนวันนี้เขาก็มาเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้าน อย่างอีซอก็เคยเป็นสาเหตุให้ร้านต้องปิดชั่วคราวแต่ก็กลายมาเป็นผู้จัดการร้านทันบัม (และกลายเป็นคนรักในที่สุด)
“ถึงจะเป็นชีวิตที่ซ้ำซาก แต่ไม่มีใครรู้สักหน่อยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีวันไหนที่ฉันเดาได้เลย ถึงแม้จะมีวันที่เหนื่อยและเสียใจมากมาย แต่พอได้ลองใช้ชีวิตมาเรื่อย ๆ ก็มีเรื่องสนุก ๆ เข้ามาบ้าง ยิ่งได้พบกับเธอ ยิ่งสนุกมากขึ้น ทุกวันมีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นใครจะรู้ล่ะ ใช้ชีวิตต่อไป ชีวิตที่น่าเบื่อของเธอ อาจจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นก็ได้”
ใช่แล้วล่ะ ใช้ชีวิตต่อไป วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ใครจะรู้…
Source
ดร.จอห์น ไอโซ. (2009). ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย [The Five Secrets You Must Discover Before You Die] (อรวรรณ อบรมย์, แปล). สมุทรปราการ : สำนักพิมพ์โอ้มายก้อด